24 ต.ค. เวลา 21:43 • ปรัชญา

watthakhanun

เมื่อวานนี้ตอนที่เข้าไปในทาชิโช ซอง หรือทิมพู ซอง ซึ่งเป็นทั้งพระราชวัง ที่ตั้งหน่วยทหาร ตลอดจนกระทั่งหน่วยราชการและวัดนั้น เขาอนุญาตให้เข้าได้เฉพาะช่วง ๕ โมงเย็นเท่านั้น พวกเราเข้าไปในช่วงที่เขาเชิญธงชาติภูฏานลงจากเสา และมี
ขบวนแห่ที่ยิ่งใหญ่ นำไปเก็บเอาไว้ เพื่อรอพรุ่งนี้เช้าจะได้แห่ออกมา เชิญขึ้นยอดเสาอีกวาระหนึ่ง พวกเราจะเข้าไปทางด้านใน ใครที่มีกระเป๋า มีเป้ ก็ต้องผ่านเครื่องสแกน ส่วนพวกเราที่เดินตัวเปล่า อย่างดีก็ถือขวดน้ำหรือว่าถือโทรศัพท์เอาไว้ถ่ายรูป ก็ให้เดินผ่านซุ้มตรวจ ซึ่งอยู่ในลักษณะตรวจพอเป็นพิธีเท่านั้น
ครั้นเข้าไปข้างในแค่ช่วงทางขึ้น ก็มีรูปปั้นนูนต่ำสวย ๆ งาม ๆ ระดับยอดฝีมือทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นรูปของมังกรอสุนี ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของประเทศภูฏานนี้ หรือว่าบรรดาพระโพธิสัตว์ ตลอดจนกระทั่งบรรดาพระสงฆ์ผู้ใหญ่ นางฟ้าผู้พิทักษ์ประเทศ ตลอดจนกระทั่งอัษฏมงคล ก็คือสิ่งมงคล ๘ ประการของทางมหายาน พวกเราสามารถถ่ายรูปทางด้านนอกได้ทุกซอกทุกมุม แต่ถ้าเข้าไปข้างในถอดรองเท้าเมื่อไร ก็แปลว่าห้ามถ่ายรูปเมื่อนั้น..!
กระผม/อาตมภาพเข้าไปถวายผ้าขะตะที่รับมาในวันแรก แก่องค์พระศรีศากยมุนีพระประธานในวัด ซึ่งองค์ใหญ่โตมโหฬารมาก และถวายเงินทำบุญไป ๕๐๐ งุลตรัม รับเอาน้ำมนต์ที่พระลามะท่านรินถวายมา ซึ่งตามธรรมเนียมแล้วก็คือต้องกินเข้าไปนิดหนึ่ง แล้วที่เหลือก็ลูบใส่ศีรษะ หลังจากนั้นแล้วค่อยเดินชมสถานที่ภายใน ซึ่งตกแต่งเอาไว้ได้สวยงาม ตามวัฒนธรรมของชาวภูฏาน สถานที่นั้นเป็นหอพระใหญ่โตมโหฬารมาก คาดว่าสามารถที่จะให้พระมาเจริญพระพุทธมนต์กันได้เป็นร้อย ๆ รูป
เลยทีเดียว
ภายในทาชิโช ซอง แห่งนี้เคยเป็นที่ขึ้นบรมราชาภิเษกของกษัตริย์จิกมี ซิงเย วังชุก องค์รัชกาลที่ ๔ และกษัตริย์จิกมี เคเซอร์ นัมเกล วังชุก กษัตริย์รัชกาลปัจจุบัน สถานที่ภายในจึงค่อนข้างกว้างขวางมาก
พวกเราถ่ายรูปกันจนแสงหมด จึงได้อำลาอาลัยออกมาข้างนอก แล้วก็เจอต้นไม้แปลก ๆ ที่กระผม/อาตมภาพไม่รู้จัก ลักษณะต้นและลูกเหมือนกับลิ้นจี่ แต่ผลใหญ่กว่าลิ้นจี่เล็กน้อย แต่พอเก็บผลที่สุกตกอยู่กับพื้นมาบิออก เนื้อในกลับเหมือนน้อยหน่าบ้านเรา เสียดายว่าเป็นเวลาค่ำ ก็เลยไม่ได้ลองชิมดูว่ารสชาติเป็นอย่างไร ?
