17 ต.ค. เวลา 12:31 • หุ้น & เศรษฐกิจ

⚠️ ยุคทองจบหรือยัง? เมื่อมหาอำนาจเลือกคนละเส้นทาง หลังจีนกอดทองแน่น สหรัฐฯ หันหน้าเข้า Crypto

ปี 2025 ได้จารึกหน้าประวัติศาสตร์การเงินโลก เมื่อราคาทองคำพุ่งทะยานผ่านหลัก $4,000 ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นระดับราคาที่ครั้งหนึ่งเคยถูกมองว่าเป็นไปไม่ได้ ในขณะเดียวกัน ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. กฎหมายหลายฉบับได้ถูกผลักดันและผ่านความเห็นชอบอย่างรวดเร็ว เพื่อมอบสถานะอันชอบธรรมให้กับเงินรูปแบบใหม่ที่ถือกำเนิดขึ้นจากโค้ดคอมพิวเตอร์
1
เหตุการณ์ทั้งสองนี้ไม่ใช่ข่าวที่เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แต่คือแรงสั่นสะเทือนของรอยแยกครั้งใหญ่ในระเบียบการเงินโลก สองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกอย่างจีนและสหรัฐอเมริกา ไม่ได้แข่งขันกันเพียงแค่ในด้านการค้าและเทคโนโลยีอีกต่อไป แต่กำลังเดิมพันด้วยเม็ดเงินหลายล้านล้านดอลลาร์ในทิศทางที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เกี่ยวกับนิยามและอนาคตของ "เงิน" ค่ะ
เราจะมาเจาะลึกปรากฏการณ์ "The Great Divergence" หรือ "การแยกทางครั้งใหญ่" นี้ โดยจะเริ่มจากการที่จีนหวนกลับไปหาทองคำสินทรัพย์ที่เก่าแก่และจับต้องได้มากที่สุดในโลก สวนทางกับการที่สหรัฐฯ ก้าวกระโดดไปสู่พรมแดนดิจิทัลแห่งโลกคริปโทเคอร์เรนซีและบล็อกเชน
1
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของการจัดสรรสินทรัพย์ในพอร์ตโฟลิโอ แต่คือสงครามทางปรัชญาการเงิน การปะทะกันของจักรวรรดิ ซึ่งจะเป็นตัวกำหนดทิศทางการไหลเวียนของอำนาจโลกในศตวรรษหน้า
เราจะเดินทางจากห้องนิรภัยของธนาคารกลางแห่งประชาชนจีน (PBOC) ไปสู่ห้องประชุมรัฐสภาของสหรัฐฯ และปิดท้ายที่โลกการเงินไร้ศูนย์กลางของบิตคอยน์ เมื่ออ่านจบ คุณจะไม่เพียงเข้าใจว่า อะไร กำลังเกิดขึ้น แต่จะเข้าใจว่า ทำไม มันจึงสำคัญ และจะถูกทิ้งไว้กับคำถามที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับอนาคตของความมั่งคั่งและอำนาจ
ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นพร้อมกันในสองฟากฝั่งของโลกนี้ คือสัญญาณการสิ้นสุดของฉันทามติทางการเงินแบบขั้วเดียวที่นำโดยดอลลาร์ ซึ่งเคยครอบงำโลกมาตั้งแต่ยุคสงครามเย็น
ระบบการเงินโลกไม่ได้เพียงแค่ถูกท้าทาย แต่กำลังถูกแยกออกเป็นสองระบบปฏิบัติการที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ราคาทองคำที่พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์กว่า 50% ในปี 2025 ไม่ได้เป็นเพียงปฏิกิริยาต่อภาวะเงินเฟ้อหรือการคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยเท่านั้น แต่เป็นการประเมินราคาความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์ใหม่ทั้งหมด สะท้อนให้เห็นว่าตลาดได้ตระหนักแล้วว่าความตึงเครียดระหว่างสองขั้วอำนาจนี้ได้กลายเป็นปัจจัยขับเคลื่อนโครงสร้างการลงทุนในระยะยาวไปแล้วนั่นเองค่ะ
