เมื่อวาน เวลา 22:00 • สิ่งแวดล้อม

🌊 ลุ่มน้ำของไทยในมุมมองใหม่ (Rethinking River Basins)

💧 Phase II — ระบบน้ำกับการจัดการแบบบูรณาการ (ตอนที่ 1/5)
🖋️ โดย ดร.ณัฐณิชา ผ่องพุฒิ
“ทุกครั้งที่น้ำไหลผ่านภูเขา มันไม่ได้เพียงกัดเซาะหิน
แต่มันเขียนเรื่องราวใหม่ของแผ่นดิน —
ดร.น้ำใจเชื่อว่า การเข้าใจลุ่มน้ำ คือการอ่านหนังสือเล่มใหญ่ที่สุดของธรรมชาติ”
1. ลุ่มน้ำไม่ใช่เส้นขอบในแผนที่
ประเทศไทยมีลุ่มน้ำหลัก 22 ลุ่ม ครอบคลุมทุกภูมิภาคตั้งแต่ภูเขาสูงในภาคเหนือไปจนถึงชายฝั่งทะเลภาคใต้
แต่เมื่อพูดถึง “ลุ่มน้ำ” คนส่วนใหญ่ยังนึกถึงเพียงแม่น้ำสายหลัก เช่น เจ้าพระยา มูล หรือแม่กลอง
ทั้งที่แท้จริงแล้ว ลุ่มน้ำคือ “หน่วยชีวิต” ที่ประกอบด้วยภูเขา ป่า ดิน น้ำ เมือง และผู้คนในระบบเดียวกัน
ลุ่มน้ำหนึ่งลุ่มอาจมีอำเภอหลายแห่ง จังหวัดหลายจังหวัด และหน่วยงานหลายกระทรวงดูแล
แต่ธรรมชาติไม่เคยแยกเขตเช่นนั้น —
น้ำจากยอดดอยไม่รู้ว่ากำลังไหลจากจังหวัดหนึ่งไปสู่อีกจังหวัดหนึ่ง
มันเพียงไหลตามแรงโน้มถ่วง และทำหน้าที่ของมันอย่างซื่อสัตย์
“ธรรมชาติไม่มีเส้นแบ่ง แต่เรามักสร้างเส้นนั้นขึ้นเอง” — ดร.น้ำใจ
2. ระบบลุ่มน้ำคือโครงสร้างของชีวิต
ในทางวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม “ลุ่มน้ำ (Watershed)” คือระบบเปิด (open system)
ที่รับพลังงานจากดวงอาทิตย์และน้ำฝน แล้วแปลงเป็นการไหล การซึม การระเหย และการกักเก็บ
ระบบนี้มีทั้งโครงสร้าง (structure) และหน้าที่ (function)
ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด Structure–Function Relationship ที่เราพูดถึงตั้งแต่ตอนแรก
Structure ของลุ่มน้ำ = ภูมิประเทศ ดิน ป่า ลำน้ำ
Function ของลุ่มน้ำ = การกักเก็บน้ำ การระบายน้ำ การบำบัดตามธรรมชาติ และการให้บริการทางนิเวศ
เมื่อโครงสร้างใดเปลี่ยน หน้าที่ของระบบจะเปลี่ยนทันที
ถ้าป่าหายไป น้ำจะไหลแรงและเร็วขึ้น
ถ้าดินเสื่อม น้ำจะไม่ซึม เกิดน้ำหลาก
ถ้าลำน้ำถูกปิดกั้นโดยสิ่งก่อสร้างจำนวนมาก การไหลจะสะดุดและเกิดน้ำเน่า
ดังนั้น การจัดการลุ่มน้ำไม่อาจทำโดยแยกส่วน แต่ต้องมองทั้งระบบเชื่อมโยงกัน
3. มองไทยใหม่ในฐานะประเทศแห่งลุ่มน้ำ
ประเทศไทยไม่ได้เป็นเพียง “ประเทศเกษตรกรรม” แต่คือ “ประเทศแห่งลุ่มน้ำ (Nation of Basins)”
ลุ่มน้ำคือกรอบธรรมชาติที่หล่อหลอมการตั้งถิ่นฐาน วัฒนธรรม และเศรษฐกิจมาตั้งแต่โบราณ
ภาคเหนือ: ระบบแม่ปิง–วัง–ยม–น่าน รวมเป็นเจ้าพระยา
