Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ลานฝึกผี
•
ติดตาม
17 ต.ค. เวลา 14:26 • บันเทิง
มือที่แปดเปื้อน
...
ตอนนี้ผมกำลังนอนอยู่บนเตียง
แต่มันไม่ใช่เตียงนอนที่นุ่มสบายอะไร
เพราะมันคือเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล
และสภาพของผมในตอนนี้อาจจะเรียกได้ง่าย ๆ ว่า “ป่วยติดเตียง”
...
เรื่องราวของผม
ผมจะเล่าให้ฟัง
เป็นเรื่องราวก่อนหน้าที่ผมจะต้องมาอยู่ในสภาพนี้
เพื่อให้เป็นอุทาหรณ์เตือนใจ
สำหรับคนที่กำลังจะเดินไปบนเส้นทางเดียวกับผม
ทั้งยังหวังเอาไว้ลึก ๆ ว่าการเล่าเรื่องนี้
อาจจะมีผลบุญมาช่วยบรรเทาความทรมานลงได้บ้าง
ผมไม่ขอบอกชื่อของตัวเอง
และจะพาย้อนกลับไปเมื่อ 10 ปีก่อน
ตอนนั้นผมได้ทำงานก่อสร้างกับผู้รับเหมาเจ้าหนึ่ง
ขออธิบายนิสัยของผมหน่อย
ผมจะเป็นคนใจร้อน
กล้าได้กล้าเสียไม่กลัวใคร
ดังนั้นจึงทำให้มีเรื่องมีราวกับคนอื่น ๆ อยู่เป็นประจำ
มีคู่อริไปทั่วไม่ว่าจะไปที่ไหน
ยิ่งพอได้มาทำงานรับเหมาก่อสร้าง
ยิ่งได้เจอคนที่นิสัยคล้าย ๆ กัน
ทำให้ผมถูกเฮียเรียกไปตักเตือนอยู่บ่อยครั้ง
เพราะมีการทะเลาะวิวาทกันในไซต์งาน
...
ผมจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากับไอ้เมฆ
ซึ่งไอ้เมฆมันเข้ามาทีหลังผม
และในกลุ่มมันจะมีกันอยู่ 4 คน
มีหลายครั้งที่ผมกับไอ้เมฆตกลงกันไม่ลงตัวในการทำงาน
และมันก็จะจบลงที่การทะเลาะวิวาท
จึงทำให้ผมกับมันเขม่นกันอยู่เสมอ
เรียกได้ว่าพร้อมจะมีเรื่องกันได้ตลอดเวลา
...
อยู่มาคืนหนึ่ง
ขณะที่ผมกำลังเดินกลับจากซื้อของที่ปากซอย
ผมก็เห็นว่ามีคนเดินออกมาขวางทาง
ถึงมันจะมืดสลัว
แต่ผมก็พอจะรู้ว่าพวกนี้คือพวกไอ้เมฆ
“พวกมึงมีอะไร”
“หลีกทางไปกูจะเดิน”
พอผมพูดกับพวกมันไป
พวกมันก็พุ่งเข้ามาทำร้ายผมทันที
ผมเองก็ไม่ใช่ว่าจะถูกกระทำฝ่ายเดียว
มีการปะทะกันไปพักหนึ่ง
แต่ด้วยจำนวนที่มากกว่า
ผมเลยถูกกระทืบจนสลบไปตรงนั้น
พอฟื้นมาอีกทีก็ไม่เจอใครแล้ว
ทั้งตัวเต็มไปด้วยบาดแผลฟกช้ำ
ปากแตก คิ้วแตก
ผมพยายามประคองตัวเองกลับมาที่ห้องพัก
กะว่าพรุ่งนี้จะเอาเรื่องไปฟ้องเฮีย
...
พอเล่าทุกอย่างให้เฮียฟัง
ก็ได้มีการเรียกพวกไอ้เมฆมาสอบสวน
ผลที่ได้คือ...