🐉 คลังสมบัติแห่งมังกร: เหตุใดจีนจึงเดิมพันกับเงินที่เก่าแก่ที่สุดในโลก
📌 หลักการแห่งการลดอิทธิพลของเงินดอลลาร์ (De-Dollarization)
ยุทธศาสตร์ของจีนถือกำเนิดขึ้นจากจุดที่จีนมองว่าเป็นความเปราะบางของตนเองค่ะ การถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ จำนวนมหาศาลทำให้จีนตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ และมีความเสี่ยงที่จะถูกใช้เป็น "อาวุธ" ทางการเงิน โดยเหตุการณ์การอายัดทุนสำรองของรัสเซียในปี 2022 ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ และเป็นคำเตือนที่ชัดเจนมาถึงปักกิ่ง
เป้าหมายของจีนคือการบรรลุ "อธิปไตยทางการเงิน" (Financial Sovereignty) โดยการสร้างระบบที่สามารถป้องกันตนเองจากแรงกดดันของชาติตะวันตก นี่คือยุทธศาสตร์ระยะยาวที่มุ่งลดการพึ่งพาดอลลาร์ในการค้า การถือครองทุนสำรอง และการทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศ
ทองคำจึงกลายเป็นทางเลือกหลังเพราะเป็นสินทรัพย์ที่เป็นกลางและไร้สัญชาติอย่างแท้จริง ซึ่งไม่สามารถถูกคว่ำบาตรหรือลดค่าโดยมหาอำนาจคู่แข่งได้
📌 การสะสมทองคำอย่างไม่หยุดยั้ง
ธนาคารกลางแห่งประชาชนจีน (PBOC) ได้เข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ โดย ณ เดือนกันยายน 2025 PBOC ได้เพิ่มปริมาณทองคำสำรองติดต่อกันเป็นเดือนที่ 11 แล้ว ในช่วงเวลาดังกล่าว จีนได้เพิ่มทองคำเข้ามาในคลังถึง 39.2 ตัน ทำให้ปริมาณทองคำสำรองทั้งหมดมีมากกว่า 2,300 ตัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 283,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
1
แม้จะเป็นจำนวนที่มหาศาล แต่สิ่งสำคัญที่ต้องตระหนักคือทองคำยังคงคิดเป็นสัดส่วนที่ค่อนข้างน้อยของทุนสำรองระหว่างประเทศทั้งหมดของจีน (ประมาณ 7.7%) ซึ่งหมายความว่ายังมีพื้นที่ให้จีนสามารถสะสมทองคำเพิ่มได้อีกมาก ทำให้แนวโน้มการเข้าซื้อนี้ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น เพราะน่าจะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้นถึงช่วงกลางเท่านั้น
📌 การสร้างจักรวรรดิทองคำแห่งใหม่: ตลาดทองคำเซี่ยงไฮ้ (SGE)
ความทะเยอทะยานของจีนไปไกลกว่าแค่การกักตุนทองคำค่ะ ล่าสุดจีนกำลังผลักดันให้ตลาดทองคำเซี่ยงไฮ้ (SGE) ซึ่งเป็นตลาดซื้อขายทองคำจริงที่ใหญ่ที่สุดในโลกอยู่แล้ว ก้าวขึ้นมาเป็นศูนย์กลางการรับฝากทองคำสำรองของ ประเทศอื่นๆ ทั่วโลก
รัฐบาลปักกิ่งกำลังเสนอข้อตกลงที่น่าสนใจให้กับประเทศพันธมิตร โดยเฉพาะประเทศในแถบโครงการหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง (Belt and Road) และกลุ่มประเทศซีกโลกใต้ (Global South) ว่าให้นำทองคำที่ซื้อใหม่มาเก็บไว้ที่เซี่ยงไฮ้ เพื่อความปลอดภัยจากการคว่ำบาตรของชาติตะวันตก
กลยุทธ์นี้มุ่งเน้นไปที่การซื้อทองคำล็อตใหม่ ซึ่งทำให้การตัดสินใจทางการเมืองง่ายกว่าการย้ายทองคำสำรองที่มีอยู่เดิมออกจากลอนดอนหรือนิวยอร์ก
