21 ต.ค. เวลา 10:21 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

🏍โลกแห่ง Grid: การเดินทางของ Art Direction กว่า 40 ปี จาก TRON (1982) ถึง TRON: Ares (2025)

หนังที่บุกเบิกวงการ CG ให้กับโลกภาพยนตร์ หนึ่งในนั้นต้องมี “TRON” เป็นหัวแถวแน่นอน เพราะนับตั้งแต่ TRON (1982) ก็กินเวลาราวๆ 40 ปีแล้วที่โลกไซเบอร์แห่ง “Grid” โลกจำลองในระบบคอมพิวเตอร์ ได้สร้างโลกแห่งความเหนือจริงที่มีอิทธิพลต่อวงการหนัง Sci-fi มาตลอด
TRON เป็นภาพยนตร์แฟรนไชส์ Sci-fi จากค่าย Walt Disney Studios ที่มีภาคแรกเมื่อปี ค.ศ. 1982 เล่าเรื่องราวของ Kevin Flynn โปรแกรมเมอร์อัจฉริยะที่ถูกบริษัท Encom ขโมยผลงานเกมส์ไป Kevin Flynn จึงพยายามแฮ็กเข้าไปในระบบเพื่อค้นหาหลักฐาน แต่ถูก Master Control Program (MCP) ดึงเข้าสู่โลกดิจิทัล “Grid” โลกที่โปรแกรมมีรูปลักษณ์เป็นมนุษย์ และมนุษย์ถูกเรียกว่า “User” ทำให้ Kevin Flynn ต้องต่อสู้กับระบบ เพื่อให้ได้ออกมาจาก Grid และนั่นทำให้เขาเข้าใจโลกดิจิทัลมาจากขึ้น
จนนำไปสู่ภาคที่สอง TRON: legacy (2010) ที่ในภาคนี้โลกดิจิทัลและโลกจริงมาบรรจบกัน จนเกิดการต่อสู้ของโลกที่ต่างกันสุดขั้ว และภาคล่าสุดอย่าง TRON: Ares (2025) ที่โปรแกรมดิจิทัลที่มีความซับซ้อนสูงชื่อ Ares ถูกส่งมายังโลก ซึ่งถือเป็นการเผชิญหน้ากันครั้งแรกระหว่างมนุษย์กับปัญญาประดิษฐ์ด้วย
ในแต่ละภาคก็ต่างสะท้อนยุคสมัยของเทคโนโลยีและแนวคิด ที่มีต่อโลกดิจิทัลในแบบของมันเอง Art of เลยพามาสำรวจ Art Direction ของแฟรนไชส์ ‘TRON’ ผ่านการออกแบบโลกดิจิทัลในตำนานอย่าง ‘Grid’ ของทั้งสามภาคนี้กัน
TRON (1982) การกำเนิดของ Grid
ผู้กำกับ: Steven Lisberger
จุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด เมื่อ Kevin Flynn (รับบทโดย Jeff Bridges) โปรแกรมเมอร์และนักออกแบบเกม ที่ถูก Ed Dillinger ขโมยผลงานเกมส์ไป และ Kevin Flynn ต้องหาหลักฐานและพยายามต่อสู้กับ Ed Dillinger และ MPC ในโลกเสมือนที่ชื่อว่า Grid ด้วยการร่วมมือกับโปรแกรม ‘TRON’ เพื่อที่จะออกจากมิติโลกดิจิทัลให้ได้ โดยในที่สุด Kevin Flynn และ TRON ปราบ MCP ลงได้ ระบบที่ถูกกดขี่ถูกปลดปล่อย และ Kevin Flynn กลับคืนสู่โลกจริง พร้อมนำหลักฐานการขโมยเกม กลับมาเปิดเผย และ Dillinger ถูกเปิดโปง
🎨 Art Direction ของ Grid ใน TRON (1982)