พวกไอ้เมฆมันรอดไป
พวกมันบอกว่าไม่ได้ออกไปไหนทั้งคืน
และก็มีพยานยืนยันเป็นรุ่นน้องที่ไซต์งาน
บอกว่านั่งสังสรรค์อยู่ด้วยกันทั้งคืน
เรื่องนี้จึงกลายเป็นว่าผมไปมีเรื่องกับกลุ่มอื่น
แล้วใส่ร้ายพวกไอ้เมฆมัน
ผมก็ถูกเฮียด่าไปชุดใหญ่
บอกว่าอย่าสร้างเรื่องเดี๋ยวบริษัทจะเสียชื่อเสียง
ไม่งั้นจะเอาผมออก
ผมเจ็บใจมาก
ได้แต่เก็บความแค้นไว้ในใจ
พอกลับมาทำงาน
ตอนที่เดินสวนกับไอ้เมฆ
“อร่อยมั้ยวะรสชาติหมัดของพวกกู”
“มึงจะทำอะไรกูได้วะ”
“คนในไซต์งานนี้กูซื้อตัวไว้หมดแล้ว”
“คราวหน้าก็ระวังตัวไว้หน่อยนะเว้ย เดี๋ยวจะเจ็บตัวฟรีอีก”
แล้วไอ้เมฆมันก็ทำหน้ายิ้มเย้ยเดินจากไป
ตอนนั้นผมกำหมัดโกรธจนลมออกหู
แต่ก็ต้องข่มอารมณ์ไว้
ไม่งั้นก็ต้องออกจากงานเพราะถูกคาดโทษ
...
หลังเลิกงานผมก็ได้แต่เดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงไปเรื่อย
กะว่าจะเดินไปหาอะไรกินให้ใจมันเย็นลง
ขณะที่ผมกำลังนั่งดื่มอยู่ที่ร้าน
ผมก็เหลือบไปเห็นว่า
มีลุงคนหนึ่งนั่งอยู่โต๊ะเยื้องไปทางด้านซ้ายของผม
แกจะมองมาที่ผมตลอดเวลา
จนผมก็ชักเริ่มจะหงุดหงิดขึ้นมา
“มองอะไรนักหนาวะ”
“ยังไม่อยากเตะคนแก่นะเว้ย”
พอสิ้นความคิดของผมเท่านั้น
ลุงแกก็ลุกเดินเข้ามาหาผม
“ไงไอ้หนุ่ม โดนมาหนักเลยสิ”
แกพูดกับผมแบบนิ่ง ๆ
“อะไรลุง ลุงพูดเรื่องอะไร”
ผมก็ตอบแกไปเสียงแข็ง ๆ
“พึ่งจะโดนเล่นมาซะอ่วมเลยใช่มั้ย”
“ดูเหมือนจะเอาเรื่องอีกฝ่ายไม่ได้ด้วยนี่”
พอลุงพูดต่อมาแบบนั้นผมก็อึ้ง
สงสัยว่าแกรู้ได้ยังไง
ไม่ทันได้ถามกลับ
ลุงแกก็นั่งลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้ามผม
“เอ็งอยากเอาคืนมั้ยล่ะ”
“ข้ามีวิธี”
แกพูดพร้อมกับควักกระดาษใบหนึ่งออกมาจากกระเป๋า
แล้วยื่นมาให้ผม
“อะไรลุง”
ผมก็มองที่กระดาษนั้น
มันเป็นที่อยู่ของบ้านหลังหนึ่ง
“ถ้าเอ็งอยากเอาคืนพวกมัน”
“ก็มาตามที่อยู่นี้ ข้าจะรอ”
พอจบลุงแกก็ลุกไปเช็กบิล
แล้วก็เดินออกจากร้านไป
...