นี่คือการท้าทายตลาดทองคำที่ถูกครอบงำโดยชาติตะวันตกโดยตรง และเป็นความพยายามที่จะสร้างระบบนิเวศทางการเงินคู่ขนานที่มีทองคำและเงินหยวนเป็นศูนย์กลาง โดยมีโครงสร้างพื้นฐานอย่างระบบ CIPS (ทางเลือกของจีนนอกเหนือจาก SWIFT) เป็นตัวสนับสนุน
1
ยุทธศาสตร์ของจีนนั้นเลยเปรียบเสมือนภาพสะท้อนของระบบเบรตตันวูดส์ (Bretton Woods) ซึ่งเคยสร้างอำนาจให้สหรัฐฯ โดยการทำให้ดอลลาร์ซึ่งผูกกับทองคำเป็นศูนย์กลางของจักรวาลการเงินค่ะ
1
โดยจีนกำลังเดินตามตรรกะเดียวกัน คือการสะสมทองคำจำนวนมหาศาลก่อน จากนั้นจึงสร้างเขตอิทธิพลรอบๆ ทองคำนั้น โดยหวังว่าในท้ายที่สุดจะสามารถยกระดับสถานะของเงินหยวนขึ้นมาได้
การที่ PBOC เข้าซื้อทองคำอย่างต่อเนื่องได้สร้างแรงหนุนให้กับราคาทองคำและกระตุ้นความเชื่อมั่นในตลาด แถมการแข็งค่าของราคานี้ยังช่วยเพิ่มมูลค่าทุนสำรองทองคำที่จีนมีอยู่แล้ว ทำให้ยุทธศาสตร์นี้ดูประสบความสำเร็จและกระตุ้นให้เกิดการซื้อเพิ่มขึ้นอีก วงจรนี้ยิ่งเสริมความแข็งแกร่งให้กับจีนในทุกๆ การเข้าซื้อนั่นเอง
🇺🇸 จากเบรตตันวูดส์สู่บล็อกเชน: เกมเดิมพันดิจิทัลที่อาจหาญของอเมริกา
📌 เสาหลักที่หนึ่ง: กฎหมาย GENIUS Act และการสร้างจักรวรรดิดอลลาร์ดิจิทัล
เป็นเวลาหลายปีที่สหรัฐฯ ปฏิบัติต่อโลกคริปโทฯ ด้วยความคลุมเครือและใช้แนวทาง "กำกับดูแลผ่านการบังคับใช้กฎหมาย" ซึ่งสร้างความไม่แน่นอนและผลักดันนวัตกรรมออกนอกประเทศ
การนิ่งเฉยนี้ได้สร้างสุญญากาศทางอำนาจที่คุกคามสถานะของเงินดอลลาร์ในระยะยาวในเศรษฐกิจดิจิทัลที่กำลังเติบโต
ทางออกคือ กฎหมาย GENIUS Act ที่ผ่านความเห็นชอบในเดือนกรกฎาคม 2025 ค่ะ โดยกฎหมายประวัติศาสตร์ฉบับนี้ได้สร้างกรอบการกำกับดูแลระดับสหพันธรัฐสำหรับ Stablecoin เป็นครั้งแรก
นี่ไม่ใช่การแบน แต่เป็นพิมพ์เขียวสำหรับการผนวกรวมเข้ากับระบบการเงินเดิม
หัวใจสำคัญของกฎหมายฉบับนี้คือข้อกำหนดที่ว่า Stablecoin ที่จะได้รับการอนุญาต (Permitted Payment Stablecoins) จะต้องมีสินทรัพย์คุณภาพสูงหนุนหลัง 100% โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือเงินสดดอลลาร์สหรัฐหรือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ระยะสั้น
และผู้ออกเหรียญจะต้องเปิดเผยข้อมูลสินทรัพย์ค้ำประกันต่อสาธารณะทุกเดือน และในกรณีที่บริษัทล้มละลาย ผู้ถือเหรียญจะมีสิทธิ์ในสินทรัพย์ค้ำประกันก่อนเจ้าหนี้รายอื่น
ผลกระทบของกฎหมายนี้คือการเปลี่ยนตลาด Stablecoin ทั่วโลกให้กลายเป็นผู้ซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ รายใหญ่โดยอัตโนมัติ และเป็นการเชื่อมโยงอนาคตของระบบนิเวศสินทรัพย์ดิจิทัลเข้ากับระบบการเงินของสหรัฐฯ โดยตรง
นี่คือกลยุทธ์ในการขยายอำนาจของเงินดอลลาร์จากโลกแอนะล็อกไปสู่โลกบล็อกเชน ซึ่งผู้เล่นรายใหญ่ในแวดวงการเงินอย่าง Stripe, Circle และ Anchorage Digital Bank ก็ได้เริ่มเคลื่อนไหวเพื่อขอใบอนุญาตหรือสร้างความร่วมมือภายใต้กรอบกฎหมายใหม่นี้แล้ว
📌 เสาหลักที่สอง: คลังสำรองบิตคอยน์เชิงยุทธศาสตร์: ทองคำดิจิทัลสำหรับยุคดิจิทัล?