โลกของ Grid ใน TRON ภาคแรก มีการออกแบบที่เรียกว่า “ล้ำหน้า” สำหรับยุค 1982 อยู่มาก เพราะในโลกของวงการภาพยนตร์ TRON ถูกยกให้เป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกของ CG ทั้งในแง่การจัดวางองค์ประกอบภาพและเทคนิคการสร้างภาพด้วย
ภาคนี้เกิดขึ้นพร้อมกับยุคเริ่มต้นของคอมพิวเตอร์ 8-bit ทำให้โลก “ดิจิทัล” ถูกตีความออกมาเป็นรูปทรงเรขาคณิต มีความเป็นเส้นสายแบบสายไฟ และมักใช้แสงนีออนบนเส้นสาย ซึ่งโทนสีที่ใช้มีอยู่ไม่กี่สี ซึ่งเน้นการใช้สีขาว ดำ น้ำเงิน แดง เพราะเป็นสีที่เชื่อมโยงกับสีสายไฟประเภทต่างๆ แผงวงจรไฟฟ้า ถ้าสังเกตดีๆ ภาคแรกได้แรงบันดาลใจจาก circuit board ที่มักอยู่ในคอมพิวเตอร์นั่นเอง
ในส่วนของการใช้ CG ของภาคนี้ แม้เราจะบอกว่าภาคแรกเป็นยุคบุกเบิกของ CG ในวงการภาพยนตร์ แต่การใช้ CG ในภาคแรกก็ไม่ได้มีตลอดทั้งเรื่อง เพราะ CG ถูกใช้ไปกับบางฉากประมาณ 15–20 นาทีของหนังเท่านั้น
ซึ่งใช้ CG กับฉาก Light Cycles และพื้นผิวต่างๆ ในโลกของ Grid ที่มีลักษณะเป็นเส้นสาย แต่ในยุคนั้นการใช้ CG ในวงการหนังยังไม่เป็นที่ยอมรับมากนัก และมีการถกเถียงกันว่าการใช้ CG เข้ามาช่วย จะเรียกว่าเป็นการทำหนังได้อย่างไร? ซึ่ง 40 ปีผ่านมา TRON ได้พิสูจน์แล้วว่า CG กลายเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลต่อวงการหนัง Sci-fi ในทุกวันนี้มากจริงๆ
TRON : Legacy (2010) โลกดิจิทัลแห่งความสมบูรณ์แบบ
ผู้กำกับ: Joseph Kosinski
กว่า 20 ปีให้หลังจากภาคแรก ภาคนี้คือภาคของรุ่นลูกอย่าง Sam Flynn ลูกชายของ Kevin Flynn ที่ได้ค้นพบทางเข้าสู่ Grid รุ่นใหม่ ซึ่งเป็นระบบดิจิทัลที่พ่อของเขาสร้างขึ้น
แต่แล้วเขาก็พบโปรแกรมร้ายอย่าง CLU (โปรแกรมจำลองตัวของพ่อ) ได้กลายเป็นเผด็จการผู้ยึดมั่นในอุดมคติ “โลกที่สมบูรณ์แบบ” และโค่นล้มผู้สร้างของตนเอง
Sam Flynn จึงต้องร่วมมือกับพ่อและโปรแกรมหญิงชื่อ Quorra เพื่อหยุด CLU และหนีออกจากระบบก่อนที่มันจะบุกโลกจริง ในภาคนี้จึงเป็นภาคที่ประตูของทั้งสองโลก ระหว่างโลกจริงกับโลกเสมือนได้เชื่อมโยงถึงกันครั้งแรกด้วย
🎨 Art Direction ของ Grid ใน TRON Legacy (2010)
Grid ในภาคนี้ถูกรีดีไซน์ให้โลกของ Grid เป็นมากกว่าแผงวงจรคอมพิวเตอร์แต่มีความเป็นเมืองมากขึ้น Grid จึงถูก re-design ให้ออกมาเป็นสไตล์ futuristic metropolis ที่มีความล้ำยุค แต่ก็ผสมผสานความเป็น minimal ด้วยการใช้สีเข้ม-อ่อน เพื่อสะท้อนความรู้สึกและแนวคิดของภาคนี้ที่เน้นความเป็น ‘ยุคใหม่’ และเน้น ‘ความสมบูรณ์แบบ’
