20 ต.ค. เวลา 04:03 • ข่าวรอบโลก

กรณีศึกษา เรื่องการเรียกร้อง "สิทธิมนุษยชน" ในสังคมไทย กับกรณี สว.อังคณา นีละไพจิตร

หลังจากที่ กัณฐัศว์ พงศ์ไพบูลย์เวช หรือ ‘กัน จอมพลัง’ ลงพื้นที่ไปยังจังหวัดสระแก้ว เพื่อนำรถแห่ติดเครื่องขยายเสียงไปเปิดเสียงผี และฉายหนังกลางแปลง ก็กลายเป็นชนวนที่สร้างเสียงวิพากษ์วิจารณ์ไปอย่างกว้างขวางในสังคมและสื่อโซเชียลมีเดีย
ทว่าผ่านไปเพียงไม่กี่วัน เรื่องราวกลับบานปลายขึ้นเรื่อยๆ จนนำมาสู่การวิพากษ์วิจารณ์ไปอย่างกว้างขวาง ถึงทั้งบทบาทของนักสิทธิมนุษยชน และสื่อมวลชน
กรณีประเด็นการเรียกร้องกับการเปิดเสียงผีที่บ้านหนองจาน
ในอดีต สว.อังคณาเคยเป็นพยาบาล และแม่บ้านที่ประสบกับจุดเปลี่ยนให้มากลายเป็นนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนอย่างเต็มตัว หลังจากที่ สมชาย นีละไพจิตร สามีผู้ซึ่งเป็นอดีตประธานชมรมนักกฎหมายมุสลิม และทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน ที่คอยช่วยเหลือผู้ต้องหาในคดีความมั่นคงทางภาคใต้ ถูกบังคับให้สูญหายไปเมื่อปี 2547
เธอก่อตั้ง มูลนิธิยุติธรรมเพื่อสันติภาพ (Justice for Peace Foundation –JPF) เพื่อติดตามคดีของสามี และให้ความช่วยเหลือเหยื่อที่ถูกทรมานและบังคับสูญหายรายอื่นๆ นอกจากนี้ เธอยังมีบทบาทเป็นกรรมการสิทธิมนุษยชน รวมถึงสมาชิกวุฒิสภา ที่ทำงานด้านสิทธิมนุษยชนในปัจจุบัน
โ,กสวยปกคิหรือเรียกร้องสิทธิอย่างไร
เมื่อวันที่ 12 ตุลาคม เธอโพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึงกรณีของกัน จอมพลัง โดยชี้ว่าการปล่อยให้อินฟลูฯ หรือกลุ่มบุคคลเข้าไปในพื้นที่ที่มีความขัดแย้งหรือสงคราม เพื่อกระทำการสร้างความกดดันหรือความหวาดกลัวถือเป็นความท้าทายของรัฐบาล
ในโพสต์ดังกล่าว เธอได้แชร์หนังสือของประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกัมพูชา ที่ทำหนังสือส่งไปยังข้าหลวงใหญ่สิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ ที่ระบุว่า ทั้งเจ้าหน้าที่และพลเรือนในพื้นที่ได้รับผลกระทบจากเสียง โดยการกระทำดังกล่าวนี้มีเจตนาเพื่อรบกวนและข่มขวัญ (..)
ซึ่งการกระทำนี้ไม่มีในสังคมอารยะใดๆ และขัดแย้งโดยตรงกับหลักการของกฎบัตรสหประชาชาติ
เธอทิ้งท้ายว่า “รัฐบาลควรตระหนักว่า การทำใด ๆ ที่ทำให้เกิดความหวาดกลัวหรือส่งผลกระทบต่อจิตใจของพลเรือนแม้จะเป็นคู่ขัดแย้งในสงคราม โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง อาจเข้าข่าย การทรมานทางจิตวิทยา (Psychological Torture) ตามอนุสัญญา CAT ที่ประเทศไทยเป็นภาคี อยากฟังว่ารัฐบาลจะชี้แจงเรื่องนี้อย่างไรในเวทีระดับโลก”
หลังจากที่โพสต์ดังกล่าวถูกเผยแพร่ ก็ทำให้เสียงบนโซเชียลมีเดียแตกออกเป็นสองฝั่ง ทั้งในส่วนที่เห็นด้วยกับ สว.อังคณา ในขณะที่อีกฟากฝั่งก็มองว่าการกระทำของ สว.อังคณานั้นเข้าข้างฝั่งกัมพูชา รวมถึงโจมตีประเด็นการออกมาพูดในฐานะนักสิทธิมนุษยชนของเธอด้วย
องค์ประกอบสำคัญของสิทธิมนุษยชน
การทำหน้าที่ของนักสิทธิฯ สู่คำถามถึงการทำงานของสื่อสารมวลชน
ซึ่งจากกรณีนี้ได้จุดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างต่อเนื่อง โดย สมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กเพจ ศูนย์วิจัยฯ มหาวิทยาลัยหน้าบางแห่งหนึ่ง ถึงรายการดังกล่าว ที่ปล่อยให้แขกในรายการพูดโดยที่ไม่ได้มีการทักท้วงถึงข้อมูลข้อเท็จจริง โดยเฉพาะจากรายการที่ดำเนินโดยผู้ที่ได้รับรางวัลผู้ประกาศข่าวชายยอดเยี่ยม
“จะไม่เห็นด้วยกับคุณอังคณา ก็ว่ากันไป แต่การบอกว่าคุณอังคณา ดังเพราะตามหาสามี (ทนายสมชาย นีละไพจิตร) อันนี้แสดงให้เห็นถึงการขาดไร้ข้อมูลที่สำคัญ ในสังคมไทย มีคนสูญหายจากการใช้อำนาจรัฐเป็นจำนวนมาก ใครที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องต้องเผชิญกับความยากลำบากนานัปการ กรณีคุณอังคณา เรียกร้องมาอย่างหนักแน่น แม้ผ่านมายาวนานก็ไม่ประสบผลแต่อย่างใด”
นอกจากนี้ โพสต์บนโซเชียลมีเดียได้พูดถึงบทบาทของสื่อมวลชนต่อเรื่องนี้เช่นกัน
วรา จันทร์มณี นักวิชาการอิสระด้านสังคมศาสตร์ แสดงความคิดเห็นผ่านโพสต์ว่า อยากให้กรรชัยเข้าใจถึงบทบาทและข้อจำกัดของสื่อมวลชนว่าไม่ควรชักนำสังคมไปสู่ความขัดแย้ง หรือความเข้าใจที่ไม่รอบด้าน รวมถึงความรอบคอบในการพูดถึงความขัดแย้งระหว่างประเทศ เพราะผลกระทบไม่ได้เกิดเฉพาะคนที่ชายแดน แต่ผลกระทบจะรวมมาถึงภาพลักษณ์ความเชื่อมั่นของประเทศทั้งหมดไปจนถึงการค้าการลงทุน และภาวะทางเศรษฐกิจ
ในอีกมุมหนึ่ง ยังมีข้อสังเกตถึงเหตุผลที่นักสิทธิมนุษยชนในไทยถูกตั้งคำถามกับการออกมาแสดงความเห็นว่า อาจเกี่ยวข้องกับความเข้าใจเรื่องสิทธิมนุษยชนที่ผิดเพี้ยนไป
ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ อาจารย์ศูนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยเกียวโต แสดงความเห็นว่า “เป็นเรื่องที่น่าตกใจและน่าเศร้าในเวลาเดียวกันที่คนไทย define ความหมายของความรักชาติที่ไม่มีการปกป้องสิทธิมนุษยชนอยู่ในนั้น นักสิทธิมนุษยชนมีงานหลักคือการปกป้องผู้อ่อนแอ ผู้ถูกกระทำ คนๆ นั้นจะเป็นใครก็ได้ จะเป็นเพื่อนร่วมชาติ เพื่อนต่างชาติ หรือแม้แต่ศัตรูของเรา ดังนั้น งานของนักสิทธิมนุษยชนมันไม่มีพรมแดน มันอยู่เหนือพรมแดน และจะต้องไม่ถูกจำกัดโดยอธิปไตยของรัฐ”
ไม่เพียงแค่ความเห็นจากคนไทย แมรี ลอว์เลอร์ ผู้รายงานพิเศษแห่งสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ได้แสดงความกังวลถึงสถานการณ์ดังกล่าวว่า เธอกังวลอย่างยิ่งกับรายงานการข่มขู่เอาชีวิต และการโจมตีทางออนไลน์ต่อ อังคณา นีละไพจิตร สมาชิกวุฒิสภา อดีตกรรมการคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และนักปกป้องสิทธิมนุษยชนหญิงในประเทศไทย
“การปกป้องความจริง ความยุติธรรม และศักดิ์ศรีไม่ใช่อาชญากรรม เธอควรจะต้องได้รับการปกป้อง ไม่ใช่ถูกประณาม”
มนุษยธรรม บนพื้นฐานของโลก
ในขณะที่ประเด็นการเข้ามาในพื้นที่ของอินฟลูฯ สมัชชามองว่า ความเป็นจริงมันดีมากๆ ในการที่เราเอาใจใส่ เราพร้อมที่จะช่วยกัน แต่ว่าในเชิงการบริหารจัดการ หรือการอำนวยการ ถ้ามันไม่มีคนบริหารจัดการสิ่งเหล่านี้ มันจะไม่ได้ดุลเลย กลับกลายเป็นตัวสะท้อนของความล้มเหลวของหน่วยงานภาครัฐมากขึ้นไปอีก
“ยิ่งมีอินฟลูเอนเซอร์ระดมทำนู่นนี่ ไปถึงขั้นซื้อยุทธภัณฑ์เอง ซื้อโดรน มันสะท้อนความบิดเบี้ยวอะไรบางอย่าง หรือความล้มเหลวบางอย่างของการบริหารจัดการโดยรัฐ ซึ่งเราต้องการความเป็นทางการในนาทีแบบนี้ มันต้องทำงานประสานกัน ไม่ใช่เอกชน อาสาสมัคร จัดการตัวเอง ทำกันเอง” สมัชชากล่าว
มนุษยธรรมบนพื้นฐานโลก
มนุษยธรรม คือ ธรรมของคน หรือ ความเมตตากรุณาที่มนุษย์พึงมีต่อกัน เป็นหลักการสากลที่ให้ความช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนโดยไม่เลือกชาติ ศาสนา หรือความเชื่อ โดยการช่วยเหลือในด้านมนุษยธรรมนี้อาจหมายถึงการช่วยเหลือทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่น ความเห็นอกเห็นใจ ไปจนถึงการตอบสนองต่อภัยพิบัติหรือความขัดแย้งในวงกว้าง
ความหมายและหลักการ
ความหมายทั่วไป: หมายถึง ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของมนุษย์ ความเมตตา และความปรารถนาที่จะช่วยเหลือผู้อื่น
การช่วยเหลือ: เป็นการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในระยะสั้นจนกว่าจะได้รับการสนับสนุนในระยะยาว
หลักการพื้นฐาน : มนุษยธรรมในบริบทขององค์กรระหว่างประเทศ เช่น กาชาด จะยึดหลักสำคัญคือความเป็นกลาง การให้ความช่วยเหลืออย่างเป็นธรรม และการไม่เลือกปฏิบัติ
ในบริบทของกฎหมายระหว่างประเทศ
กฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law - IHL): เป็นกฎหมายที่วางหลักปฏิบัติและคุ้มครองผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสงคราม
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง: เช่น สนธิสัญญาเจนีวา เพื่อปกป้องพลเรือน ทหารที่บาดเจ็บ เชลยศึก หลักการที่เกี่ยวข้อง: เช่น การแบ่งแยกพลรบกับพลเรือน และการจำกัดผลกระทบจากการสู้รบ
ตัวอย่างการปฏิบัติ
ในชีวิตประจำวัน: การแสดงความเห็นอกเห็นใจเพื่อนมนุษย์บนรถไฟฟ้า หรือการช่วยเหลือผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือบนท้องถนน ในสถานการณ์วิกฤต: องค์กรระหว่างประเทศ เช่น สำนักงานเพื่อการประสานงานด้านมนุษยธรรมแห่งสหประชาชาติ (OCHA) จะเข้าให้ความช่วยเหลือในพื้นที่ภัยพิบัติ หรือความขัดแย้ง
#สิทธิมนุษยชน #สิทธิ #สนธิสัญญาเจนีวา #มนุษยธรรม #กฎหมายโลก
โฆษณา