ในการเคลื่อนไหวที่สร้างความประหลาดใจให้กับหลายฝ่าย หลังทรัมป์ได้ใช้คำสั่งฝ่ายบริหารในเดือนมีนาคม 2025 ในการจัดตั้งคลังสำรองบิตคอยน์เชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ (U.S. Strategic Bitcoin Reserve) ขึ้น
การกระทำนี้เป็นการยกระดับบิตคอยน์อย่างเป็นทางการจากสินทรัพย์เพื่อการเก็งกำไรสู่การเป็นสินทรัพย์สำรองเชิงยุทธศาสตร์ของชาติ เทียบเท่ากับคลังสำรองปิโตรเลียมเชิงยุทธศาสตร์
คลังสำรองนี้ใช้เงินทุนจากบิตคอยน์ที่รัฐบาลยึดมาได้จากคดีอาชญากรรมต่างๆ (สหรัฐฯ เป็นรัฐที่ถือครอง BTC มากที่สุดในโลก ด้วยจำนวนประมาณ 198,000 BTC) และนโยบายที่ชัดเจนคือบิตคอยน์ในคลังสำรองนี้ จะไม่ถูกขายออกไป แต่จะถูกเก็บรักษาไว้เป็นสินทรัพย์สำรองถาวรของชาติค่ะ
ผู้สนับสนุนให้เหตุผลว่าบิตคอยน์เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อและการลดค่าของเงิน เป็นเครื่องมือกระจายความเสี่ยงของพอร์ตโฟลิโอ และเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี ซึ่งการถือครอง "ทองคำดิจิทัล" ที่สำคัญที่สุดของโลก จะทำให้สหรัฐฯ อยู่ในตำแหน่งผู้นำในคลื่นลูกใหม่ของนวัตกรรมการเงินและก้าวนำหน้าประเทศอื่นๆ
ในทางกลับกัน นักเศรษฐศาสตร์และนักวิจารณ์มองว่าการเคลื่อนไหวนี้เป็นการกระทำที่บุ่มบ่าม ทำให้ผู้เสียภาษีต้องแบกรับความเสี่ยงจากสินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงและยังไม่มีประโยชน์ใช้สอยที่ชัดเจนในยามวิกฤตของชาติ (ซึ่งแตกต่างจากน้ำมัน)
นอกจากนี้ บางคนยังแย้งว่านี่คือการเดิมพันที่อันตรายซึ่งสวนทางกับเงินดอลลาร์สหรัฐฯ เอง และเป็นการส่งสัญญาณที่สับสนเกี่ยวกับความเชื่อมั่นในสกุลเงินของตน นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่จะทำให้ตลาดคริปโทฯ บิดเบือนจากการที่รัฐบาลเลือกบิตคอยน์ให้เป็นผู้ชนะ
ยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ จึงไม่ใช่การต่อสู้กับคริปโทฯ แต่เป็นการดึงเข้ามาเป็นพวก (Co-opting) ผ่านกฎหมาย GENIUS Act ซึ่งได้ควบคุมชั้นของธุรกรรมคริปโทฯ เพื่อประโยชน์ของเงินดอลลาร์ ในขณะที่คลังสำรองบิตคอยน์ได้ยอมรับชั้นของ "สินทรัพย์เก็บมูลค่า" (Store of Value) ในฐานะเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงเชิงยุทธศาสตร์
นี่คือการเคลื่อนไหวแบบคีมหนีบเพื่อครอบงำทั้งในมิติของ "สกุลเงิน" และ "สินค้าโภคภัณฑ์" ของเศรษฐกิจดิจิทัล