พอกลับมาที่ห้องพัก
ผมก็หยิบกระดาษแผ่นนั้นออกมาดู
ทั้งสงสัยกับคำพูดของลุง
ทั้งสงสัยว่าลุงรู้เรื่องของผมได้ยังไง
“เอาวะ”
อีก 2 วันผมก็ได้หยุดงาน
ผมจึงเดินทางไปตามที่อยู่ในกระดาษนั้น
ก็ไม่รู้หรอกว่าแกเป็นใคร
แต่ถ้ามันจะทำให้ผมได้แก้แค้นพวกไอ้เมฆได้
มันก็ไม่มีอะไรเสียหายที่จะลอง
พอไปถึงที่หมาย
มันเป็นบ้านไม้ที่อยู่ค่อนข้างลึก
ต้องเข้ามาในซอยที่เปลี่ยวพอสมควร
แต่แปลกว่าที่บ้านนั้น
มีรถจอดอยู่หลายคัน
และดูเหมือนว่าจะมีแขกมาที่นี่จำนวนไม่น้อย
พอเข้าไปในตัวบ้าน
ผมจึงเห็นว่ามันเป็นตำหนักหมอผี
และลุงคนนั้นก็คือหมอผีที่ตอนนี้กำลังทำพิธีให้กับคนอื่น ๆ อยู่
ลักษณะคือใส่ชุดขาว มีประคำห้อยคอ ด้านหลังเป็นโต๊ะหมู่บูชาขนาดใหญ่
ซึ่งลักษณะของแกต่างจากที่ผมเห็นเมื่อคืนนั้นลิบลับ
ในคืนนั้นลุงแกแต่งตัวเรียกได้ว่าดูค่อนข้างมีฐานะ
เหมือนกับเสี่ยรวย ๆ คนหนึ่ง
แต่พอมาตอนนี้
แกกลายเป็นหมอผีที่ดูมีอำนาจ
ทุกคนที่มาต่างพากันหมอบกราบ
...
พอลุงมองเห็นผม
แกก็หันไปพูดกับลูกศิษย์ที่นั่งอยู่ข้าง ๆ
แล้วลูกศิษย์คนนั้นก็เดินเข้ามาหาผม
“ตามมาทางนี้”
เขาบอกแล้วก็เดินนำผมไปทางหลังบ้าน
เขาบอกให้ผมนั่งรออยู่ในห้องห้องหนึ่ง
เป็นห้องไม่ใหญ่มาก
ตกแต่งเป็นห้องรับแขก
คงจะเอาไว้สำหรับแขกพิเศษ
ผ่านไปพักใหญ่
ลุงแกก็เดินเข้ามาในห้อง
ผมก็ยกมือไหว้ตามมารยาท
จากนั้นพวกเราก็คุยกันถึงเรื่องที่ผมเจอมา
และเรื่องที่ผมคับแค้นอยู่ในใจ
“ข้ามีของดีจะให้เอ็ง”
ว่าแล้วลุงก็ล้วงลงไปในย่าม
หยิบขวดน้ำขนาดเล็ก ๆ กับกระดาษอีก 2 แผ่นออกมา
แล้วก็บรรจงเทน้ำในขวดลงแก้ว
“ดื่มนี่ซะ”
ผมรับแก้วน้ำที่แกยื่นมาให้
มันมีสีออกเหลือง ๆ ปนเขียวอ่อน
มีกลิ่นฉุนเหมือนสมุนไพร
“นี่มันน้ำอะไรลุงจะเอามาให้ผมกิน”
ผมทำจมูกย่นถามแกกลับไป
“น้ำว่านวิเศษ”
“เอ็งกินแล้วจะมีแต่โชคลาภ”
“ศัตรูไม่มีแผ้วพาล”
ก่อนลุงแกจะเหลือบตามองผม
แล้วพูดด้วยเสียงต่ำแทบจะกลืนไปกับลมหายใจ
“ของแบบนี้ข้าไม่ได้ให้ทุกคนนะ”
“ข้ามองเห็นว่าเอ็งมีของดีในตัว”
ทำใจอยู่ครู่หนึ่ง