บริเวณทางเดินออกของเรานั้น มีสวนกุหลาบที่ปลูกเลียนแบบที่พระราชวังภูพิงครา
ชนิเวศน์เอาไว้ แต่ว่าการดูแลยังดีไม่เท่าบ้านเรา อาจจะเป็นเพราะว่าทางนี้อากาศหนาวเย็นกว่ามาก ทำให้กุหลาบมีการชะงักงัน ไม่ได้เจริญเติบโตเต็มที่ก็เป็นได้
สำหรับวันนี้ พวกเราจะเดินทางไปยังเมืองหลวงเก่า คือเมืองภูนาคา ซึ่งระยะการเดินทางนั้นอยู่ที่ประมาณ ๓ ชั่วโมงเศษ เราจึงนัดกันด้วยตัวเลข ๖ - ๗ - ๘ ก็คือปลุกเวลา ๖ โมงเช้า วางกระเป๋าหน้าห้องและรับประทานอาหารกันตอน ๗ โมง เริ่มล้อ
หมุนออกเดินทางตอน ๘ โมงเช้า
แต่ด้วยความที่ว่าเมื่อวานนี้ พระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ผศ.ดร. เจ้าอาวาสวัดอุทยานของเรา กระเป๋าเดินทางได้อันตรธานไปอยู่อีกห้องหนึ่ง ก็คือของตนเองนั้นเป็นห้อง ๓๑๗ แต่กระเป๋าไปอยู่ที่ห้อง ๓๑๒ กว่าจะหาเจอก็แทบล้มประดาตาย..!
บรรดาเจ้าหน้าที่พนักงานโรงแรมซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงตอบว่า ตัวเลข ๒ กับเลข ๗ นั้นคล้ายคลึงกันมาก เมื่อเขียนหวัด ๆ ก็เลยทำให้เข้าใจผิด เอาไปส่งไว้ในห้องที่ไม่มีคนจองและไม่มีคนอยู่เสียด้วย ถ้าหากตามหาไม่เจอ ก็มีหวังสวัสดีเธอจ๋ากันแน่นอน..! วันนี้พวกเราจึงขออนุญาตดูจนกว่ากระเป๋าจะขึ้นรถเรียบร้อยแล้ว ถึงจะขึ้นรถออกเดินทางกันต่อไป
เวลา ๘ นาฬิกาเกือบ ๕ นาที รถของพวกเราได้วิ่งออกจากโรงแรมที่พัก ตรงไปทางเมืองภูนาคา ซึ่งเป็นเมืองหลวงเก่าของประเทศภูฏานมาก่อน ตอนนี้เพิ่งจะเห็นว่าเรื่องของรถมินิบัสนั้นสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องเพราะว่าหนทางคดเคี้ยววกวนขึ้นเขาไปอยู่ตลอดเวลา ถ้าหากว่าเป็นรถใหญ่กว่านี้ ไปไม่รอดอย่างแน่นอน โดยเฉพาะถนนนั้น มีประมาณเลนครึ่งของบ้านเราเท่านั้น ถึงเวลารถหลีกกันแต่ละทีก็แทบที่จะกระจกมองข้างกระทบกัน ทำเอากระผม/อาตมภาพเองนึกถึงอีกประเทศหนึ่งที่มีสภาพถนนแบบ
นี้ ก็คือประเทศเนปาล แต่ว่าเขาก็ถ้อยทีถ้อยอาศัยกันเป็นอย่างยิ่ง