ขณะที่จีนใช้ทองคำเพื่อหนีออกจากระบบดอลลาร์ สหรัฐฯ ได้สร้างกลไกที่บังคับให้โลกดิจิทัลที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วต้องเข้ามาอยู่ในระบบดอลลาร์แทน ทุกครั้งที่มีคนซื้อ Stablecoin ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแล ไม่ว่าจะอยู่ที่ใดในโลก พวกเขากำลังเพิ่มอุปสงค์ให้กับพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ทางอ้อม ซึ่งเป็นการสร้างแรงต้านโดยตรงต่อความพยายามของจีนที่จะลดการพึ่งพาสินทรัพย์เหล่านั้นค่ะ
🆚 สงครามเย็นทางการเงินครั้งใหม่: สองระบบ หนึ่งเวทีโลก
📌 ความแตกต่างทางปรัชญา
แนวทางของจีนคือการควบคุมจากส่วนกลางและขับเคลื่อนโดยรัฐ โดยจีนได้สั่งแบนคริปโทเคอร์เรนซีของภาคเอกชน พร้อมกับผลักดันสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) ของตนเองอย่าง e-CNY อย่างจริงจัง
เป้าหมายของ e-CNY คือการสอดส่องและควบคุม ซึ่งเป็นการเสริมสร้างอำนาจของรัฐเหนือระบบการเงิน แม้แต่การทดลองเกี่ยวกับ Stablecoin ก็ยังถูกจำกัดพื้นที่อย่างระมัดระวังไว้ที่ฮ่องกง เพื่อป้องกันความเสี่ยงใดๆ ที่อาจกระทบต่อมาตรการควบคุมเงินทุนของจีนแผ่นดินใหญ่
ในทางตรงกันข้าม โมเดลของสหรัฐฯ ขับเคลื่อนโดยตลาดและอาศัยนวัตกรรมจากภาคเอกชนภายใต้กรอบที่รัฐบาลกำหนด สหรัฐฯ จึงได้ปฏิเสธแนวคิด CBDC สำหรับรายย่อยอย่างชัดเจน โดยอ้างถึงความกังวลด้านความเป็นส่วนตัว และเลือกที่จะส่งเสริมให้บริษัทเอกชนเป็นผู้ออกโทเคนที่หนุนหลังด้วยดอลลาร์แทน โดยมีเป้าหมายคือการสร้างระบบนิเวศ ไม่ใช่การควบคุมทุกการเคลื่อนไหว
📌 การต่อสู้เพื่อช่วงชิงอิทธิพลในเวทีโลก
ขณะนี้โลกกำลังเผชิญกับสองวิสัยทัศน์ที่แข่งขันกันเพื่อกำหนดอนาคตทางการเงินค่ะ โดยจีนนำเสนอโมเดลที่นำโดยรัฐ ซึ่งดึงดูดกลุ่มประเทศซีกโลกใต้ที่ให้ความสำคัญกับอธิปไตยทางการเงินและอาจไม่ไว้วางใจระบบการเงินของภาคเอกชนจากชาติตะวันตก ในขณะที่สหรัฐฯ นำเสนอโมเดลที่เปิดกว้างและขับเคลื่อนโดยตลาด ซึ่งให้คำมั่นสัญญาถึงนวัตกรรม ประสิทธิภาพ และการบูรณาการเข้ากับระบบการเงินโลกที่ทรงอิทธิพล
การแยกทางครั้งนี้จะบีบให้ประเทศอื่นๆ ต้องเลือกข้าง พวกเขาจะเข้าร่วมกับกลุ่มที่นำโดยจีนซึ่งมีทองคำเป็นหลักประกันและถูกควบคุมโดยรัฐ หรือจะเข้าร่วมกับระบบนิเวศดิจิทัลที่นำโดยสหรัฐฯ ซึ่งผูกกับเงินดอลลาร์?
