19 ต.ค. เวลา 07:13 • ความคิดเห็น
กฎหมายประเทศไทยเฮงซวยครับ
ในสังคมไทย ความเมตตาบางทีก็มีอายุสั้นกว่ากรรมสิทธิ์ที่คนอื่นสร้างขึ้นบนความเมตตานั้น
วัดใหญ่ในจังหวัดปทุม เคยเป็นตัวอย่างชัดเจน พระผู้ใหญ่เมตตาให้ชาวบ้านเข้ามาอาศัยชั่วคราว สร้างบ้าน เปิดร้าน ทำมาหากินในเขตวัด เพราะอยากช่วยเหลือให้คนได้อยู่รอด แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปหลายสิบปี เมตตานั้นกลับกลายเป็นหลักฐานชั้นดีในการยึดครอง พอเจ้าอาวาสจะขอคืนพื้นที่ ก็ถูกกล่าวหาว่าขับไล่ประชาชน ทั้งที่สิ่งที่ถูกยึดคือที่วัดเอง
นี่แหละครับ ความเมตตาแบบไทยๆ เมตตาจนคนที่ได้รับกลายเป็นเจ้าของตัวจริง และคนที่ให้กลายเป็นผู้บุกรุกโดยพฤตินัย กฎหมายเงียบ ศีลธรรมอ้าง ส่วนอำนาจก็เลือกข้างคนที่เสียงดังและมีจำนวนมากกว่า
มันไม่ต่างอะไรกับเหตุการณ์ในอดีต เมื่อไทยเปิดรับผู้ลี้ภัยจากประเทศเพื่อนบ้านทางตะวันออกในยุคสงครามเย็น ตอนนั้นไทยให้ที่พักพิงด้วยมนุษยธรรม แต่ผ่านไปไม่กี่สิบปี คนที่เข้ามาอาศัยกลับกลายเป็นเจ้าของพื้นที่เสียเอง มีบ้าน มีตลาด มีสิทธิ์เรียกร้อง และบางคนยังดูถูกเจ้าของแผ่นดินเดิมด้วยซ้ำ เหมือนความกรุณาถูกตีราคาใหม่เป็นโฉนดไปเรียบร้อย
1
ทั้งสองเรื่องนี้เหมือนกันตรงที่ ความเมตตาในสังคมเรามักถูกตีความว่าเป็นความอ่อนแอ
ใครเมตตาเท่ากับเปิดประตูให้ถูกแย่ง
ใครให้อภัยเท่ากับยอมแพ้
ใครช่วยเหลือเท่ากับเสียสิทธิ์
วัดที่ให้คนอยู่ กลับถูกกล่าวหาว่าโลภ
ประเทศที่ให้คนพำนัก กลับถูกมองว่าใจร้ายถ้าขอคืนพื้นที่ สุดท้ายคนที่มีศรัทธาและคนที่มีอำนาจก็ไม่ได้อยู่ฝั่งเดียวกันอีกต่อไป
มันทำให้เห็นว่า สังคมที่ศีลธรรมยังขึ้นตรงกับเสียงข้างมาก ไม่เคยเข้าใจคำว่าเมตตาที่แท้จริง เพราะเมตตาไม่ใช่การยกที่ให้คนยึด แต่คือการให้โอกาสเพื่อให้เขาเดินต่อไปโดยไม่ลืมว่าที่ตรงนั้น...ไม่ใช่ของเขา
โฆษณา