ผมก็กลั้นใจยกกระดกกินทีเดียวหมดแก้ว
รสชาติมันก็เฝื่อน ๆ ฝาด ๆ
พอเสร็จแล้วลุงแกก็ยื่นกระดาษ 2 แผ่นนั้นมาให้ผม
ในกระดาษทั้ง 2 แผ่นนั้นเขียนเป็นบทคาถาเอาไว้
ไม่ยาวมาก
แผ่นแรกขนาดเท่าฝ่ามือ
อีกแผ่นนึงใหญ่กว่าเล็กน้อย
ลุงแกบอกว่า
คาถาในแผ่นแรกนี้
ไว้ใช้กับศัตรูหรือคู่แข่ง
ให้ท่องคาถาในใจแล้วเป่าลงไปบนฝ่ามือ
จากนั้นก็เอาฝ่ามือข้างนั้นไปแตะตัวของเป้าหมาย
คนที่โดนก็จะมีอาการเจ็บป่วยทรมานก่อนจะตายภายใน 7 วัน
ส่วนคาถาในกระดาษแผ่นที่ 2
เป็นคาถามหาเสน่ห์
วิธีการก็เหมือนกัน
คือท่องแล้วเป่าใส่ฝ่ามือ
คนที่ถูกสัมผัสจะต้องมนต์เสน่ห์เรา
เอ็นดูและคอยช่วยเหลือทุกอย่าง
เอาไว้ใช้กับคนที่อยากผูกมิตรด้วย
...
พอรู้เรื่องอะไรกันหมดแล้ว
ผมก็ลาลุงแกกลับ
เอาตรง ๆ ในใจผมตอนนั้นก็ยังไม่ค่อยอยากเชื่อเท่าไหร่
เพราะโตมาจนป่านนี้แล้ว
คำว่าผีสางก็ไม่เคยเชื่อ
ยิ่งกับเรื่องมนต์คาถานี่ยิ่งแล้วใหญ่
“ขอลองหน่อยเถอะวะ”
“ลุงจะของจริงแค่ไหน”
แต่ก็เอามาแล้ว
มันก็ต้องลองให้รู้กับตัว
ผมใช้เวลาไม่นานมาก
ก็สามารถท่องคาถาทั้ง 2 บทนั้นได้ขึ้นใจโดยไม่ต้องอ่าน
การทำงานก็เป็นไปตามปกติ
โดยผมจะคอยหาโอกาสเพื่อไปแตะตัวไอ้เมฆให้ได้
และมันก็มาถึง
จังหวะที่มันบอกให้ผมยื่นเครื่องมือให้
ผมก็ท่องคาถาและเป่าใส่ฝ่ามือ
ไม่รู้ว่าผมคิดไปเองรึเปล่า
พอเป่าคาถาลงไปที่มือแล้ว
ผมได้กลิ่นสาบอ่อน ๆ ลอยขึ้นมาจากมือของผม
แล้วมันก็รู้สึกเสียวสันหลังขนลุกแปลก ๆ
“คิดไปเองมั้ง”
ผมก็เดินไปหยิบของที่ต้องการ
ก่อนจะยื่นเครื่องมือไปให้
พร้อมกับใช้มือแตะไปที่หลังมือของมัน
เหตุการณ์ก็ผ่านไป 3 วันโดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ตอนนั้นผมก็คิดแล้วว่าคงจะโดนลุงแกต้มเข้าให้แล้ว
ของแบบนี้ไม่น่าใช่ของจริง
แต่แล้ว...
ผมก็ไม่เห็นไอ้เมฆมันมาทำงาน 2 วัน
ได้ยินจากแก๊งของมันบอกว่าไอ้เมฆป่วยหนัก
ต้องเข้าโรงพยาบาล
มีอาการท้องบวม
ผิวหนังดำคล้ำ
กินอะไรไม่ได้เลย
และพอครบ 7 วัน
ผมก็ได้รู้ว่าไอ้เมฆมันตายแล้ว
...
