22 ต.ค. เวลา 05:45 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ส.อ.ท. ห่วงบาทแข็งผิดปกติ กระทบส่งออก ยื่นข้อเสนอ ธปท.

ส.อ.ท. ห่วงบาทแข็งผิดปกติ กระทบส่งออก ยื่นเสนอ ธปท. ตรวจสอบธุรกรรมทองคำ เชื่อโยงความผันผวนค่าเงิน
นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวถึงสถานการณ์ค่าเงินบาทว่า การแข็งค่าหรืออ่อนค่าของเงินบาทถือเป็นเรื่องปกติ เพราะส่วนใหญ่จะเคลื่อนไหวตามทิศทางของเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งขณะนี้นโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีแนวโน้มต้องการกดค่าเงินดอลลาร์ให้อ่อนลง ทำให้สกุลเงินของประเทศคู่ค้าส่วนใหญ่แข็งค่าตาม แต่สิ่งที่น่ากังวลคือค่าเงินบาทของไทยกลับแข็งและอ่อน “มากกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค”
นายเกรียงไกร เธียรนุกูล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.)
จนเกิดความบิดเบือน ซึ่งผู้ส่งออกและผู้ประกอบการไม่ต้องการให้เกิดเหตุการณ์ลักษณะ เนื่องจากไม่สามารถวางแผนธุรกิจได้
นายเกรียงไกร ระบุว่า ที่ผ่านมา ส.อ.ท. ได้ตั้งข้อสังเกตถึงความผิดปกติของค่าเงินบาทและสอบถามไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง แต่ยังไม่ได้คำอธิบายที่ชัดเจน โดยพบว่ามีประเด็นที่น่าสนใจในงบดุลของธนาคารแห่งประเทศไทย ปี 2567 ของ Net Error and Omission ซึ่งเป็นรายการความคลาดเคลื่อนของบัญชีที่ไม่สามารถหาสาเหตุได้ โดยตัวเลขดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นผิดปกติ จึงตั้งข้อสงสัยว่าอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้เงินบาทแข็งเกินจริง
นอกจากนี้ ยังพบความผิดปกติในสถิติการส่งออกทองคำของไทยไปกัมพูชา หลังจากเหตุการณ์ปิดด่านชายแดนช่วงเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งส่งผลกระทบต่อการค้าชายแดนจำนวนมาก โดยเมื่อให้สมาคมธนาคารตรวจสอบข้อมูลย้อนหลัง พบว่าการส่งออกทองคำแท่งไปยังกัมพูชาเพิ่มขึ้นผิดปกติ
จากปี 2563 มูลค่าเพียง 12,000 ล้านบาท พุ่งขึ้นเป็นกว่า 105,000 ล้านบาทในปี 2567 และในปี 2568 เพียง 7 เดือนแรก ก็แตะ 71,000 ล้านบาทแล้ว จนกัมพูชากลายเป็นประเทศปลายทางอันดับ 2 ของการส่งออกทองคำไทย รองจากสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งสร้างความแปลกใจให้กับภาคอุตสาหกรรม
เรื่องนี้เราได้ขอให้ภาครัฐเข้าไปตรวจสอบธุรกรรมการค้าทองคำดังกล่าวว่าเป็นไปตามกฎหมายหรือไม่ มีความผิดปกติหรือเปล่า เพราะอาจเชื่อมโยงกับความเคลื่อนไหวของค่าเงินได้
ทั้งนี้ ในวันนี้ (21 ตุลาคม 2568) นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คนใหม่ จะนำคณะผู้บริหารเข้าหารือกับ ส.อ.ท. เพื่อพูดคุยแนวทางดูแลค่าเงินบาท การช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME และมาตรการเพิ่มการเข้าถึงแหล่งเงินทุน
นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า ขณะนี้หลายหน่วยงาน เช่น Fitch Ratings ได้ปรับมุมมองความน่าเชื่อถือของไทยจาก “Stable” เป็น “Negative” แม้ยังคงเรตติ้งที่ระดับ BBB+ แต่ถือเป็นสัญญาณเตือนว่าหากไม่มีการดำเนินนโยบายรองรับ อาจถูกปรับลดอันดับในอนาคต ซึ่งจะกระทบต่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจโดยรวม
พร้อมระบุเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่ต้นปี ค่าเงินบาทแข็งขึ้นกว่า 7% แต่หลังจากที่มีการพูดถึงประเด็นนี้ในวงกว้าง ค่าเงินบาทอ่อนลงเหลือราว 5% ซึ่งช่วยให้ผู้ส่งออกแข่งขันได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ไทยยังเสียเปรียบคู่แข่งอย่างเวียดนามที่ทำให้เงินสกุลอ่อนลงกว่า 3% ขณะที่เงินบาทแข็งขึ้น ทำให้สินค้าไทยมีต้นทุนสูงกว่าเกือบ 10% เมื่อเทียบกันในตลาดสหรัฐฯ
นี่เป็นเรื่องที่ซีเรียสมาก เพราะเวียดนามได้แต้มต่อเราไปถึงเกือบ 10% ในตลาดเดียวกัน สินค้าชนิดเดียวกัน เราจะสู้ไหวหรือไม่ ขณะเดียวกัน ยังส่งผลต่อภาคท่องเที่ยวด้วย เพราะนักท่องเที่ยวต่างชาติเริ่มเปรียบเทียบค่าเงินและเลือกเดินทางไปประเทศที่ถูกกว่า เช่น ญี่ปุ่นและเวียดนาม ซึ่งทำให้ไทยเสียโอกาสด้านรายได้จากการท่องเที่ยวจำนวนมาก และตอนนี้เวียดนามเขาแฮปปี้มาก เขาประกาศเลยว่าจำนวนนักท่องเที่ยวที่หายจากประเทศอื่นมาโผล่ที่เวียดนามหมด เพิ่มขึ้นอีก 2-3 ล้านคน โดยแทบไม่ต้องทำอะไรเลย
ด้านนายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ไทยเสียเปรียบด้านการแข่งขันอย่างชัดเจน โดยเฉพาะสินค้าในตลาดส่งออกสหรัฐฯ เพราะค่าเงินที่แข็งขึ้นทำให้ต้นทุนของผู้ส่งออกไทยเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับคู่แข่ง เช่น สินค้าที่ไทยและเวียดนามผลิตชนิดเดียวกัน เวียดนามได้เปรียบด้านราคาเกือบ 10%
โดยสาเหตุหลักของการแข็งค่าของเงินบาทมาจากหลายปัจจัย ทั้งระบบ ลอยตัวค่าเงินของไทย, แนวโน้มดอลลาร์อ่อนค่า, การไหลเข้าของเงินทุนต่างชาติ, และดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลต่อเนื่อง ซึ่งแม้จะสะท้อนความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจในเชิงมหภาค แต่ในทางปฏิบัติกลับส่งผลลบต่อผู้ส่งออก โดยเฉพาะกลุ่ม ยานยนต์ เครื่องใช้ไฟฟ้า และอาหารแปรรูป ที่ต้องแข่งขันด้านราคาอย่างเข้มข้น
อย่างไรก็ดี ส.อ.ท.จึงได้ยื่นเสนอข้อเสนอแนะเพื่อให้ภาครัฐและธปท. ร่วมกันดูแลเศรษฐกิจในภาวะเงินบาทแข็ง คือ
1. สนับสนุนเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยน (FX)ให้ส่วนลดค่าธรรมเนียมและอบรมความรู้แก่ผู้ประกอบการ SMEเพื่อช่วยรับมือค่าเงินบาทแข็งค่า
2. ใช้เครื่องมือทางการเงิน/การธนาคารกลาง - ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบายให้น่าดึงดูดต่อการลงทุนภายใน ลดการไหลเข้าสู่ตลาดทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
3. ลดต้นทุนไฟฟ้าพลังงาน และทบทวนโครงสร้างค่าไฟ - ปรับลดวงเงินประกัน การใช้ไฟฟ้าเหลือ 0.5 เท่า สำหรับผู้ชำระเงินตรงเวลา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน
4. ส่งเสริมสินค้า Made in Thailand (MIT) - ให้หน่วยงานภาครัฐจัดซื้อสินค้า MIT ไม่น้อยกว่า 15% ภายในปี 2569 ผ่านระบบ e-bidding เพื่อกระตุ้นการหมุนเวียนเงินในประเทศ
เสริมมาตรการส่งออก เสริมศักยภาพ - สนับสนุน R&D การเพิ่มมูลค่าสินค้า(Value added) ให้แข่งขันได้แม้เงินบาทแข็ง
ประสานงานนโยบายระหว่างประเทศ ในการเจรจาทางการค้า ลดภาษีตอบโต้ และใช้ข้อตกลงการค้าเสรีเพื่อขยายตลาด
สร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจมหภาค - ดูแลงบประมาณไม่ให้ฟุ่มเฟือย ควบคุมหนี้สาธารณะเพื่อให้ มีพื้นที่ในการใช้มาตรการกระตุ้น
พร้อมกันนี้ ส.อ.ท. ยังได้หารือร่วมกับ นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรี เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา เพื่อขอให้ภาครัฐช่วยเหลือผู้ประกอบการรายเล็กที่ได้รับผลกระทบจากการลดวงเงินสินเชื่อของธนาคาร ส.อ.ท. จึงเสนอให้ธนาคารของรัฐ เช่น ธนาคารออมสิน ธนาคารกรุงไทย และธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM Bank) ผ่อนคลายนโยบายปล่อยสินเชื่อ พร้อมขอให้ ธปท. พิจารณากลไกจูงใจให้ธนาคารพาณิชย์เอกชนดำเนินการในทิศทางเดียวกัน เพื่อช่วยผู้ประกอบการที่มีศักยภาพและประวัติดีให้สามารถประคองธุรกิจต่อไปได้
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ :
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
โฆษณา