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ: ลุ่มน้ำมูล–ชี สายเลือดของที่ราบสูงโคราช
ภาคกลาง: พื้นที่รับน้ำใหญ่ที่สุดของประเทศ เป็นหัวใจของการผลิตอาหาร
ภาคตะวันออก: ลุ่มน้ำประแสร์ คลองพลง–ระยอง พื้นที่อุตสาหกรรมและชายฝั่งเศรษฐกิจ
ภาคใต้: ลุ่มน้ำตาปี–ปัตตานี ที่ต้องเผชิญทั้งน้ำท่วม น้ำเค็ม และความเปราะบางจากชายฝั่ง
แต่ละลุ่มน้ำมีบุคลิก (character) ต่างกัน
มีปัญหาเฉพาะและโอกาสเฉพาะ
ดังนั้น การจัดการน้ำในประเทศไทยจึงต้อง “จำแนกลุ่มน้ำตามหน้าที่” ไม่ใช่ตามเขตจังหวัด
นี่เองที่เป็นจุดเริ่มของแนวคิด Function-Based Clusters (FBC)
4. ปัญหาใหญ่ของการจัดการลุ่มน้ำไทย: โครงสร้างไม่ตรงหน้าที่
ในอดีต การบริหารจัดการน้ำมักแยกส่วน
หน่วยงานหนึ่งดูแลเขื่อน อีกหน่วยงานดูแลน้ำใต้ดิน อีกหน่วยงานดูแลคุณภาพน้ำ
แต่ในทางระบบ นี่คือ “การวางโครงสร้างโดยไม่เข้าใจหน้าที่”
ตัวอย่างเช่น
การสร้างเขื่อนในพื้นที่ที่ไม่เหมาะสม ทำให้ระบบชะลอน้ำธรรมชาติถูกทำลาย
การถมพื้นที่หนองบึงเพื่อสร้างเมือง ทำให้ระบบกักเก็บน้ำหายไป
การระบายน้ำออกจากพื้นที่เกษตรเร็วเกินไป ทำให้ดินสูญเสียความชุ่มชื้น
ทั้งหมดนี้คือผลจากการจัดการโดยไม่คำนึงถึง Structure–Function Relationship ของลุ่มน้ำ
“เราไม่สามารถซ่อมระบบน้ำ ด้วยการซ่อมแค่ท่อระบายน้ำ” — ดร.น้ำใจ
5. การมองลุ่มน้ำในมุมของ Function-Based Clusters
แนวคิด FBC ของลุ่มน้ำ (Basin-Level FBCs) เสนอให้จัดพื้นที่ตาม “หน้าที่ของระบบน้ำ”
ไม่ใช่เพียงตามขอบเขตภูมิศาสตร์หรือการปกครอง
โดยจำแนกเป็น 6 กลุ่มหลัก (F1–F6):
กลุ่ม หน้าที่หลัก ตัวอย่างพื้นที่
F1 พื้นที่อนุรักษ์ (Conservation Function) ป่าต้นน้ำ ภูเขาสูง
F2 พื้นที่หน่วงและกักเก็บน้ำ (Retention Function) หนอง บึง อ่างเก็บน้ำ
F3 พื้นที่เกษตรกรรม (Production Function) ที่ราบลุ่มกลาง
F4 พื้นที่เศรษฐกิจ–เมือง (Economic Function) เขตเมือง/อุตสาหกรรม
F5 พื้นที่ระบายน้ำ (Drainage Function) ลำน้ำหลัก/คลองระบายน้ำ
F6 พื้นที่เปราะบาง–ชายฝั่ง (Vulnerable Function) พื้นที่ราบชายฝั่ง น้ำเค็มรุก
การมองลุ่มน้ำแบบนี้ทำให้เราสามารถ “เห็นระบบทั้งชุด”
และเชื่อมโยงการวางแผนของหลายหน่วยงานให้เป็นภาพเดียวกัน
6. ลุ่มน้ำคือระบบสังคม–สิ่งแวดล้อม
ลุ่มน้ำไม่ได้มีแค่ธรรมชาติ แต่มีผู้คนอยู่ในนั้น
ชาวนาในพื้นที่ F3 ต้องการน้ำเพื่อเพาะปลูก
เมืองใน F4 ต้องการน้ำเพื่ออุปโภค