“เอ้ย ของจริงนี่หว่า”
ตอนนั้นผมรู้สึกดีใจมาก
เสี้ยนหนามที่คอยตำอยู่ตอนนี้มันหายไปแล้ว
จากนั้นผมก็ค่อย ๆ ทำแบบเดิมกับแก๊งของมันที่เหลือ
รวมไปถึงคนที่ช่วยโกหกเป็นพยานให้พวกมันด้วย
และผลก็ออกมาเหมือนกัน
คือพวกมันค่อย ๆ พากันป่วยหนัก
ด้วยอาการเหมือนกับไอ้เมฆ
และพอครบ 7 วันก็พากันตายจนหมด
...
ช่วงนั้นก็มีการซุบซิบถึงการตายของพวกมันในหมู่คนงาน
ต่างก็ว่าอาการเหมือนคนโดนของ
แต่ก็ไม่รู้ว่าใครเป็นคนทำ
เวลาก็ผ่านไปอีกหนึ่งเดือน
ผมก็เริ่มอยากจะลองคาถามหาเสน่ห์ขึ้นมา
โดยคนแรกที่ผมเลือกก็คือเฮียเจ้าของ
ผมท่องคาถาแล้วใช้มือจับไปที่แขนของเฮีย
พอผ่านมา 2 วันมันก็เห็นผล
เฮียดูสนใจผมมากขึ้น
คอยมาถามไถ่และซื้อของแพง ๆ มาให้ผมบ่อย ๆ
มากกว่านั้นคือผมได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นเรื่อย ๆ
จนตอนนี้ได้กลายมาเป็นเลขาคนสนิทของเฮีย
ผมจะได้ติดตามเฮียไปทุกที่
ทำให้ผมได้เข้าสังคมใหญ่ ๆ มากขึ้น
มีเงินมากขึ้น
เรียกได้ว่าช่วงนั้นชีวิตมันพลิกจากหลังมือเป็นหน้ามือ
แน่นอนว่าเรื่องผู้หญิงก็ไม่พลาด
พอมีเงินแล้วเรื่องพวกนี้ก็จะเข้ามาหาเองเป็นปกติ
ถ้าสนใจใครแล้วเธอไม่เล่นด้วย
ผมก็จะใช้คาถามหาเสน่ห์กับเธอ
แล้วผมก็ได้สมหวังทุกครั้งไป
เริ่มมีบ้านมีรถมีทรัพย์สิน
เปลี่ยนคู่ไม่ซ้ำหน้า
พอเบื่อแล้วก็ปล่อยทิ้งแบบไม่สนใจใยดี
แล้ววันหนึ่ง...
...
ผมก็ได้รับโทรศัพท์จากคนขับรถของเฮีย
บอกว่าตอนนี้เฮียป่วยหนักมากนอนอยู่ที่โรงพยาบาล
พอรู้ข่าวผมก็ขับรถไปเยี่ยม
แต่สภาพที่ผมเห็นมันทำให้ผมตกใจ
เฮียที่นอนอยู่บนเตียงนั้น
ผิวดำคล้ำเหมือนโดนแดดเผามาอย่างหนัก
ทั้งที่เดิมแกเป็นคนผิวขาวตามสไตล์คนจีน
บริเวณท้องบวมเป่งเหมือนกับลูกโป่งใกล้แตก
จนไม่สามารถติดกระดุมเสื้อคนไข้ได้
คุณหมอก็บอกว่าหาสาเหตุอะไรไม่เจอเลย
กินอะไรก็ไม่ได้
ได้แต่ให้น้ำเกลือ
และเฮียแกก็ได้แต่ครางอย่างคนเจ็บปวดทรมาน
ตอนนั้นผมนึกถึงพวกไอ้เมฆเลย
เพราะอาการมันเหมือนกันทุกอย่าง
แต่ก่อนที่ผมจะกลับ
เฮียเอื้อมมือมาจับที่ข้อมือผม
พอผมหันกลับไปมอง
ผมจำแววตานั้นได้ดี
แววตาของเฮียที่กำลังมองผมอยู่ตอนนี้
เป็นสายตาที่บอกว่ารู้ทุกอย่างแล้ว
ผมใจหายขนลุกขึ้นมา