ประมาณ ๔๕ นาที พวกเราก็มาถึงช่องเขาโดชูลา พาส ซึ่งมีความสูงที่สุดของประเทศภูฏาน คือสูงจากระดับน้ำทะเล ๓,๑๔๕ เมตร ทันทีที่ลงจากเขา คุณตี๋ก็อุทานว่า "สุดยอดมาก..มาเกือบ ๒๐ ครั้งแล้ว ฟ้ายังไม่เคยเปิดให้เห็นเทือกเขา
หิมาลัยชัดเจนได้ขนาดนี้เลย" พวกเราจึงแห่กันลงจากรถไป ลืมความสนใจสถูป ๑๐๘ องค์ที่ตั้งอยู่ทางขวามือไปเกือบสนิท..! ทางด้านซ้ายมือเมื่อมองผ่านต้นสนภูเขาออกไป เห็นยอดเขาน้อยใหญ่ของเทือกเขาหิมาลัย ที่มีหิมะขาวโพลนแจ่มจ้าอยู่ในแสงตะวัน พวกเราจึงหามุมถ่ายรูปกันเป็นการใหญ่ แล้วก็มีหมอกมาบังอยู่เป็นพัก ๆ
จนกระทั่งได้รูปกันครบถ้วนแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ไปถ่ายรูปพระสถูปทั้ง ๑๐๘ องค์ ซึ่งสร้างขึ้นโดยสมเด็จพระบรมราชินีอาชิ ดอร์จี วังโม วังชุก สมเด็จพระบรมราชินีของรัชกาลที่ ๔ ในราชวงศ์วังชุก ในโอกาสที่สมเด็จพระราชาธิบดีจิกมี ซิงเย วังชุก รัชกาลที่ ๔ ทรงปราบกบฎได้รับชัยชนะกลับมา จึงสร้างสถูปทั้ง ๑๐๘ องค์ถวายเป็นพุทธบูชา โดยที่ให้ชื่อว่า พระสถูป ดรุก วังเกล โชเตน เพื่อที่เป็น
เครื่องหมายของความสงบสันติ
เมื่อพวกเราใช้เวลาถ่ายรูปตรงนี้กันแล้ว ค่อยไปเข้าห้องน้ำที่บริเวณร้านกาแฟ ซึ่งทางเอ็นซีทัวร์ให้พวกเราเลือกฉันกันตามสบาย แล้วจะจัดการเคลียร์บัญชีให้เอง แต่กระผม/อาตมภาพไม่ฉันอะไร เพราะว่าต้องหาห้องน้ำกลางทาง เดี๋ยวจะลำบากโดยใช่เหตุ..!
เพียงแต่เจ้าแม่ที่ตามประกบอยู่ บอกให้ถอดเสื้อฮีตเทคออกเก็บได้แล้ว กระผม/อาตมภาพต้องมองหน้ายายหนูเจ้าถิ่น "นี่อากาศ ๑๑ องศาเซลเซียส เธอจะให้หลวงพ่อปอดบวมตายหรือไร ?" แม่เจ้าประคุณยืนยันว่า "ขอให้เชื่อเถอะ..!" จึงต้องถอดออกเก็บอย่างที่ทุกคนต้องการ แล้วก็ขึ้นรถเป็นการเร่งรัดให้ทุกคนขึ้นรถตามไปด้วย
เมื่อรถเริ่มออกวิ่งถึงได้รู้ เพราะว่าบริเวณช่องเขาแห่งนี้เป็นจุดสูงสุด แล้วที่เหลือก็คือวิ่งลงต่ำไปโดยตลอด ยิ่งต่ำอากาศก็ยิ่งร้อนชื้นมากขึ้นทุกที จนกระทั่งรู้สึกดีใจว่าเราได้เก็บเสื้อกันหนาวไปแล้ว ไม่เช่นนั้นถ้าต้องมาถอดบนรถคงจะทุลักทุเลน่าดู..!
จนกระทั่งเวลาประมาณ ๑๐.๔๐ น. ของภูฏาน รถก็จอดให้เข้าห้องน้ำที่บริเวณร้านค้าของชาวบ้าน ซึ่งนำเอาผักผลไม้ ตลอดจนกระทั่งผลิตผลอื่น ๆ มาจำหน่ายแก่นักท่องเที่ยว โดยเฉพาะในส่วนของเนยแข็ง ซึ่งแข็งพอ ๆ กับหินเลยทีเดียว..! หั่นเป็นชิ้น ๆ แขวนเอาไว้ดูสวยงาม แต่ว่าไม่เป็นมิตรกับฟันนัก เนื่องเพราะว่าความเย็นของอากาศ ทำให้เนยแข็งนั้น แข็งจนกระทั่งน่าจะต้องใช้ค้อนทุบถึงจะสามารถเอามากินได้..!
ในเมื่อมาถึงตรงนี้ก็ใกล้เพลแล้ว ทางเอ็นซีทัวร์จึงได้ปรับโปรแกรมให้พวกเราฉันเพลก่อน ไม่เช่นนั้นถ้าตามโปรแกรมเราจะต้องไปยังวัดชิมิ ลาคัง ในเมื่อเป็นเช่นนั้น จึงได้เลี้ยวเข้าภัตตาคารกูคำ (KU - KHAM HOUSE) ซึ่งเขียนเอาไว้แล้ว กระผม/อาตมภาพอ่านว่า "กูขำ เฮ้าส์..!"
เมื่อเข้าไปข้างใน เห็นการตกแต่งร้านของเขาก็ยังทึ่ง เพราะว่ามีภาพ "พระบฏ" หรือที่เรียกกว่า "ทังกา" เก่า ๆ สวย ๆ มากมาย แถมยังมีพิพิธภัณฑ์อยู่ที่ชั้นล่างอีกด้วย แต่ด้วยความที่เรามาถึงตอน ๑๑ โมงกว่านิดหน่อยแล้ว จึงได้ตั้งหน้าตั้งตาฉันภัตตาหาร ซึ่งประกอบไปด้วยแป้งและผักเป็นหลักอีกตามเคย โดยมีเอ็นซีทัวร์นำเอาน้ำพริกกะปิและปลาทูทอดมาเพิ่มให้ด้วย
แต่กระผม/อาตมภาพไปไหนก็มักจะฉันแต่ของเขาเท่านั้น แล้วทางด้านน้องการ์ตูน (นางสาวศรัณย์พร บุรินทรโกษฐ์) ยังดูแลข้ามคันรถอีกต่างหาก ด้วยการนำเอาส้มจีนและฝรั่งขี้นก ที่ซื้อมาจากร้านชาวบ้าน ล้างสะอาดแล้วมาถวาย กระผม/อาตมภาพฉันฝรั่งไปคนเดียว ๕ ลูก เหลือไว้ให้พระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ผศ.ดร ลูกเดียว
เพราะรู้ว่าของรสชาติแบบนี้ อีกฝ่ายไม่ฉันแน่นอน..!
เมื่ออิ่มแล้วจึงได้ลงไปยังชั้นล่าง ดูพิพิธภัณฑ์ของเขา ซึ่งมีบรรดาของเก่าต่าง ๆ ทางพระพุทธศาสนา ไม่ว่าจะเป็นพระพุทธรูป ภาพพระบฏ ตลอดจนกระทั่งบรรดาวัชระ และเครื่องประกอบการสวดมนต์ต่าง ๆ ทุกชิ้นถ้าหากว่าท่านมีปัญญาซื้อเขาก็
ขาย..! แต่ด้วยความที่เป็นของเก่าของสะสม ราคาจึงไม่ได้เป็นมิตรกับกระเป๋าเลย อย่างเช่นภาพพระบฏภาพหนึ่งก็ประมาณ ๖,๐๐๐ - ๘,๐๐๐ ดอลลาร์อเมริกัน วัชระที่ประดับไปด้วยแก้วตลอดจนกระทั่งหินเทอร์ควอยส์ อันหนึ่ง ๑๘,๐๐๐ ดอลลาร์อเมริกัน..! เป็นต้น พวกเราส่วนมากจึงได้แค่ชมและถ่ายรูปกันมาเท่านั้น
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพฤหัสบดีที่ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๘
โฆษณา