ประเทศต่างๆ เช่น บราซิล อินโดนีเซีย หรือแม้แต่บางประเทศในสหภาพยุโรป ก็ได้เริ่มถกเถียงถึงยุทธศาสตร์การมีคลังสำรองบิตคอยน์ของตนเองแล้ว ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการเคลื่อนไหวของสหรัฐฯ กำลังบีบให้ทั่วโลกต้องหันมาพิจารณาเรื่องนี้อย่างจริงจัง
ส่วนจุดอ่อนที่สำคัญที่สุดของจีนยังคงเป็นหลักการ "Impossible Trinity" ซึ่งเป็นหลักการทางเศรษฐศาสตร์ที่ระบุว่าประเทศไม่สามารถมีทั้ง 1) อัตราแลกเปลี่ยนคงที่ 2) นโยบายการเงินที่เป็นอิสระ และ 3) การเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างเสรี ได้ในเวลาเดียวกัน
จีนเลือกสองข้อแรก และยอมสละข้อสุดท้าย ซึ่งก็คือการเคลื่อนย้ายเงินทุนอย่างเสรีนั่นเองค่ะ อย่างไรก็ตาม หากปราศจากการไหลเวียนของเงินทุนอย่างอิสระ เงินหยวนก็ไม่สามารถมีสภาพคล่องและความน่าเชื่อถือในระดับโลกที่จำเป็นสำหรับสกุลเงินสำรองหลักได้
ดังนั้น ไม่ว่าจีนจะซื้อทองคำมากเท่าใด เงินหยวนก็ยังคงมีโครงสร้างที่ไม่เหมาะสมที่จะมาแทนที่เงินดอลลาร์ได้ จนกว่าปักกิ่งจะยอมปฏิรูปนโยบายเปิดเสรีเงินทุนซึ่งเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ทางการเมือง
🎯 บทสรุป: หวนสู่อดีต หรือ ก้าวสู่อนาคต?
เราได้เห็นสองมหาอำนาจเลือกอาวุธของตนเองสำหรับสมรภูมิการเงินแห่งศตวรรษที่ 21 จีนซึ่งติดอาวุธด้วยทองคำ กำลังสร้างป้อมปราการที่แข็งแกร่งและจับต้องได้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากระบบการเงินในปัจจุบัน ในขณะที่สหรัฐฯ ซึ่งติดอาวุธด้วยโค้ดคอมพิวเตอร์ กำลังสร้างกองเรือรบ ซึ่งเป็นเครือข่ายที่เปิดกว้างและคล่องตัว ออกแบบมาเพื่อแผ่อิทธิพลของตนไปสู่มหาสมุทรดิจิทัลแห่งใหม่
สิ่งที่น่าคิดที่สุดคือ ยุทธศาสตร์ของจีนนั้นอนุรักษ์นิยมอย่างยิ่ง เพราะจีนกำลังพยายามสร้างระบบการเงินที่อิงกับสินทรัพย์ที่จับต้องได้ (Hard Money) ซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับที่สหรัฐฯ เคยใช้เพื่อสร้างอำนาจของตนเองหลังยุคเบรตตันวูดส์ ทำให้จีนกำลังมองหาพิมพ์เขียวแห่งอนาคตจากประวัติศาสตร์
ในขณะที่สหรัฐฯ ซึ่งเป็นผู้ครองอำนาจเดิม กลับกำลังรับความเสี่ยงที่ใหญ่กว่า โดยสหรัฐฯ กำลังละทิ้งตำราเล่มเก่าและเดิมพันว่าอนาคตของเงินนั้นไร้น้ำหนัก ไร้พรมแดน และสร้างขึ้นบนโปรโตคอลแบบเปิด ซึ่งเป็นโปรโตคอลที่ตนตั้งใจจะครอบงำ
ทั้งหมดนี้นำเราไปสู่คำถามสุดท้ายค่ะว่า
👉🏻 จีนกำลังสร้างระบบการเงินของศตวรรษที่ 20 อย่างพิถีพิถัน เพื่อแสวงหาเสถียรภาพและอำนาจที่ทองคำเคยให้กับอเมริกา ในช่วงเวลาเดียวกับที่อเมริกากำลังละทิ้งมันไปใช่หรือไม่?
👉🏻 สหรัฐฯ กำลังก้าวกระโดดอย่างมีวิสัยทัศน์ไปสู่อนาคตดิจิทัลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หรือกำลังละทิ้งรากฐานแห่งอำนาจของตนเองในการเดิมพันที่บ้าบิ่น?
👉🏻ยุคทองสิ้นสุดลงแล้วจริงหรือ หรือเพียงแค่กำลังเปลี่ยนมือ ในขณะที่อเมริกากำลังสร้างสิ่งใหม่ขึ้นมาทั้งหมด?
คำตอบของคำถามเหล่านี้จะไม่ได้ปรากฏอยู่ในราคาตลาดของวันนี้ แต่จะถูกจารึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์ในอีกหลายทศวรรษข้างหน้าค่ะ
1
โฆษณา