คิดว่าเฮียต้องรู้แน่ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นนี้มันเป็นเพราะผม
เฮียเขาไม่ได้พูดอะไร
สักพักก็ปล่อยมือผมแล้วก็กลับไปนอนเหมือนเดิม
ผมก็เลือกที่จะไม่สนใจ
แต่สายตาคู่นั้นของเฮียมันยังคงอยู่ในความทรงจำ
ลบไม่ออกเลย
ซึ่งผ่านไปอีกไม่กี่วัน
ผมก็ทราบข่าวว่าเฮียแกเสียแล้ว
และที่ต้องตกใจมากไปกว่านั้น
เนื่องจากแกไม่มีครอบครัว
แกจึงเขียนพินัยกรรมยกทุกอย่างให้เป็นของผมจนหมด
ผมดีใจมาก
ตอนนี้คือผมกลายเป็นคนรวยในชั่วข้ามคืน
ลืมเรื่องทุกอย่างไปจนหมดสิ้น
เสพสุขกับกองเงินกองทอง
ธุรกิจรับเหมาที่ได้รับสืบต่อมาจากเฮียแกก็ไปได้ด้วยดี
ถ้าหากมีคู่แข่งเข้ามา
ผมก็จะใช้คาถาบทนั้นกำจัดออกไป
เรียกได้ว่าตอนนี้บริษัทรับเหมาของผมแทบจะใหญ่ที่สุดแล้ว
แต่ทว่า...
...
ผมเริ่มจะได้ยินข่าวร้าย
ทุกคนที่ผมเคยใช้คาถามหาเสน่ห์ด้วย
ไม่ว่าจะเป็นผู้หญิงหรือคู่ค้าทางธุรกิจ
ต่างก็ค่อย ๆ ทยอยกันเสียชีวิตทีละคน
และที่น่าขนลุกคือ
ทุกคนเสียด้วยอาการแบบเดียวกันหมด
มาถึงจุดนี้ผมเริ่มใจไม่ดีแล้ว
คิดว่ามันเริ่มมีคนตายมากเกินไป
และดูเหมือนทั้งหมดจะมาจากผมแน่ ๆ
ผมนึกถึงลุงคนนั้นขึ้นมาทันที
ตัดสินใจเดินทางไปหาแกที่บ้าน
อยากจะไปถามให้กระจ่างเกี่ยวกับเรื่องทั้งหมด
พอไปถึง...
ภาพที่ผมเห็นคือบ้านไม้ที่ทรุดโทรมแทบจะพังลงมา
บริเวณโดยรอบมีหญ้าขึ้นรกเต็มไปหมด
ผมเดินแหวกทางเข้าไปที่ตัวบ้าน
พยายามสำรวจดูสภาพของมัน
มันคือสภาพที่ไม่มีคนอยู่มานานหลายปีแล้ว
ถ้าให้เดาเล่น ๆ ก็คงจะพากันย้ายออกไปหลังจากที่ผมมาที่นี่เมื่อหลายปีก่อน
ผมเดินไปที่หลังบ้าน
ตรงห้องรับแขกห้องนั้น
แน่นอนว่าตอนนี้มันไม่เหลืออะไรแล้วนอกจากฝุ่นและเศษไม้
แต่มันมีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมสะดุดตา
คือที่แผ่นไม้ผนังบ้านแผ่นหนึ่ง
มันมีอักษรความเขียนเอาไว้
ซึ่งมันก็เลือนรางแทบจะมองไม่เห็นแล้ว
“กูส่งต่อแล้วนะ ปล่อยกูไปซะที”
ข้อความมันอ่านได้ประมาณนี้
ผมงงกับข้อความนี้มาก
มันหมายถึงอะไรกันแน่
หลังจากนั้นผมก็ขับรถกลับออกมา
และไปจอดกินข้าวที่ร้านใกล้ ๆ
เพื่อถามถึงบ้านหลังนั้น
พอป้าเจ้าของร้านได้ยินผมถามถึงบ้านหลังนั้นและลุงหมอผี
แกก็ดูเหมือนจะไม่ค่อยอยากพูด