และพื้นที่เปราะบางใน F6 ต้องการการป้องกันน้ำเค็ม
หากทุกฝ่ายไม่เข้าใจหน้าที่ของกันและกัน ระบบก็ขัดแย้ง
ดังนั้น “การจัดการลุ่มน้ำที่ยั่งยืน” ต้องเกิดจาก การสื่อสารข้ามคลัสเตอร์ (cross-cluster dialogue)
เช่น การประชุมผู้ใช้น้ำ การวางแผนร่วมระหว่าง อปท.–กรมชลประทาน–กรมทรัพยากรน้ำ
นี่คือก้าวแรกของ “ธรรมาภิบาลเชิงระบบ (Systemic Governance)” ที่ไทยกำลังพัฒนาอยู่
7. การเปลี่ยนมุมมองจาก “ปัญหา” เป็น “หน้าที่”
ดร.น้ำใจเคยกล่าวในห้องประชุมว่า
“เราจะเห็นภาพใหม่ทันที ถ้าเลิกมองว่าน้ำท่วมคือปัญหา แต่มองว่านั่นคือหน้าที่ของพื้นที่ระบาย”
เพราะในระบบธรรมชาติ ทุกพื้นที่มีหน้าที่เฉพาะ
ถ้าเราเข้าใจหน้าที่ของมัน เราจะออกแบบระบบให้สอดคล้องแทนที่จะขัดขวาง
เช่น พื้นที่น้ำท่วมซ้ำซากอาจเปลี่ยนเป็น “พื้นที่รับน้ำ (Retention Zone)”
หรือพื้นที่เกษตรชายฝั่งที่ได้รับน้ำเค็มอาจพัฒนาเป็น “พื้นที่เกษตรผสมผสาน (Brackish Agriculture)”
นั่นคือหัวใจของการออกแบบลุ่มน้ำยุคใหม่ —
ไม่ใช่ปิดกั้นน้ำ แต่ให้ระบบทำหน้าที่ของมันอย่างอิสระที่สุดเท่าที่จะทำได้
8. ลุ่มน้ำแห่งอนาคต: จากแผนที่สู่ระบบเรียนรู้
ในอนาคต การจัดการลุ่มน้ำไทยจะต้องไม่หยุดอยู่ที่แผนแม่บท
แต่ต้องกลายเป็น “ระบบเรียนรู้ (Learning Basin)”
ซึ่งใช้ข้อมูลแบบ real-time จากดาวเทียมและเซนเซอร์ในพื้นที่
เพื่อประเมินสภาพน้ำ ดิน และป่าอย่างต่อเนื่อง
สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เริ่มพัฒนาฐานข้อมูลนี้แล้ว
โดยใช้แนวคิด FBC–SEA เป็นแกนกลางในการบูรณาการหน่วยงาน
เมื่อระบบข้อมูลและการตัดสินใจเชื่อมถึงกัน
เราจะสามารถ “มองเห็นทั้งลุ่มน้ำ” เหมือนมองร่างกายผ่านเครื่องเอกซเรย์
“อนาคตของการจัดการน้ำไทย ไม่ใช่แค่มีข้อมูลมากขึ้น
แต่คือต้องเข้าใจข้อมูลเหล่านั้นในภาษาของระบบ” — ดร.น้ำใจ
9. ข้อคิดส่งท้ายจาก “ดร.น้ำใจ”
“น้ำไหลตามแรงโน้มถ่วง แต่สังคมควรไหลตามความเข้าใจ”
เมื่อเรามองลุ่มน้ำด้วยสายตาใหม่
เราจะเห็นว่ามันไม่ได้เป็นเพียงแผนที่ของภูมิประเทศ
แต่มันคือแผนที่ของความสัมพันธ์ —
ระหว่างธรรมชาติ หน่วยงาน และผู้คน
หากเราสามารถจัดการความสัมพันธ์เหล่านี้ได้
ไม่ใช่ด้วยอำนาจ แต่ด้วย “น้ำใจและความเข้าใจเชิงระบบ”
ประเทศไทยก็จะไม่เพียงมีน้ำใช้ แต่จะมี “ชีวิตที่สมดุล” อยู่คู่กับน้ำตลอดไป 🌿
#ดรน้ำใจ #RethinkingRiverBasins #FBC #SEA #สิ่งแวดล้อมยั่งยืน #IntegratedWaterManagement #EnvironmentalScience #Blockdit
โฆษณา