18 ต.ค. เวลา 20:41 • หุ้น & เศรษฐกิจ
บ้านปิ่นเกล้า

วิกฤติ "ค่ายสแกม" ของกัมพูชา

กัมพูชา 'เศรษฐกิจลงแดง'! เมื่อเงินสแกมเมอร์เทียบ 'ยาเสพติด' ชนชั้นนำเสพจนงอม – ตัดขาดเมื่อไหร่ เสี่ยงช็อกตายทั้งระบบ
– วิกฤต "ค่ายสแกม" ที่กำลังเป็นข่าวดังไปทั่วโลก โดยมีชาวเกาหลีใต้ถึง 330 รายถูกกักขังและทรมาน ไม่ใช่แค่ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติเท่านั้น แต่สำหรับกัมพูชาแล้ว มันคือ "เศรษฐกิจเงา" ที่หล่อเลี้ยงประเทศจนถึงขั้นกลายเป็น "ยาเสพติด" ที่บรรดาชนชั้นนำเสพติดอย่างถอนตัวไม่ขึ้น
ข้อมูลเชิงลึกจากรายงานของสหรัฐอเมริกาและองค์กรนานาชาติชี้ว่า อุตสาหกรรมสแกมเมอร์ในกัมพูชาสร้างรายได้มหาศาลถึง 40-60% ของ GDP และหากมีการ"ตัดขาด" จากแหล่งเงินนี้อย่างฉับพลัน เศรษฐกิจกัมพูชาอาจเผชิญกับภาวะ "ลงแดง" รุนแรง จนถึงขั้น “ช็อกตายทั้งระบบ”
เม็ดเงินพิษ : 60% ของ GDP คือเงินสแกม
รายงานล่าสุดจาก United States Institute of Peace (USIP, 2024) และ Humanity Research Consultancy (2025) ได้เปิดเผยตัวเลขที่น่าตกใจ : อุตสาหกรรมสแกมเมอร์ที่ใช้แรงงานทาสหลอกลงทุนคริปโตและโรแมนติกสแกม สร้างรายได้ให้ประเทศสูงถึง 12.5–19 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 40-60% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของกัมพูชา ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 32 พันล้านดอลลาร์
นี่คือเม็ดเงินมหาศาลที่ไหลเข้ามาสู่ระบบเศรษฐกิจ ผ่านช่องทางที่ซับซ้อน แม้เงินส่วนใหญ่จะถูกฟอกและไหลออกไปยังจีนผ่านสกุลเงินดิจิทัล แต่กัมพูชาก็ได้รับ "เศรษฐกิจรอง" ที่สำคัญยิ่งยวด เช่น ค่าเช่าที่ดิน ค่าโครงสร้างพื้นฐาน และค่าธรรมเนียมการคุ้มครอง ซึ่งช่วยดัน GDP ของประเทศอย่างลับ ๆ จนกลายเป็นเสาหลักทางเศรษฐกิจที่แทบจะแทนที่ "เศรษฐกิจจริง" ไปแล้ว
นักวิเคราะห์เปรียบเทียบสถานการณ์นี้ว่า เงินจากค่ายสแกมเปรียบได้กับ "ยาเสพติดความเข้มข้นสูง" ที่บรรดาผู้มีอำนาจและชนชั้นนำในพรรค CPP (พรรคประชาชนกัมพูชา) เสพติดจนงอมแงม เพราะเป็นแหล่งรายได้ส่วนตัวที่รวดเร็วและตรวจสอบได้ยาก
คนกัมพูชาได้อะไร?: บทบาทผู้คุ้มกันและนายหน้า
ในขณะที่เศรษฐกิจเงาเฟื่องฟู แต่คนกัมพูชาแท้ ๆ กลับมีส่วนร่วมน้อยมาก รายงานของ Amnesty International (2025) ระบุว่า มีชาวกัมพูชาที่เกี่ยวข้องโดยตรงไม่เกิน 5-10% ของแรงงานสแกมทั้งหมด (ราว 5,000–15,000 คน) โดยส่วนใหญ่มีบทบาทเป็นเพียง "ผู้คุ้มกันท้องถิ่น" หรือ "เจ้าหน้าที่รัฐที่รับสินบน" เท่านั้น
แรงงานหลักกว่า 100,000–150,000 คน ในค่ายสแกมกว่า 53 แห่ง (ในสีหนุวิลล์, ปอยเปต, และบาเว็ต) คือแรงงานทาสต่างชาติจากจีน เวียดนาม เกาหลีใต้ และอินเดีย นี่คือจุดที่ชนชั้นนำของกัมพูชาได้ประโยชน์โดยตรงและทางอ้อม มีการกล่าวหาว่าสมาชิกพรรค CPP ระดับสูงบางราย เช่น Ly Yong Phat และ Hun To ได้รับผลประโยชน์จากค่าประกันภัยและการเช่าที่ดินเพื่อเปิดค่ายสแกม (US Treasury, 2025)
ยื้อสุดตัว: กลัว "ลงแดงช็อกตาย"
นี่คือเหตุผลสำคัญที่อธิบายว่า ทำไมรัฐบาลพนมเปญจึงปกป้องและยื้ออุตสาหกรรมนี้ไว้อย่างสุดกำลัง แม้จะเผชิญกับแรงกดดันมหาศาลจากนานาชาติ การสั่งตัดขาดอุตสาหกรรมสแกมเมอร์ในทันทีทันใดจึงเปรียบเหมือนการ "ถอนยาเสพติดฉับพลัน"ซึ่งจะทำให้ระบบเศรษฐกิจ
 