โทนสีที่ใช้ในภาคนี้จึงเป็นโทน ดำ-น้ำเงิน, ใช้พื้นผิวมันเงา ที่ทำให้รู้สึกสงบ นิ่งงันแต่มีความลึกลับและนุ่มลึกอยู่ นอกจากนี้องค์ประกอบต่างๆ ที่ต้องใช้ CG ก็มีการพัฒนา CG ให้แนบเนียนเข้ากับนักแสดงมากขึ้น ภาคนี้จึงดูมีความเป็นมนุษย์สูงกว่าภาคแรก
TRON : Ares (2025) การมาบรรจบของสองโลก
ผู้กำกับ: Joachim Rønning
ในภาคล่าสุดนี้ คือยุคที่โลกเริ่มเปิดรับความคิดว่าโปรแกรมอาจมี “ชีวิต” จริงๆ จึงมีการทดลองที่ทำให้สามารถ นำโปรแกรมออกมาสู่โลกจริงได้ และโปรแกรมนั้นมีชื่อว่า “Ares” โปรแกรมที่มีพลังมหาศาลและมีความรู้สึกคล้ายมนุษย์ จน Ares ตั้งคำถามว่าตนเองควรอยู่ในโลกไหนกันแน่ ระหว่าง “โลกแห่งคนจริง” หรือ “โลกดิจิทัล”
🎨 Art Direction:
การออกแบบ Grid ในภาคล่าสุดมีความอลังการขึ้นไปอีกขั้น เพราะโลกเสมือนกลับมีทั้งหมด 3 Grid ได้แก่ ENCOM Grid, Dillinger Grid และ Flynn’s Grid
Grid ถูกออกแบบให้มี 3 สีหลัก ตามหลักสี RGB โดย Flynn’s Grid ก็ยังคงเป็นสีน้ำเงินเหมือนเดิม ซึ่งเป็นสีที่แฟนๆ ของตระกูลหนังเรื่องนี้จำได้ขึ้นใจว่าเป็น Grid ต้นกำเนิด กับอีกสอง Grid ใหม่คือ Dillinger Grid และ ENCOM Grid
แต่ความแตกต่างที่น่าตื่นเต้นของภาคนี้ ไม่ใช่การสาด CG สุดอลังการให้คนดู แต่ทีมภาพยนตร์กลับพยายามใช้ CG ให้น้อยที่สุด และเน้นใช้สถานที่จริงเยอะกว่าภาคไหนๆ เน้นให้ฉากมีความจับต้องได้จริงขึ้น เพื่อให้แฟนๆ หนังเรื่องนี้ได้รู้สึกว่า Grid ไม่ใช่โลกที่ “อยู่ไกลเกินตัว” แต่สามารถปะทะกับโลกของเราได้จริงๆ
ยิ่งไปกว่านั้น ภาคนี้ยังเน้นการใช้สีแดงดำ เพื่อย้ำเตือนความรู้สึกให้ไปถึงคนดูว่า Grid ไม่ได้เป็นโลกที่ถูกแยกออกจากโลกจริงอีกต่อไป แต่เริ่ม “รุกราน / เข้าถึง” โลกจริง การใช้สีแดงคือการทำให้รู้สึกถึงพลังที่รุกราน และสื่อสารถึงการทำลายล้างบางสิ่งบางอย่างได้เช่นกัน
ในสองภาคแรก องค์ประกอบของเส้นสายและรูปทรงทั้งสถาปัตยกรรมและเสื้อผ้า มีความเนี๊ยบและสมมาตรสูง แต่ในภาคนี้เราจะไม่ได้เห็นอะไรแบบนั้น โดย TRON Ares จะเต็มไปด้วยเส้นที่ไม่สมมาตร มีความโค้งงอ รูปทรงอาจไม่เคร่งครัดแบบภาคแรก และไม่ minimal เท่าภาคที่สอง เพราะภาคนี้เต็มไปด้วยมีความ “ไม่แน่นอน” ของดิจิทัลที่กำลังรุกล้ำโลกจริงของมนุษย์นั่นเอง
Art Direction ของภาคนี้ จึงไม่ได้ทำให้เรารู้สึกถึงความลึกลับ เย็นเฉียบ หรือเป็ยภัยเงียบ แต่เป็นความเร่าร้อนจนรู้สึกถึงความตึงเครียด เพราะโลกที่กำลังจะถูกรวมเป็นหนึ่งระหว่างคนกับโปรแกรมนั่นเอง
#Artofth #TRON #TRONAres #ARTofFilm
โฆษณา