22 ต.ค. เวลา 10:14 • ดนตรี เพลง

[รีวิวอัลบั้ม] SABLE, fABLE - Bon Iver >>> ตำนานแห่งการพบพา

-ถึงเวลาที่ต้องพูดถึงอัลบั้มนี้ โดยส่วนตัว อัลบั้มนี้เคยเป็นส่วนนึงในการฮีลใจในช่วงที่ผมเจอความยากลำบากเมื่อต้นปี ยิ่งได้มาฟังตอนนี้ อะไรหลายๆอย่างเริ่มสบายใจขึ้น บางเพลงที่ผมเฉยๆกลับทำให้ผมชอบมากขึ้น
-ด้วยเนเจอร์ของอัลบั้มนี้ที่ split ออกเป็นสองพาร์ทชัดเจน สอดคล้องกับตัวศิลปิน Justin Vernon เองก็ผ่านพ้นช่วงที่มืดแปดด้านในการเป็นศิลปินและความวิตกกังวลส่วนตัวมาแล้วครั้งนึง (ดั่งพาร์ท SABLE ที่แปลว่า ค่ำมืด) แล้วก็เปลี่ยนผ่านสู่ความสว่างทางใจมากขึ้นในพาร์ท fABLE (แปลว่า นิทาน, ตำนาน) จากวงดนตรี folk สาย electronica สู่การเล่นท่าง่ายที่มอบทั้งความอบอุ่นและ peaceful น่าโอบกอดเกินกว่าจะปล่อยผ่านไปโดยง่าย
-Justin ให้นิยามของอัลบั้มนี้เปรียบเสมือนมหากาพย์ The Lord of the Ring ที่เกริ่นด้วย The Hobbit ก่อนแบบ SABLE แล้วเข้าสู่มหากาพย์ขนาดยาวใน fABLE เอาเข้าจริงแล้วชุดนี้ไม่ได้มอบตีมผจญภัยสุดแกรนด์มากมายอะไรขนาดนั้น เปรียบเปรยให้เห็นภาพถึงการแบ่งสองพาร์ทก็เท่านั้น ทั้งนี้การเผชิญกับปัญหาความวิตกจริตส่วนตัวนี้เองทำให้ความสัมพันธ์กับสายอาชีพของเขานั้น on and off เดี๋ยวหายเดี๋ยวกลับมาวนไปเป็นอุปสรรคแห่งการติดๆดับๆจนเคยมีความคิดจะ retire เหมือนกัน
“ผมพยายามที่จะทำอะไร Basic ที่สุด” นั่นคือสิ่งที่ Justin ได้ลั่นวาจาไว้ ฟังดูเหมือนง่ายสำหรับคนที่ผ่านทุกเลเวลมาแล้ว ได้ร่วมงานกับศิลปินระดับ high profile มากมาย โดยเฉพาะ Kanye West, Taylor Swift ล่าสุดก็ Charli XCX ที่ทำให้ชื่อวงนั้นได้รับสปอตไลท์เต็มๆ แต่ไอ้การจะ basic shit เนี่ยแหละ มันก็มีความท้าทายตรงที่ว่า จะทำเช่นไรไม่ให้ออกมาจืดหรือกร่อย
-อคลูสติคใครๆก็ทำได้ แต่ทำยังไงให้กลมกล่อม การให้เวลาตกผลึกน่าจะเป็นความรอบคอบในการสื่อสารได้ลุ่มลึกที่สุด ซึ่งการหายไป 6 ปีของพวกเขาก็ไม่ทำให้ผมผิดหวังในแง่การเติบโตที่ไพเราะโดยที่ลายเซ็นต์ความหวือหวายังคงเป็นเพียงการแต่งแต้มสีสันที่ไม่มีทางบดบังเสียงของหัวใจตัวเองได้เลย
SABLE
-พาร์ท 3 แทร็คแรกที่ถูกปล่อยเป็นอีพีแยกต่างหากเมื่อปลายปีที่แล้วเป็นการเกริ่นนำที่ทำให้เรารู้ว่า ความมืดมนที่ Justin ได้เคลมไว้ไม่ใช่ความดาร์คเชิงหดหู่ใจเสียทีเดียว แต่มันคือความเงียบเหงา ความรู้สึกผิดและปลง เมื่อรวมๆกันแล้วก็คือคลื่นพายุที่มาแล้วก็ไปเท่านั้น หากลองสังเกตหน้าปกของอีพีจะเป็นกรอบดำใหญ่ครอบกรอบสี Pink Salmon เล็กๆตรงกลางเป็นการอธิบายมู้ดแอนด์โทนได้อย่างดี
-เริ่มต้นด้วยอินโทร … เอิ่มมมก็ต้องบอกตามตรงว่า…ไม่รู้ว่าแกจะ split ออกมาเป็นอินโทรแยกออกมาทำไม ในเมื่อขึ้นด้วย THINGS BEHIND THINGS BEHIND THINGS รวมๆไปเลยก็ได้นี่หว่า แต่ก็พลางคิดได้อย่างนึงว่า แกจงใจส่งสัญญาณถึงการเริ่มต้นใหม่อีกครั้งก็ว่าได้
-มันเคยมีอยู่ครั้งนึงในปี 2023 ที่แกได้ทำการขายเครื่องดนตรีชุดที่ออกทัวร์ไป ด้วยเหตุผลสุขภาพจิตจากอาการ anxiety ที่แกทนทุกข์มานานหลายปี เคยมีการแคนเซิลทัวร์ใหญ่ 22, A Million ตั้งแต่ปี 2016 มาแล้วรอบนึง แต่ก็โชคดีที่วงยังสามารถมาเล่นในไทยได้ และเป็นคอนเสิร์ตวงต่างประเทศลำดับท้ายๆด้วยมั้งที่ได้เล่นก่อนที่จะเจอโควิดในช่วงต้นปี 2020-2021
-THINGS BEHIND THINGS BEHIND THINGS จึงเป็นการเริ่มต้นด้วยความรู้สึกไม่มั่นคงและพยายามประคับประคองไม่ให้คิดมากด้วยการปล่อยวางในความเป็นไปเหล่านั้น ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นย่อมมีชั้นของ layer ซ้ำซ้อนและ repeat อยู่อย่างนั้นราวกับวัฏจักรความเจ็บปวดเหล่านั้นย่อมหายไปแล้วค่อยๆกลับมา กรุยด้วยอคลูสติคกีตาร์โปร่งที่ให้ความรู้สึกปล่อยวางเกินกว่าจะมานั่งครุ่นคิดให้มากมาย
-เพลงที่เหงาและยึดติดอดีตสุดๆก็คงหนีไม่พ้น S P E Y S I D E ที่สำนึกผิดต่อคนที่เคยทำให้ผิดหวังไม่ว่าจะทางใดก็ตาม ยังคงไม่มูฟออนและไม่มั่นใจต่อไปว่า เขาจะสามารถทำอะไรให้กลับมาดีขึ้นเหมือนเดิมหรือไม่ ความผิดพลาดในอดีตที่ฝังใจ พวกเขายังจะให้อภัยและปล่อยผ่านไปได้มั้ย ? ไม่มีทางรู้ ทำได้แค่อย่าไปกลัวกับการตัดสินใจที่กำลังจะเกิดขึ้นต่อจากนี้
-แทร็คปิดท้าย AWARDS SEASON เป็นการเข้าสู่ process แห่งการเปลี่ยนผ่านสู่การเป็นคนที่ดีกว่ารู้จักปล่อยวางเป็น ค้นพบความรักที่ดี และกล้าโอบกอดความเปลี่ยนแปลง ถึงแม้ว่าไม่มีใครรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น โปรดจงรู้ว่า ทุกสิ่งที่เราเป็นย่อมมาจากทุกสิ่งที่เราได้ทำอยู่ดี
fABLE
-พาร์ท The Lord of the Ring อย่างที่ Justin ได้นิยามไว้ ขอย้ำว่าไม่ได้มีท้องเรื่องผจญภัยแอบแฝง แต่เปรียบเสมือนงาน LP Album ที่เป็นเส้นเลือดใหญ่ที่แท้จริงของอัลบั้มนี้ สำหรับปกอัลบั้มนี้ก็สลับสีกัน จาก Salmon Pink กรอบเหลี่ยมเล็ก สีดำกรอบใหญ่ ตอนนี้แปรเปลี่ยนเป็น สีดำกรอบเล็ก (SABLE) และ Salmon Pink กรอบใหญ่ (fABLE) ที่เริ่ม emerge ขึ้นด้วยความสบายใจได้เลยว่า อารมณ์เปี่ยมสุขของอัลบั้มนี้กำลังจะฟูฟ่องอย่างไม่มีอะไรย้อนแย้งอีกต่อไปแล้ว
-Short Story เรื่องสั้นๆที่เปรียบเหมือน Interlude ที่ค่อยๆเปิดม่านเพื่อให้แสงแดดค่อยๆเฉิดฉายเข้ามาในยามเช้า เข้าสู่ฤดูกาลใหม่ที่ได้ผ่านพ้นค่ำคืนที่ค่อนข้างยาวนาน เดือนมกราคมช่วง post holiday อันแสนเหน็บหนาวและเงียบเหงาซึ่งมันก็แค่ชั่วคราวเท่านั้น
-Everything Is Peaceful Love เป็นการเข้าสู่ด้านสว่างอย่างเป็นทางการสมกับชื่อเพลงที่เข้าที่เข้าทาง ฟีลกู๊ดยิ่งยวดดีใจดี๊ด๊าถึงขั้นอยากจะปีนต้นไม้ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าปลายทางความรักครั้งนี้จะพาไปทางไหนหรือมันจะยืดยาวหรือไม่ แต่ก็ไม่สำคัญเท่าการอยู่กับปัจจุบันว่ามันรู้สึกดีเพียงใดก็ให้มันเป็นแบบนั้น
-แล้วก็เข้าสู่ process ของการอุ่นเตียงในเพลง Walk Home หวือหวาที่สุดในงานชุดนี้ ตอนที่ผมฟังครั้งแรก ผมนึกว่าแกจะมาโทนจริงจังมืดมนในหลุมพลางแห่งการสับสนหลงทางอีกรึเปล่าหว่า ? ที่ไหนได้มันคือเพลงที่ว่าด้วย “เซ็กส์” ในแบบของแกเว้ยเห้ย เป็นความวาบหวามที่ดูไม่ติดรสทะลึ่งเลย แต่ติดรสคนเนิร์ดเพลงที่ยังอยากทดลองอะไรแปลกๆมากกว่า slow jam ชวนจั๊กจี้ ซึ่งผมชอบที่มันหวือหวาในแบบนี้นะ
-มาถึงเพลงที่ผมเฉยๆในตอนแรกอย่าง Day One ที่ตอนนี้กลายเป็นเพลงที่ผมชอบมากในลำดับต้นๆเลย น่าจะเป็นเพราะผมได้ศึกษาแนวทางของ Dijon ผ่านการรีวิวอัลบั้ม Baby (สามารถย้อนไปอ่านได้) จนผมสามารถแยกเสียง Dijon ออกจากเฮีย Justin ได้แล้ว เสียงของ Jenn Wasner (Flock of Dimes) ชดช้อยโดดเด่นขึ้นมาอยู่แล้ว ผลลัพธ์ของสามประสานจึงกลายเป็นความกลมเกลียวที่สร้างโมเมนต์แห่งมิตรภาพผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกัน มองหน้าก็รู้ใจราวกับวันแรกที่ได้เจอกัน
อีกหนึ่งส่วนสำคัญที่ทำให้ผมอินเพลงนี้มากขึ้นกลับกลายเป็น MV ของเพลงนี้ที่เพิ่งปล่อยออกมาเนี่ยแหละ (น่าจะเป็น MV ที่ผมชอบมากที่สุดในปีนี้แล้วมั้ง) ว่าด้วยคอนเซ็ปท์ที่เล่นกิมมิคทีเล่นทีจริง Justin Vernon ประกาศรีไทร์จึงต้องตามหานักร้องนำ Bon Iver คนใหม่ ซึ่งคนที่มาออดิชั่นก็เป็นเพื่อนพ้องน้องพี่ร่วมวงการ นักแสดงน่าคุ้นหลายๆคนมาร่วมลิปซิงค์เพลงๆนี้ ซึ่งก็น่ารักดี อยากให้ไปดู เผื่อคุณจะชอบเพลงนี้มากขึ้นก็ได้
ทั้ง From และ I’ll Be There ถือเป็นเพลง “สายซับ“ ทั้งคู่เลยก็ว่าได้