"ลงแดง" รุนแรงจนอาจถึงขั้น “ช็อกตาย”
USIP (2024) และ DW (2025) เตือนว่า หากกัมพูชาตัดสินใจตัดขาดจากอุตสาหกรรมนี้ เศรษฐกิจจะสะเทือนหนัก:
1. GDP หดตัว: อาจหดตัวลงถึง 40-60% ในระยะสั้น
2. การเงินล่ม: สูญเสียรายได้รองที่ไหลเข้าประเทศกว่า 5-10 พันล้านดอลลาร์
3. ว่างงานพุ่ง: อัตราว่างงานอาจพุ่งสูงถึง 20%
4. ท่องเที่ยวทรุด: ภาคการท่องเที่ยว (ซึ่งถูกแบนจากหลายชาติ) จะลดลงอย่างน้อย 30%
รายงาน The Diplomat (2025) ชี้ว่า การถดถอยจะรุนแรงคล้ายกับที่ลาวประสบ แต่ในระดับที่เลวร้ายกว่ามาก การสูญเสียรายได้ส่วนตัวนับพันล้านดอลลาร์จะนำไปสู่การ "แตกแยกภายในพรรค CPP" และความเสี่ยงต่อความไม่มั่นคงทางการเมืองจากเจ้าหน้าที่ระดับล่างที่เคยพึ่งพาสินบน CSIS (2025) เตือนว่า “ชนชั้นนำแทบเป็นไปไม่ได้ที่จะหยุด เพราะเศรษฐกิจเงาแทนที่ระบบจริง”
พวกเขาจึงเลือกที่จะ "ยื้อเวลา" ที่กำลังหมดไปอย่างรวดเร็ว ด้วยการแสดงท่าทีที่คลุมเครือต่อประชาคมโลก และรอให้กระแสข่าวดับลง การปกป้อง "เงินยาเสพติด" นี้จึงเป็นเรื่องของการ "อยู่รอด" ของชนชั้นนำเอง ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ของคนกัมพูชาโดยรวมอย่างที่อ้าง
18 ตุลาคม 2568 : คัดข่าว, หาดใหญ่
ที่มา: USIP (2024), Amnesty International (2025), UNODC (2024), The Diplomat (2024-2025), Nation Thailand (2025), DW (2025), CSIS (2025), RFA (2024), US Treasury (2025).
โฆษณา