ผมเลยต้องยัดเงินให้ป้าไปอีก 2000
พอเห็นเงินแล้วป้าแกเลยยอมเล่าออกมา
“นี่เห็นว่าพ่อหนุ่มเซ้าซี้อยากรู้จริง ๆ นะ ป้าเลยเล่าให้ฟัง”
แล้วผมก็ได้ความมาว่า
หลังจากวันที่ผมกลับจากตำหนักนั้น
ไม่นานก็มีข่าวว่าลุงหมอผีแกเสียชีวิตอย่างปริศนา
คือนอนตายไปเฉย ๆ ด้วยสภาพที่เหี่ยวแห้งเหมือนกับศพที่ตายมานานแล้ว
ลูกศิษย์เห็นว่าไม่ลุกออกมาจากห้องนอนซักที
เลยเข้าไปดู
ก็เจอภาพอย่างที่บอก
หลังจากนั้นทุกคนที่ผ่านไปมาแถวนั้น
ก็พูดเหมือนกันว่าเจอดีกันหมด
เจอผีนั่งอยู่บนหลังคาบ้าน
เจอผีหัวขาดเดินตามหาหัวในบริเวณบ้าน
ที่หนักสุดคือมีคนเห็นลุงหมอผีคนนั้น
อยู่ในสภาพที่ถูกผีรุมทึ้งกัดกินอยู่ในบ้าน
มีเสียงโหยหวนทรมานดังออกมาแทบทุกคืน
จนคนแถวนี้เขาไม่ผ่านไปทางนั้นและไม่อยากพูดถึงบ้านหลังนั้นอีก
...
มาถึงจุดนี้ผมก็ไม่รู้จะไปพึ่งใครแล้ว
ก็ทำได้แค่กลับมาใช้ชีวิตตามปกติ
โดยพยายามจะไม่ใช้คาถา 2 บทนั้นอีก
เพราะจากเรื่องที่ได้ยินมา
บวกกับเหตุการณ์ที่มีคนรอบข้างค่อย ๆ ตายไป
มันก็ทำให้ผมเริ่มกลัวขึ้นมา
แต่แล้ว...
ดูเหมือนมันจะสายเกินไป
ผ่านมาประมาณเกือบปี
วันนั้นผมกำลังจะออกจากบ้านตามปกติ
แต่มันกลับรู้สึกปวดท้องขึ้นมาอย่างกะทันหัน
และมันก็ปวดรุนแรงมากจนถึงกับต้องลงไปนอนขดบนพื้น
ผมรีบหยิบโทรศัพท์มาโทรหาเลขา
ขอให้ช่วยพาผมไปส่งโรงพยาบาล
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ
คุณหมอบอกว่าตรวจไม่พบสาเหตุอะไรเลย
แม้ว่าจะตรวจอย่างละเอียดหลายรอบแล้ว
รักษาทั้งกินยาและฉีดยา
แต่มันก็แทบจะไม่ช่วยอะไรเลย
ผมปวดไปหมดทั้งตัว
และท้องมันก็ค่อย ๆ บวมขึ้นมาทีละน้อย
จนในที่สุดมันก็บวมเป่งเหมือนกับลูกโป่งที่สูบลมเต็มที่
ผมมองเห็นผิวตัวเองเริ่มคล้ำขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งยังแห้งหยาบ
ภาพของทุกคนที่ตายไปแล้วมันผุดขึ้นมา
ตอนนี้ผมก็มีสภาพไม่ได้ต่างกัน
จากงานที่กำลังรุ่งเรือง
มันก็ล้มครืนลงมาอย่างง่ายดาย
จากเงินที่มีอยู่มากมาย
ตอนนี้มันก็แทบจะไม่เหลือเพราะเอามาใช้เป็นค่ารักษา
เพื่อนฝูงที่เคยมี
บัดนี้ก็ไม่เห็นใครเดินมาเยี่ยมอีกแล้ว
มันทรมานทั้งกายและใจมาก
คิดกับตัวเองว่าอีกไม่นานก็คงต้องตายเหมือนกับคนอื่น
แต่...
