19 ต.ค. เวลา 10:56 • หุ้น & เศรษฐกิจ

AI กับแรงงานไทย: ความท้าทายและทางรอด

เป็นเรื่องปกติที่เทคโนโลยีใหม่ ๆ มักถูกนำเข้ามาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และเพิ่มผลิตภาพปัจจัยการผลิตโดยรวม ดังที่เราได้เห็นตลอดมาในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ ทั้งการนำเครื่องจักรมาแทนที่แรงงานจำนวนมากในสมัยปฏิวัติอุตสาหกรรม การนำโดรนมาใช้หว่านปุ๋ยและพ่นยาในภาคการเกษตร และ AI ก็เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ถูกนำเข้ามาใช้
AI กลายเป็นคำที่ได้ยินกันอยู่ทุกวัน ตั้งแต่ข่าวธุรกิจ คอนเทนต์ในโลกออนไลน์ ไปจนถึงวงสนทนาในกลุ่มเพื่อน และหัวข้อสนทนาที่พูดถึงกันมากคงหนีไม่พ้น “ผลกระทบจาก AI ต่อแรงงาน” แม้มันจะเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และสร้างความสะดวกแก่ผู้ใช้ แต่มันก็มาพร้อมกับความท้าทายต่อตลาดแรงงานไทยและทั่วโลก
🤖ข้อดีของ AI
ในด้านบวก AI ช่วยให้แรงงานสามารถทำงานได้รวดเร็วและสะดวกขึ้น แม่นยำมากขึ้น และมีข้อผิดพลาดน้อยลง เพราะมันเข้ามาช่วยลดภาระงานซ้ำซาก เช่น งานเอกสาร งานบัญชี การผลิตในโรงงาน เป็นต้น
หากมองในมุมของธุรกิจแล้วการนำ AI มาใช้ในองค์กรเป็นทางเลือกที่น่าสนใจไม่น้อย เพราะสามารถลดต้นทุนในส่วนของค่าแรง และเพิ่มผลผลิตได้ และหลายองค์กรเริ่มนำ AI มาใช้ โดยมีทั้งที่ใช้ควบคู่กับแรงงานมนุษย์ และใช้แทนแรงงานมนุษย์ในงานที่ทำงานซ้ำซาก
👩‍💼AI จะทำให้คนตกงาน?
การเข้ามาของ AI สร้างความเสี่ยงต่อการตกงาน ในกลุ่มแรงงานที่ขาดทักษะทางเทคโนโลยี โดยเฉพาะงานที่ซ้ำซากและสามารถถูกแทนที่ได้ เช่น พนักงานแคชเชียร์ พนักงาน Call Center ผู้พิสูจน์อักษร ฯลฯ ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจระหว่างแรงงานที่มีทักษะการใช้ AI กับแรงงานที่ไม่มี
ทั้งนี้ หลายคนคิดว่า AI จะเข้ามาแล้วแทนที่แรงงานทันที แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงคือ มันจะค่อย ๆ แทนงานบางส่วนอย่างเงียบ ๆ เช่น บริษัทอาจไม่ปลดพนักงานที่มีอยู่ แต่ก็จะไม่จ้างพนักงานเพิ่มแล้ว เพราะคาดหวังว่า AI เข้ามาเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน หรือบริษัทอาจลดจำนวนพนักงานลง แล้วใช้ AI มาทำงานแทนในบางส่วน หรือเลือกจ้างเฉพาะพนักงานที่ใช้งาน AI ได้ดี เพื่อหวังให้การทำงานมีประสิทธิภาพขึ้นในต้นทุนที่ต่ำลง
🧑‍🏭ถ้าคนตกงานจำนวนมาก?
แม้ในความเป็นจริงแล้วการเลิกจ้างงานจำนวนมากพร้อมกันจนส่งผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจอย่างหนักนั้นเป็นไปได้ยาก หากไม่เกิดวิกฤตการณ์อย่างการแพร่ระบาดของ COVID-19 แต่ก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่ AI จะทำให้เกิดการเลิกจ้างจำนวนมากหากมันสามารถแทนที่แรงงานมนุษย์ได้เกือบทั้งหมด และแรงงานมนุษย์ยังไม่สามารถพัฒนาทักษะให้มีทักษะการใช้ AI ได้
หากเกิดการเลิกจ้างแรงงานจำนวนมาก จะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อระบบเศรษฐกิจโดยรวม เพราะเมื่อแรงงานตกงาน พวกเขาย่อมขาดรายได้ ซึ่งจะทำให้รายได้ของครัวเรือนจะลดลง กำลังซื้อและการบริโภคภายในประเทศหดตัว ส่งผลให้ธุรกิจมียอดขายลดลงและอาจต้องลดการผลิตหรือลดพนักงานเพิ่ม โดยเฉพาะธุรกิจในภาคค้าปลีก บริการ และอุตสาหกรรมขนาดกลางถึงขนาดเล็ก ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจจะยิ่งรุนแรงขึ้น ช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนขยายกว้าง และอาจนำไปสู่ปัญหาสังคม เช่น หนี้สินครัวเรือนเพิ่มขึ้น ภาวะเศรษฐกิจหดตัว การประท้วงของแรงงาน
👨‍💻แล้วแรงงานไทยควรทำอย่างไร?
หากจะอยู่รอดและก้าวผ่านความท้าทายนี้ไปให้ได้ แรงงานไทยต้องรับตัว Upskill และ Reskill ให้สามารถใช้และอยู่ร่วมกับ AI ได้ในโครงสร้างการทำงานที่เปลี่ยนไป รวมทั้งปรับทัศนคติให้มอง AI เป็นเครื่องมือ ไม่ใช่ศัตรู
แต่อีกหนึ่งปัญหาที่สำคัญไม่ใช่แค่แรงงานไทยไม่มีทักษะทางเทคโนโลยีหรือไม่ต้องการพัฒนา แต่แรงงานไทยต้องทำงานอย่างหนักติดต่อกันหลายชั่วโมง จึงมีเวลาน้อยหรือแทบไม่มีเวลาได้พัฒนาทักษะของตนเลย หรือพัฒนาได้อย่างไม่เต็มที่
ดังนั้น ทั้งภาครัฐและเอกชนไม่ควรปล่อยให้แรงงานเป็นผู้แบกรับภาระเอง แต่ควรส่งเสริมให้แรงงานได้ Upskill และ Reskill เพื่อเสริมทักษะให้แรงงาน ให้แรงงานได้มีรายได้ ให้ครัวเรือนยังมีกำลังซื้อ ให้ธุรกิจยังคงดำเนินต่อไปได้อย่างมั่นคง และให้สังคมยังคงเดินหน้าและปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงได้ต่อไป
โฆษณา