วันนี้ เวลา 03:30 • หุ้น & เศรษฐกิจ

สรุป เศรษฐกิจสมัย ร.5 ผ่าน 6 ธุรกิจในตลาดหุ้นไทย

รู้ไหมว่า ปัจจุบันมี 6 ธุรกิจในตลาดหุ้นไทย ที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ไล่ตั้งแต่ SCB, BJC, BGRIM, OHTL, SINGER ไปจนถึง OSP
1
ซึ่งการเกิดขึ้นของธุรกิจเหล่านี้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นไปตามวงล้อกาลเวลาของการพัฒนาเศรษฐกิจไทยในสมัยนั้น
แล้ว 6 ธุรกิจนี้ เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจตอนนั้นอย่างไรบ้าง ? ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
เศรษฐกิจสมัยรัชกาลที่ 5 เริ่มเปลี่ยนแปลงมากขึ้น
หลังจากที่สยามหรือไทยในสมัยนั้น ลงนามในสนธิสัญญาเบาว์ริงกับประเทศอังกฤษในปี พ.ศ. 2398
ที่บอกว่าเปลี่ยนแปลงมากขึ้น เพราะเศรษฐกิจเปลี่ยนผ่านไปสู่การค้าเสรีกับต่างประเทศ จากเดิมที่กระจุกตัวอยู่แค่พระคลังสินค้าเท่านั้น
พูดง่าย ๆ คือ คนทั่วไปสามารถค้าขายโดยตรงกับชาวต่างชาติได้ แทนที่จะขายผ่านพระคลังสินค้า โดยไม่สามารถค้าขายกับชาวต่างชาติได้โดยตรง
พอเป็นแบบนี้ การค้าเสรีจึงได้นำชาวต่างชาติให้เข้ามาติดต่อค้าขายในประเทศมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือ นายทหารชาวเดนมาร์กสองคน ที่เดินทางเข้ามาในไทย
สองนายทหารนี้ ตัดสินใจปักหลักที่ไทย และสร้างธุรกิจโรงแรมที่ชื่อว่า “โอเรียนเต็ล” ในปี พ.ศ. 2419 ขึ้น
แม้หลังจากนั้น จะถูกเปลี่ยนเจ้าของไปมาหลายครั้ง
แต่ปัจจุบันก็อยู่ภายใต้บริษัท โอเอชทีแอล จำกัด
(มหาชน) หรือ OHTL ในตลาดหุ้นไทยตอนนี้
1
นอกจากสองนายทหารชาวเดนมาร์กแล้ว ชาวสวิสอย่างคุณอัลเบิร์ต ยุคเกอร์ ที่เดินทางเข้ามาทำงานในไทยกับบริษัทฝรั่งเศส ก็ได้เห็นโอกาสในธุรกิจส่งออกข้าวและไม้สัก
ข้าวเป็นสินค้าที่ไทยปลูกเพื่อส่งออกมากขึ้น จากผลของสนธิสัญญาเบาว์ริง ทำให้คุณอัลเบิร์ตไปชักชวนเพื่อนที่ชื่อว่า คุณเฮนรี่ ซิกก์ ให้มาก่อตั้งห้างยุคเกอร์ แอนด์ ซิกก์ แอนด์ โก ด้วยกันในปี พ.ศ. 2425
1
และในปี พ.ศ. 2439 กิจการก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น “เอ. เบอร์ลี่ แอนด์ โก” และได้เริ่มขยายธุรกิจ โดยมีการนำสินค้าจากต่างประเทศอื่น ๆ เข้ามาขาย เช่น ผงโกโก้ Dutch หรือกระดาษชำระ Scott
1
แต่ห้างนี้เอง ก็กลายเป็นจุดเริ่มต้นของ BJC หรือบริษัท เบอร์ลี่ ยุคเกอร์ จำกัด (มหาชน) ซึ่งปัจจุบันอยู่ภายใต้เจ้าสัวเจริญ ที่เข้าไปเทกโอเวอร์บริษัทนี้
1
และในช่วงเวลาใกล้ ๆ จุดเริ่มต้นของ BJC ชาวเยอรมันอย่างคุณแบร์นฮาร์ด กริม และหุ้นส่วนชาวออสเตรียชื่อ คุณแอร์วิน มุลเลอร์ ก็ได้เปิดร้านยายุโรปแห่งแรกบนถนนเจริญกรุงในปี พ.ศ. 2421
ร้านขายยานี้ ปัจจุบันก็กลายมาเป็นบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ที่ผันตัวมาทำธุรกิจโรงไฟฟ้าเป็นหลักแทน
1
แต่กว่าที่ BGRIM จะมาทำธุรกิจโรงไฟฟ้า รู้ไหมว่า บริษัทยังมีส่วนร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจไทยสมัยรัชกาลที่ 5 ด้วยโครงการสำคัญแถบจังหวัดปทุมธานี
นั่นคือ โครงการคลองรังสิต ที่เรียกได้ว่ายาวสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยุคนั้น โดยมีบริษัทนี้เป็นผู้รับผิดชอบในการขุดคลองครั้งนี้
4
เพื่อทำให้คลองรังสิต กลายเป็นโครงการชลประทานขนาดใหญ่ รองรับการปลูกข้าวเพื่อการส่งออกของประเทศ ซึ่งเป็นผลมาจากหลังสนธิสัญญาเบาว์ริงนั่นเอง
1
ขณะที่ BGRIM เริ่มต้นจากธุรกิจร้านขายยาฉบับตะวันตก ก็มีร้านขายยาจีนเกิดขึ้นมาในปี พ.ศ. 2434 โดยชายที่ชื่อว่า นายแป๊ะ โอสถานุเคราะห์
1
เขาคนนี้ ได้นำสูตรยาจีนโบราณที่มีชื่อว่า ยากฤษณากลั่น ซึ่งมีสรรพคุณบรรเทาโรคปวดท้องต่าง ๆ มาวางจำหน่ายในยุคนั้น ซึ่ง OSP ยังมีการขายยานี้อยู่จนถึงปัจจุบัน
1
จุดเริ่มต้นของการขายยาจีนโบราณนี้เอง ได้กลายมาเป็นบริษัท โอสถสภา จำกัด (มหาชน) หรือ OSP ในปัจจุบัน ที่ขายสินค้าไปไกลนอกจากธุรกิจตั้งต้นของตัวเองเพิ่มเติม
ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจเครื่องดื่ม ที่มีสินค้าชื่อดังอย่าง M-150 ธุรกิจของใช้ส่วนบุคคล ของใช้เพื่อสุขภาพ ไปจนถึงลูกอม
นอกจากธุรกิจร้านขายยา ส่งออกข้าว ไม้สัก หรือโรงแรมแล้ว ยังมีธุรกิจอื่น ๆ ที่ชาวต่างชาติเห็นโอกาสการเติบโตในไทยสมัยรัชกาลที่ 5 อีกด้วย
หนึ่งในนั้นคือ ธุรกิจจักรเย็บผ้า ที่เกิดขึ้นจากพฤติกรรมการแต่งกายของคนไทยในสมัยนั้น ที่หันมาใส่เสื้อผ้ากันมากขึ้น
1
ตัวอย่างเช่น ข้าราชการไทยก็ต้องสวมเสื้อที่เรียกกันว่า ราชปะแตน ซึ่งเป็นหนึ่งในความเปลี่ยนแปลงของรัชกาลที่ 5 ที่ต้องการให้ประเทศไปสู่ความทันสมัยแบบตะวันตก
ซึ่งบริษัทที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงแบบนี้ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่คือ SINGER บริษัทที่คนไทยรู้จักกันในปัจจุบัน เพราะขายเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านที่เราคุ้นหูกันอย่างดี
1
แต่จุดเริ่มต้นของ SINGER จริง ๆ แล้ว เกิดขึ้นในปี พ.ศ. 2432 จากการนำเข้าเครื่องจักรเย็บผ้าเข้ามาในไทย
โดยบริษัท ซิงเกอร์แห่งสหรัฐอเมริกา ได้แต่งตั้งบริษัท เคียมฮั่วเฮง จำกัด เป็นผู้จัดจำหน่ายจักรเย็บผ้า ซิงเกอร์ ในประเทศไทย
ก่อนที่ต่อมาจะเปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท ซิงเกอร์ โซอิ้ง แมชีน จำกัด เพื่อจำหน่ายจักรเย็บผ้า และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องกับจักรเย็บผ้าที่นำเข้าจากต่างประเทศ
ดังนั้นแล้ว ถ้าจะบอกว่า SINGER อยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนผ่านของเศรษฐกิจไทยก็คงไม่เกินจริง เพราะเครื่องจักรเย็บผ้านี้เอง ที่คอยเปลี่ยนแปลงการแต่งกายในสังคมไปอย่างสิ้นเชิง
อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ทำให้เกิดธุรกิจใหม่ ๆ มากมาย ก็จำเป็นที่จะต้องมีแหล่งเงินทุนสำคัญในการเริ่มธุรกิจเหล่านี้
ซึ่งคงเดากันได้ไม่ยากว่า แล้วอะไรคือธุรกิจที่จะมาปิดช่องว่างตรงนี้ เพราะคำตอบนั่นก็คือ ธนาคาร..
1
และคนที่มองเห็นโอกาสเริ่มต้นธุรกิจธนาคารในไทย ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นชาวตะวันตก ที่คุ้นชินกับระบบธนาคารมาก่อนคนไทยอยู่แล้ว
2
โดยธนาคารต่างชาติที่เข้ามาเปิดสาขาธนาคารพาณิชย์แห่งแรกในไทย คือ ธนาคาร HSBC ของอังกฤษ ในปี พ.ศ. 2431
1
ต่อมาอีก 6 ปีให้หลัง ธนาคารชาร์เตอร์ด ซึ่งเป็นธนาคารอีกแห่งของอังกฤษ ก็เริ่มเข้ามาเปิดธนาคารพาณิชย์เป็นแห่งที่ 2 ของไทย
1
และตามมาด้วยธนาคารแห่งอินโดจีนของฝรั่งเศส เข้ามาเปิดธนาคารพาณิชย์ เป็นแห่งที่ 3 ในปี พ.ศ. 2439
1
แต่ในยุคนั้น ธนาคารต่างชาติที่มาทำธุรกิจในไทย ไม่ได้สนใจรับฝากเงินให้คนไทยแม้แต่น้อย เพราะเข้ามาเพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักธุรกิจต่างชาติในไทย เช่น การจัดหาแหล่งเงินกู้ยืม และการค้าเงินตราต่างประเทศ
1
ซึ่งจากช่องว่างตรงนี้เอง ก็ได้เป็นจุดเริ่มต้นของการก่อตั้งแบงก์สยามกัมมาจลในปี พ.ศ. 2449 หรือที่เรารู้จักกันดีในชื่อ ธนาคารไทยพาณิชย์ ในปัจจุบัน
2
ก่อตั้งโดยพระบรมวงศานุวงศ์ของไทย และมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่เป็นชาวตะวันตก และชาวจีน เช่น
1
- ธนาคารแห่งชาติเยอรมนี ถือหุ้น 11%
- ธนาคารแห่งชาติเดนมาร์ก ถือหุ้น 8%
- กลุ่มคหบดีจีน ถือหุ้น 17%
1
ส่วนกรมหมื่นมหิศรราชหฤทัย ผู้ก่อตั้งธนาคารไทยพาณิชย์ และกรมพระคลังข้างที่ รวมถึงข้าราชการไทยคนอื่น ๆ ถือหุ้นรวมกันประมาณ 42%
1
การก่อตั้งธนาคารแห่งนี้ ก็ค่อย ๆ ทำให้คนไทยคุ้นชินกับระบบธนาคารมากขึ้น และทำให้ธนาคารต่างชาติก็เริ่มหันมาสนใจลูกค้าที่เป็นคนไทยมากขึ้นหลังจากนั้น
อ่านมาถึงตรงนี้ เราคงเห็นภาพแล้วว่า 6 บริษัทอายุเกิน 100 ปีของไทยทั้งหมดนี้ เชื่อมโยงกับเศรษฐกิจสมัยรัชกาลที่ 5 อย่างไร
ซึ่งการเกิดขึ้นมาของบริษัทเหล่านี้ เรียกได้ว่า ล้วนเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยวางรากฐานให้เศรษฐกิจไทยเติบโต และพัฒนาอย่างต่อเนื่อง มาจนถึงปัจจุบันอีกด้วย..
โฆษณา