ผ่านไป 7 วันก็แล้ว
ผ่านไป 1 เดือนก็แล้ว
ผ่านไป 3 เดือนก็แล้ว
จนตอนนี้ผมไม่รู้แล้วว่าเวลามันผ่านไปนานแค่ไหน
แต่ผมก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะตายเลย
มีแต่ความเจ็บปวดทรมานอยู่ทุกวันทุกคืน
ร่างกายผอมแห้งจนหนังหุ้มกระดูกเพราะกินอะไรไม่ได้
กินอะไรก็ปวดท้องจนต้องอ้วกออก
ผมก็แอบได้ยินหมอกับพยาบาลคุยกันว่า
สภาพแบบนี้ไม่น่าจะมีชีวิตอยู่ได้แล้ว
มันเป็นเรื่องที่แปลกมาก
แล้วมาถึงตอนนี้ผมก็ทำอะไรไม่ได้
จะขยับลุกไปไหนก็ไม่ได้
ดีที่ยังพอพูดได้อยู่
ได้แต่มองท้องของตัวเองที่มันบวมจนตึงไปหมด
ต่างกับส่วนอื่น ๆ ที่นับวันยิ่งจะแห้งเหี่ยวไป
...
แล้วผมก็จะเริ่มฝันอะไรแปลก ๆ
ในความฝันนั้น
ผมกำลังเดินอยู่ในโถงทางเดินของโรงพยาบาล
สุดปลายทางเดินนั้น
ผมจะเห็นภาพของชาย 2 คน
ร่างกายกำยำ
ผิวสีแดงเข้ม
ใส่โจงกระเบนพร้อมถือหอกในมือ
ด้านหลังของชายทั้ง 2 ผมเห็นว่ามีเปลวไฟลุกอยู่
และมันก็จะมีเสียงคนโหยหวนดังออกมาจากกองไฟเหล่านั้น
พอผมเดินเข้าไปใกล้จะถึงตัวของชายทั้ง 2
มันก็จะมีมือสีดำโผล่มาจากทางด้านหลัง
และมือเหล่านั้นก็จะเข้ามาจับรัดตัวของผม
แล้วก็กระชากดึงตัวผมกลับไป
จะมาจบที่ผมถูกลากกลับมายังเตียงผู้ป่วย
จากนั้นผมก็จะสะดุ้งตื่น
ผมจะฝันอยู่แบบนี้วนไป
ช่วงแรกก็ฝันเดือนละครั้ง
แต่พอผ่านไปมันก็เริ่มฝันแบบนี้ถี่ขึ้นเรื่อย ๆ
และทุกครั้งที่ฝัน
จะพบว่า
มือสีดำที่มาดึงตัวผมกลับเตียงนั้น
นับครั้งก็จะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ
ราวกับมีใครบางคนตายเพิ่มขึ้นเพราะผม
จาก 2 มือเป็น 4 มือ
จาก 4 มือจนเดี๋ยวนี้มันนับไม่ถ้วน
...
ก็อย่างที่ผมบอกไว้ตอนแรก
ว่าผมอยากให้เรื่องนี้มันเป็นอุทาหรณ์เตือนใจ
ว่าอย่าได้เลือกเข้ามาในเส้นทางเดียวกับผม
เพราะสิ่งที่ต้องจ่ายมันมากเหลือเกิน
และมันก็ไม่เปิดโอกาสให้เราต่อรองใด ๆ ทั้งนั้น
จนคิดว่าถ้าตายไปได้เลยคงจะดีกว่า
และผมก็ได้แต่หวังอยู่ทุกวัน
ว่าซักวันหนึ่งถ้าเวรกรรมมันพอจะเบาบางลงได้บ้างแม้ซักเล็กน้อย
มันก็คงจะอนุญาตให้ความตายเข้ามาช่วยให้ผมหลุดพ้นจากความทรมานนี้ซะที
...จบ...
เรื่องโดย ลานฝึกผี
ภาพโดย Copilot
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย