24 ต.ค. เวลา 03:46 • ความคิดเห็น
ครั้งหนึ่งผมเคยไม่เข้าใจคำว่า “ธรรมะย่อมไม่ขัดกัน ย่อมเข้ากันได้ดีเหมือนน้ำกับน้ำนม” ผมเคยสงสัย เคยลังเล เคยหวั่นไหวตามกระแสข่าวสารที่พัดผ่านโลกออนไลน์เกี่ยวกับพุทธวจนและพระอาจารย์คึกฤทธิ์ เหมือนคนที่ยังไม่เคยลิ้มรสของน้ำแท้ พอเห็นใครเอาน้ำผสมสีมาก็เผลอคิดว่านั่นคือน้ำจริง
แต่พอได้ศึกษาพระไตรปิฎกฉบับประชาชนควบคู่กับหนังสือพุทธวจน ผมถึงได้รู้ว่า “น้ำกับน้ำนม” มันไม่เคยแยกกันจริงๆเลยครับ คำสอนตรงกันชัดเจนเพียงแต่ต่างรูปแบบ พระไตรปิฎกเป็นเหมือนภูเขาใหญ่รวมทุกสิ่ง ส่วนพุทธวจนเป็นเหมือนทางเดินที่แยกเป็นเส้นๆ ชัดเจน เข้าใจง่ายในแต่ละเรื่อง เช่น เรื่องโสดาบัน เรื่องเดรัจฉานวิชา เรื่องสมาธิ เรื่องศีล ฯลฯ ใครอ่านดีๆ จะเห็นเลยว่ามันคือรากเดียวกัน ต่างกันเพียงวิธีจัดเรียง ไม่ใช่เนื้อหา
2
ผมจึงเข้าใจว่า “คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่มีวันขัดกัน” จะขัดได้อย่างไรในเมื่อเป็นคำของพระองค์เอง สิ่งที่ขัดกันนั้นมักไม่ใช่ธรรมะ แต่เป็น “ความเข้าใจของคน” ที่ยังขุ่นมัว เหมือนน้ำใสที่โดนคนถือไม้คนจนขุ่น แล้วหันมาว่า “น้ำมันไม่ใสเหมือนเดิม” ทั้งที่ไม้ในมือนั่นแหละเป็นเหตุ
ยิ่งเห็นการโจมตีที่ยืดเยื้อ ใช้เวลานาน ใช้ถ้อยคำมาก ใช้พลังเยอะ ผมยิ่งเห็นความจริงชัดขึ้น ว่าของจริงมันสั่นสะเทือนคนได้ ของลวงไม่ต้องล้ม มันล้มของมันเองอยู่แล้ว
วันนี้ผมจึงมั่นใจและสบายใจ
ผมขอเลือกเดินทาง ที่สวนทางกับเดรัจฉานวิชาตลอดชีวิตจนกว่าจะตาย ไม่เอาเสกเป่าน้ำมนต์ วิธีสะเดาะเคราะห์ พิธีเจิมศิริมงคลต่างๆ เสกเลขเป่ายันต์ พิธีกรรมต่างๆไม่ได้ช่วยให้เราพ้นทุกข์ ดูฤกษ์งามยามดีเป็นพิธีกรรมของคนบ้า ผมขอไม่เอาอะไรแบบนี้อีกแล้ว
น้ำนมย่อมเข้ากันได้กับน้ำฉันใดก็ฉันนั้น สิ่งที่ตถาคตพูดไว้แล้วที่ส่งต่อกันมา ที่เขยิบเข้าไปใกล้ที่สุด ก็จะต้องไม่ขัดกับการอธิบายของคนรุ่นใหม่ อะไรที่ขัดกันนั่นคือคำแต่งใหม่ เพราะธรรมะของพระศาสดาจะต้องไม่ขัดกัน ไม่ใช่ว่าอดีตพูดอย่าง แล้วปัจจุบันเปลี่ยนเป็นอีกอย่าง โดยใช้ข้ออ้างว่าปรับให้เข้ากับยุคสมัย ทั้งๆที่พระพุทธเจ้าบอกว่าธรรมะของท่านเป็น อกาลิโก คือมันจะต้องไม่ขัดกัน ต้องเข้ากันได้ เหมือนน้ำกับน้ำนม ดั่งที่พระพุทธองค์บอกไว้ครับ
โฆษณา