-From เป็นการ recall เพลง Re: Stacks จากอัลบั้มแรกที่ว่าด้วยการสูญเสียความรักที่ดูเหมือนว่าทุกอย่างกลายเป็นอัมพาต (Everything that happens is from now on / This is pouring rain, this is paralyzed) แต่ในเพลงนี้ได้ฮีลความบอบช้ำเริ่มเห็นแวว hopeful และดูเหมือนว่าเจ้าของเพลงเองก็ไม่เป็นไรแล้วจริงๆ (Nothing's really wrong so / From now on) ส่วน I’ll Be There ที่ได้ Danielle Haim มาเป็น hidden guest ที่คอยเอคโค่คำปลอบโยนให้คลายเหงา พร้อมแสตนด์บายรอเมื่อต้องการระบายความไม่สบายใจ
-เพลงดูเอ็ทคู่กับ Danielle Haim เต็มรูปแบบที่หนักแน่นงดงาม แต่ก็ขมขื่นในเพลง If Only I Could Wait เป็นดั่งปลายทางของความสัมพันธ์ที่ต้องจบลงเพราะดันมาได้ผิดเวลา ต่อให้คนที่เข้ามาจะมอบแสงสว่างให้ดลบันดาลใจหรือให้ space & time ก็ตาม ในเมื่ออีกฝ่ายนึงไม่พร้อมที่จะ commit ความสัมพันธ์ก็ไม่สามารถไปต่อได้ยาวๆอยู่ดี เพลงนี้จึงเป็นไคล์แม็กซ์ที่มอบจุดเปลี่ยนจากความโรแมนติกได้กลายเป็นการแยกย้ายไปตามเส้นทางของตัวเอง
-บทสรุปส่งท้าย There's A Rhythmn ที่มอบความคลี่คลายอย่างแจ่มแจ้งด้วยสัจธรรมแห่งการค้นพบความสุขสงบในแบบของตัวเอง ช่างเป็นริทึ่มที่รื่นรมย์ของคนที่ไม่กลัวความเปลี่ยนแปลง กล้ามูฟออนไปข้างหน้า กล้าเปิดใจรับสิ่งใหม่ๆที่กำลังจะมาถึง จังหวะเสียงเพลงแห่งชีวิตยังคง hit note ของมันต่อไป
-เชื่อว่า Justin ยังไม่ retire ไม่ว่าจะเป็นในนามของวง Bon Iver หรือการเป็นศิลปินใดๆก็ตาม ที่แน่ๆผมชอบการที่ได้เห็นศิลปินอินดี้ที่เคยลองอะไรยากๆและซับซ้อนในยุคที่ไฟแพสชั่นกำลังมา จวบจนถึงยุคนี้ที่กระแสโลกหมุนไวเท่ากับอัลกอริทึ่มที่ป้อนคอนเทนท์ More Like This โดยที่เราคุ้นเคยบ้างไม่คุ้นเคยบ้างมาให้ไม่หยุดหย่อนจนความรู้สึกลึกๆไม่เคยหยุดนิ่งและสงบได้เลย
-การกลับมาในรอบ 6 ปีของ Bon Iver ไม่เน้นหวือหวา ดนตรีไม่ได้แกรนด์มากมายเลยด้วยซ้ำ แต่เน้นความมั่นคงทางความรู้สึกตัวเองเป็นหลักโดยที่ไม่กลัวที่จะเพลย์เซฟ และเป็นการรู้จักเพลย์เซฟที่ตกผลึกดัพอ ลึกซึ้งในรสสัจธรรมด้วยภาษาที่เข้าใจง่าย มันจึงเป็น adult contemporary ที่เมื่อเติบโตแล้วจะยิ่งอินตามและโตไปพร้อมๆกับพวกเขาด้วย
-พวกเขาคงไม่สามารถกลับไปสู่โหมดความแปลกประหลาดแบบ 22, A Million และ i, i ได้อีกต่อไปเนื่องด้วยการพบพานความสงบอันเป็นส่วนตัวแล้ว ผมก็เชื่อสนิทใจแล้วเช่นกันว่า chapter ต่อจากนี้มันต้องเปี่ยมสุขโดยที่ไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีกต่อไป
Au Revoir
Top Tracks : THINGS BEHIND THINGS BEHIND THINGS, S P E Y S I D E, Everything Is Peaceful Love, Walk Home, Day One, From, If Only I Could Wait
Give 8/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา