เมื่อวาน เวลา 01:06 • ธุรกิจ

ปัญหาไม่ใช่แค่หาทางออก แต่ต้อง ‘แก้เรื่องที่ใช่’ เข้าใจ The 4U Framework ตัวช่วยโฟกัสต้นเหตุของปัญหา

เมื่อพูดถึงคำว่า ‘ปัญหา’ เรามักจะลงแรงไปกับการแก้ปัญหา จนลืมไปว่า การแก้ปัญหาที่ดีที่สุด คือการเข้าใจถึงต้นตอของปัญหา
ขอยก 1 ใน Quote อันทรงพลังจาก Charles Kettering
“A problem well stated is a problem half solved”
ปัญหาที่อธิบายได้ดี เท่ากับแก้ไปแล้วครึ่งหนึ่ง
เพราะคุณภาพของทางออกในการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด คือการขึ้นอยู่กับ “ความเข้าใจต่อปัญหานั้น ๆ” หลายทางออกล้มเหลว ไม่ใช่เพราะขาดไอเดียหรือความคิดสร้างสรรค์ แต่เพราะปัญหาที่จะไปแก้นั้นกำหนดไว้ไม่ชัด, สำคัญไม่พอ หรือบางครั้ง…ไม่มีอยู่จริง ดังนั้น
การโฟกัส “ปัญหาที่ถูกต้อง”
จะยกระดับคุณภาพของทางออกขึ้นเอง
ซึ่งในบทความนี้อยากพาทุกคนไปเข้าใจกรอบความคิดถึงแนวทางการแก้ปัญหาอย่างมีระบบ ซึ่งสามารถนำไปปรับใช้ได้ในทุกสถานการณ์ ที่มีชื่อว่า “The 4U Framework” จาก Harvard Innovation Labs โดยคุณ Michael Skok จาก Harvard Business School
โดย The 4U Framework เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญ ที่จะช่วยประเมินปัญหาอย่างเร็วและมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นหนึ่งในกรอบแนวคิดเวลาเราคุยเรื่องปัญหาในองค์กร เวลาที่เราต้องจัดลำดับปัญหา หรือเป็นเครื่องมือช่วยขอการสนับสนุนเพื่อทำ Problem Framing หรือหาทางออกต่อไป
🔴 The 4U Framework เครื่องมือประเมินปัญหาแบบรวดเร็ว เหมาะสำหรับการจัดลำดับปัญหา หรือ ก่อนจะลงลึกทำ Problem Framing เพื่อหาต้นตอของปัญหาที่แท้จริงอย่างมีประสิทธิภาพ
ในทุกองค์กร และการทำงาน การจัดลำดับความสำคัญของปัญหาคือเรื่องจำเป็น โดยเครื่องมือ The 4U Framework จะทำหน้าที่ประเมินและจัดลำดับปัญหาในเบื้องต้น โดยแบ่งออกเป็น 4 รูปแบบในการจัดการเพื่อโฟกัสผลกระทบ และหาทางออกได้ถูกจุด
🎯 1. Unworkable (ปัญหาที่มีความรุนแรง)
คือสถานการณ์ที่ “มีความเสียหายหนัก” เช่น เสียรายได้, สูญเสียลูกค้า, เสียชื่อเสียง, เสียส่วนแบ่งตลาด เป็นต้น ผลกระทบของปัญหาแบบนี้หนักและเจ็บมาก เรียกได้ว่าสถานะปัจจุบันแย่จน “ไม่ทำอะไรไม่ได้” ดังนั้นปัญหาแบบนี้ต้องแก้ เพื่อความสำเร็จต่อเนื่อง
⚠️ Checklist เพื่อเช็กว่าเป็นปัญหาแบบ Unworkable หรือไม่ ?
🔸 ถ้าเราไม่ทำ หรือ ไม่แก้ จะเกิดอะไรขึ้น? (ต้องเห็น “ต้นทุนของการไม่ทำ” ที่สูงจริง)
🔸 ต้นตอของปัญหาคืออะไร ? (เช่น ขาดการเข้าถึง ขาดการรับรู้ หรือขาดฟังก์ชัน?)
ตัวอย่าง เช่น ลูกค้ารายหนึ่งเป็นค้าปลีกขนาดใหญ่ มีส่วนลดออนไลน์ แต่เจอช่องโหว่ ลูกค้าบางคนสมัครบัญชีปลอมเพื่อรับส่วนลดหลายครั้ง กระบวนการที่บกพร่องนี้ทำให้เสียเงินปีละ “เจ็ดหลัก” จัดว่าเป็นปัญหาแบบ Unworkable ชัดเจน ดังนั้นต้องรีบแก้ไข
2
🎯 2. Unavoidable (ปัญหาที่เลี่ยงไม่ได้)
คือปัญหาที่ทุกคนต้องเจอไม่ช้าก็เร็ว เรียกได้ว่าเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นนอกเหนือการควบคุมของเรา หรือถูกกระตุ้นด้วยปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้ ตัวอย่างเช่น แพลตฟอร์มมีการปรับ algorithm ใหม่ทุกเดือน ทำให้การทำงานของทีมการตลาด และทั้งบริษัทต้องปรับตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งเป็นหนึ่งในปัญหาขององค์กรที่ต้องปรับตัวตามให้ทัน
เนื่องจากเป็นปัญหาที่ควบคุมไม่ได้ บางเรื่องอาจไม่เร่งวันนี้ แต่จะลุกลามในอนาคต กระทบการดำเนินงานหรือความพอใจของลูกค้า ซึ่งปัญหาจะค่อย ๆ ลามหากเรามองข้ามปัญหา และสุดท้ายจะย้อนมาทำร้ายองค์กรถ้าไม่จัดการ
⚠️ Checklist เพื่อเช็กว่าเป็นปัญหาแบบ Unavoidable หรือไม่ ?
🔸 ปัญหานี้หลบเลี่ยงได้ไหม ? (เช่น การเสียภาษี)
🔸 ปัญหาที่เกิดจากปัจจัยนอกการควบคุม (เช่น ค่าธรรมเนียม, การปรับเปลี่ยนของแพลตฟอร์ม, Net Zero เป็นต้น)
🔸 มีการบังคับให้ทำตามหรือไม่ ? (เช่น กฎหมายหรือระเบียบ)
🎯 3. Urgent (ปัญหาเร่งด่วน)
ปัญหานี้สื่อตรงตามชื่อทุกประการ นั่นคือ ‘ความจำเป็นที่ต้องแก้ทันที’ มีความเร่งด่วน ไม่สามารถรอได้
⚠️ Checklist เพื่อเช็กว่าเป็นปัญหาแบบ Urgent หรือไม่ ?
🔸 อะไรคือสิ่งที่ลูกค้าให้ความสำคัญสูงที่สุด หรือเป็นอันดับแรก ? (ปัญหานี้ควรอยู่บนสุดของรายการ)
🔸 สิ่งที่เผชิญอยู่สอดคล้องกับลำดับความสำคัญขององค์กรไหม? (ถ้าไม่ใช่เรื่องหลัก โอกาสขับเคลื่อนจะต่ำ)
🔸 ต้องรีบแก้เพื่อกันไม่ให้เสียหายหรือไม่ ? (ปัญหาเร่งด่วนมีกรอบเวลาและผลลัพธ์ฉับไว ถ้าไม่จัดลำดับก่อน จะเกิดผลเสียทันที การหาเรื่องที่ต้องรีบ ช่วยให้ทีมขยับเร็ว ลดผลกระทบ และพางานกลับสู่เส้นทางที่ควรจะเป็น)
🎯 4. Underserved (ปัญหาที่มักถูกมองข้าม หรือ ดูแลไม่พอ)
คือปัญหาที่ทางเลือกในตลาดยังไม่พอ หรือยังไม่ตอบโจทย์ผู้ใช้ ซึ่งนับว่าเป็นปัญหาที่สร้างโอกาส สร้างนวัตกรรมและเพิ่มคุณค่าในจุดที่คนต้องการจริง ยิ่งถ้าเป็นคนทำธุรกิจ เราต้องทำให้ลูกค้าเข้าใจว่า “ทำไมสินค้าและบริการของเราโดดเด่น” โดยเฉพาะเมื่อแย่งทรัพยากรจำกัดอย่าง เวลา, เงิน และความสนใจของผู้คน
เช่น บางตลาดอาจจะมีโปรดักต​์ หรือ บริการ ที่มีทางออกให้ผู้บริโภคอยู่แล้ว แต่สิ่งนั้นกลับแพงเกินไป จนกลายเป็น Unworkable สำหรับกลุ่มรายได้น้อย นี่คือโอกาสสร้างทางเลือกเข้าถึงได้มากกว่า เพื่อแก้ความต้องการแบบ Underserved ในจุดนี้
⚠️ Checklist เพื่อเช็กว่าเป็นปัญหาแบบ Underserved หรือไม่ ?
🔸 คู่แข่งในตลาดมีใครบ้าง ? (ในตลาดมีคู่แข่งหรือไม่ และมีใครบ้าง)
🔸 ทางออกไหนมีอยู่แล้วในตลาด ? (ในตลาดมี Solution ตอบโจทย์ปัญหานั้นแล้วหรือยัง)
🔸 ทางเลือกปัจจุบันคืออะไร และ ไม่พอตรงไหน (ราคา, เวลา, การเข้าถึง, คุณภาพ)
หนึ่งในตัวอย่างที่น่าสนใจคือ สายการบินราคาประหยัดอย่าง Southwest และ Ryanair แม้จะมีทางเลือกการเดินทางก่อนหน้า แต่ไม่เหมาะกับผู้เดินทางงบน้อย จึงเพิ่ม Low-cost Airline การโฟกัสตลาดที่ “Underserved” นี้ทำให้พวกเขาเติมเต็มช่องว่างได้สำเร็จ
🔴 กรณีศึกษาที่น่าสนใจ ทำไมแบรนด์ Juicero ถึงล้มเหลวเมื่อมองข้าม 4 ปัจจัยสำคัญนี้
แบรนด์ Juicero เปิดตัวปี 2016 เป็นเครื่องคั้นน้ำผลไม้ไฮเทค ใช้ถุงวัตถุดิบเฉพาะของแบรนด์ เรียกได้ว่าล้ำสมัยมาก แม้ช่วงแรกเป็นที่พูดถึง แต่สุดท้ายล้มเหลวด้วยเหตุผลหลัก ๆ ดังนี้
🔸 Unworkable (ปัญหาที่มีความรุนแรง)
Juicero มองว่าการหั่น/ล้างผลไม้ยุ่งยาก แต่จริง ๆ คนยังทำเองได้ดี ไม่จำเป็นต้องพึ่งเครื่องไฮเทคราคาแพง
🔸 Unavoidable (ปัญหาที่เลี่ยงไม่ได้)
การกินดีและซื้อผักผลไม้เป็นเรื่องหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็จริง แต่แก้ได้ด้วยบริการที่มีอยู่แล้ว เช่น สมัครแพ็กเกจออนไลน์ได้ผัก ผลไม้ หรือซื้อแบบหั่นพร้อมทานผลไม้ ดังนั้น Juicero เลยไม่ได้มีความจำเป็นขนาดนั้น
1
🔸 Urgent (ปัญหาเร่งด่วน)
Juicero วางตัวเป็นทางออกสำหรับคนยุ่งที่ต้องการมื้อสุขภาพเร็ว ๆ แต่การ “คั้นน้ำผลไม้” ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นความต้องการเร่งด่วนเท่าโซลูชันอาหารอื่น
🔸 Underserved (ปัญหาที่มักถูกมองข้าม หรือ ดูแลไม่พอ)
ตลาดมีเครื่องคั้นน้ำที่ดีและราคาจับต้องได้อยู่แล้ว ราคาของ Juicero (ราว 400 ดอลลาร์) สูงเกินไป ทำให้ไม่ตอบโจทย์ “ช่องว่าง” จริง
เมื่อรวมกัน ปัจจัยเหล่านี้ทำให้ Juicero ไปต่อไม่ได้ ตอกย้ำว่าผลิตภัณฑ์ต้องแก้ปัญหาที่สำคัญ เร่งด่วน เลี่ยงไม่ได้ และบริการตลาดที่ยังขาด ไม่ตอบโจทย์ผู้บริโภคจริง
🎯 [ Tips! การใช้งาน ]
🔸 อย่าลืมนำ The 4U Framework ไปลองปรับใช้ โดยการกลับไปดู Checklist ของปัญหา แล้วให้คะแนนในแต่ละ ‘U’ ทั้ง 4 ช่อง ตั้งแต่ 1 - 5 คะแนน เรียงลำดับจากปัญหาที่เกิดขึ้นกับแบรนด์ หรือเหตุการณ์ที่พบเจออยู่ ถ้าปัญหาได้คะแนนสูงทั้งสี่ด้าน แปลว่าต้องเอ๊ะแล้วว่า ควรลงมือแก้ไข แต่ถ้าคะแนนยังน้อย เรามีสามารถกลับมาทบทวนใหม่ เพื่อแก้ไขปัญหาได้อย่างถูกจุด
โดยคุณค่าที่แท้จริงของ The 4U Framework จะช่วยให้ทีม “เปลี่ยนมุมคิดและวิธีคุยเรื่องปัญหา” ให้สร้างสรรค์ยิ่งขึ้น และทำให้เรา “เลือกแก้เรื่องที่ใช่” ด้วยเหตุผลที่ชัด เห็นพ้องร่วมกัน และขยับได้เร็ว
ลองนำเทคนิคนี้ไปลองใช้กับทีมดูได้เลย แล้วดูว่าการสนทนา, การจัดลำดับ และผลลัพธ์ เปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง
✍️ เรียบเรียง: กิตติภพ ปานล้ำเลิศ
🎨 ภาพประกอบ: ชนสรณ เวชสิทธิ์
ที่มา:
• A Framework for Understanding Market Problems - https://swkhan.medium.com/a-framework-for-understanding-problems-9a47f9f90c3c
• Harvard i-lab | Startup Secrets Part 1: Value Proposition - Michael Skok - https://www.youtube.com/watch?v=MgpHuo52OfY
• Unworkable, Unavoidable, Urgent, Underserved: The 4U Framework for Prioritizing Problems - https://www.designsprint.academy/blog/unworkable-unavoidable-urgent-underserved-the-4u-framework-for-prioritizing-problems
• How Product Managers can help decision-makers prioritize problems using the 4U Framework - https://www.designsprint.academy/blog/how-product-managers-can-help-decision-makers-prioritize-problems-using-the-4u-framework
โฆษณา