25 ต.ค. เวลา 08:36 • ท่องเที่ยว
หุบเขาจิ่วจ้ายโกว

ตอนที่2 ทริปจิ่วไจ้โกว ทริปท่องเที่ยวหรือทริปฝึกจิต

หลังจากที่ทุกคนอิ่มอร่อยกับอาหารที่เตรียมมาแล้ว เราก็พร้อมที่จะ check in และ โหลดกระเป๋าเดินทาง สมาชิกแต่ละคนก็วุ่นวายกับการเตรียมหนังสือเดินทาง จัดเตรียมกระเป๋าเดินทางและสะพายกระเป๋าเป้ประจำตัว สายการบินที่เราใช้บริการในครั้งนี้คือสายการบินแอร์เอเชีย เจ้าหน้าที่ภาคพื้นดินที่เคาน์เตอร์ check in
ใช้เวลาไม่นานก็สามารถจัดการกระเป๋าและออกตั๋วโดยสารให้พวกเราจนครบ กระเป๋าถูกลำเลียงผ่านไปตามสายพานเพื่อผ่านจุด scan ทีละใบ และเมื่อกระเป๋าใบสุดท้ายของเราผ่านไปโดยไม่มีปัญหา ก็ถึงเวลาที่เราต้องเดินไปเข้าคิวรอผ่านจุดตรวจหนังสือเดินทางสำหรับผู้โดยสารขาออกต่างประเทศ
ระหว่างนั้นเราก็คุยกันไปอย่างออกรสออกชาติ จำนวนผู้โดยสารขาออกต่างประเทศในวันนี้ค่อนข้างเยอะ ทำให้ต้องเสียเวลาในจุดนี้ประมาณ 30 นาทีเห็นจะได้
พอทุกคนผ่านการตรวจหนังสือเดินทางครบแล้วเราก็เดินต่อไปยังจุดตรวจความปลอดภัยก่อนที่จะเข้าไปยังบริเวณที่นั่งรอขึ้นเครื่อง จากนั้นก็เดินไปซื้อของที่ร้านค้า duty free ของ king power ลุงหมอก็พอได้อะไรติดไม้ติดมือมานิดหน่อย จากนั้นพอใกล้เวลาเรียกขึ้นเครื่องบินเราก็ไปรวมตัวกันที่ประตูทางออกที่ระบุไว้บนตั๋วโดยสารของเรานั่นเอง
ถ้าลุงหมอจำไม่ผิด เครื่องบินน่าจะออกประมาณสี่ทุ่มและใช้เวลาบินประมาณ 3 ชั่วโมงในการเดินทางสู่เมืองเฉิงตูประเทศจีน ซึ่งเราจะถึงจุดหมายประมาณตีหนึ่ง แต่เวลาท้องถิ่นที่เฉิงตูจะเร็วกว่าเวลาในบ้านเรา 1 ชั่วโมง นั่นแสดงว่าเราจะไปถึงในเวลาตีสอง
สำหรับลุงหมอแล้วเวลา 3 ชั่วโมงบนเครื่องบินมันช่างยาวนานเหลือเกิน จะนอนก็นอนไม่หลับ จะอ่านหนังสือหรือก็ไม่ได้พกติดตัวไปด้วย จะลุกเดินก็ลำบากเพราะทุกคนเขานอนพักกันหมดแล้ว จะรู้สึกดีหน่อยก็คือเครื่องบินบินได้ราบรื่นดี ไม่ค่อยเจอจุดที่มีสภาพอากาศเลวร้าย ทำให้ไม่รู้สึกวูบวาบหวาดเสียวนัก
เครื่องบินพาเราไปถึงสนามบินเฉิงตูค่อนข้างตรงเวลา หลังจากทยอยออกจากเครื่องบินเราก็มุ่งหน้าไปยังจุดตรวจคนเข้าเมืองและตรวจหนังสือเดินทาง ก่อนที่จะผ่านจุดนี้เราก็ต้อง scar QR code เพื่อกรอกประวัติสุขภาพให้เรียบร้อยก่อน และอุปสรรคแรกของการเดินทางของลุงหมอก็อยู่ที่จุดตรวจคนเข้าเมืองนี่แหละ
หลังจากช่วยกันกรอกข้อมูลสุขภาพเรียบร้อยทุกคน เราก็เข้าไปรับการตรวจคนเข้าเมืองต่อทีละคู่ สมาชิกคนอื่นๆ ในทีมผ่านไปได้อย่างไม่ม่ปัญหา
แต่พอถึงคิวลุงหมอ เจ้าหน้าที่ก็ใช้เวลาพอสมควร เขาถามคำถามไหมลุงหมอก็จำไม่ได้แล้ว เจ้าหน้าที่คนนั้นให้ลุงหมอไปรออยู่ที่ด้านหลังของจุดตรวจและยังไม่ยอมคืนหนังสือเดินทางให้ลุงหมอ แถมไม่ได้บอกเหตุผลว่าทำไมไม่ให้ผ่านไปเลย ลุงหมอก็ทั้งตื่นเต้นและก็งง นี่เราจะถูกส่งกลับหรือจะถูกส่งเข้าห้องเย็นหรือเปล่านะ แต่ว่าวีซ่าเราก็มีแล้วนี่นา แล้วติดปัญหาตรงไหน สักพักใหญ่ๆ เจ้าหน้าที่คนเดิมก็เดินกลับมาแล้วก็ยื่นหนังสือเดินทางมาคืนลุงหมอ และบอกลุงหมอว่า you can go now
ตอนนี้คุณไปได้แล้วว่างั้น พร้อมกับโบกมือเป็นสัญลักษณ์ว่าให้ไปได้แล้ว ทำเอาลุงหมองง จนวันกลับถึงได้พอเดาเหตุผลได้ ไว้จะมาบอกเมื่อถึงตอนสุดท้ายนะครับ แต่คงไม่มีใครอ่านหรอก ถึงกระนั้นลุงหมอก็ยังจะบอกอยู่ดีครับ
จากนั้นเราก็ไปรับกระเป๋าเดินทาง ตรงจุดนี้ลุงหมอสังเกตเห็นกลุ่มทัวร์ชาวไทยหลายกลุ่ม ก็แอบสงสัยอยู่ว่าจะมีกลุ่มไหนไปเที่ยวจิ่วไจ้โกวเหมือนพวกเราไหมนะ ถ้ามีพวกเขาจะเดินทางอย่างไรนะ น่าจะมีรถมารับแหละ พอคิดมาถึงตรงนี้ความกังวลเรื่องตั๋วรถโดยสารประจำทางไปจิ่วไจ้โกวที่เราต้องไปซื้อในตอนเช้าวันนี้ก็วนเข้ามาอยู่ในหัวของลุงหมออีกครั้ง หวังว่าจะเรียบร้อยดีนะ หุหุหุ อีกเพียงแค่ 5 ชั่วโมงลุงหมอก็จะได้รับคำตอบแล้ว
หลังจากที่ทุกคนรับกระเป๋าของตัวเองเป็นที่เรียบร้อย น้องไกด์ก็นำทางพาเราไปรอขึ้นรถไฟฟ้าเข้าเมืองเพื่อไปยังสถานีรถโดยสารประจำทางในตัวเมืองเฉิงตู และตอนเดินไปตามทางเดินน้องก็บอกกับลุงหมอว่า ตรงนี้เป็นสนามบินใหม่และรถไฟฟ้าก็ใหม่ นี่เป็นครั้งแรกที่น้องไกด์ได้มาที่นี่ น้องมาจิ่วไจ้โกวเมื่อสองปีที่แล้ว ว่างั้น ลุงหมอก็ได้แต่หวังว่าน้องจะพูดเล่น แต่ไม่ใช่เลย น้องเค้าพูดจริงๆ เอาล่ะสิ ช่างขยันทำลายความมั่นใจเสียจริงนะพ่อหนุ่ม คนยิ่งกังวลใจอยู่
ทางลงสถานีรถไฟฟ้าภายในสนามบินห่างจากจุดรับกระเป๋าพอสมควร ตอนที่เราไปถึงลุงหมอสังเกตเห็นว่าบนม้านั่งตามโถงทางเดินถูกจับจองเป็นที่นอนกันจนเต็มหมดแล้ว คาดว่าน่าจะเป็นผู้โดยสารที่นอนรอรถไฟฟ้าเที่ยวแรกที่จะเริ่มให้บริการตอน 6 โมงเช้าแน่นอน และเนื่องจากที่นั่งเต็มทุกที่แล้วทีมของลุงหมอก็มิรอช้าจำเป็นจะต้องยึดพื้นบริเวณริมโถงทางเดินนั่นเอง เราเอากระเป๋าเดินทางมาวางรวมๆกันจะได้ดูแลได้ง่ายๆ และหาอุปกรณ์ต่างๆมาใช้หนุนแทนหมอนและเตรียมตัวนอนเอาแรงบนพื้นนั่นแหละ
แต่ก่อนที่ลุงหมอจะล้มตัวลงนอน น้องไกด์ก็เดินเข้ามาหาเพื่อขอโลชั่นที่ฝากมาในกระเป๋าของลุงหมอตอนอยู่ที่สนามบินดอนเมืองก่อนขึ้นเครื่อง และแล้วเหตุการณ์ตอนนี้ก็ยิ่งทำให้ความกังวลในตัวน้องไกด์ที่ลุงหมอมีอยู่นั้นกลับเพิ่มมากขึ้นไปอีก
คุณคุณอย่าเพิ่งงง อะไรกัน กะอีแค่น้องขอขวดโลชั่นคืน มันจะอะไรนักหนา ลุงหมอคิดมากไปหรือเปล่า มันจะทำให้เกิดความกังวลมากขึ้นได้อย่างไร
คืองี้ครับ พอน้องไกด์รับโลชั่นไป เค้าก็บีบโลชั่นแล้วทาทั่วแขนและขาของเขา ไม่ใช่ ไม่ใช่ ลบข้อมูลทิ้งเลยครับ เรื่องจริงคือพอน้องรับขวดโลชั่นไปเขาก็เปิดกระเป๋าเดินทางใบเล็กจิ๋วของเขาที่เขาลากมาเองจากจุดรับกระเป๋า แล้วเค้าก็ตกใจอุทานออกมาว่า “อ้าว! นี่มันไม่ใช่กระเป๋าผมนี่นา”
ลุงหมอนี่อึ้งไปเลย และก็ได้แต่คิดในใจว่า “เอ๋า ลงเครื่องมาก็ได้เรื่องเลยนะ จะพาทีมไปรอดไหมนะ แล้วนี่ไปหยิบกระเป๋าใครมา นี่ก็ผ่านมาเกือบชั่วโมงแล้วนะที่เราเดินออกมาจากจุดรับกระเป๋า เจ้าของตัวจริงจะกังวลใจแค่ไหนกันนะ ไอ้น้องเอ๊ย จะทำให้พี่ไว้ใจหน่อยก็ไม่ได้ จริงจริงเล๊ย”
ไวเท่าคำพูด น้องไกด์รีบลุกขึ้นลากกระเป๋าวิ่งแจ้นกลับไปที่จุดรับกระเป๋าทันที ลุงหมอก็ได้แต่ส่ายหน้า สักพักใหญ่น้องก็เดินกลับมาพร้อมกับกระเป๋าของตัวเอง ลุงหมอนึกเสียดายที่ไม่ได้ตามไปดูเหตูการณ์ตอนคืนกระเป๋าให้เจ้าของ ไม่รู้ว่าจะโดนอะไรมาบ้าง คงจะดูไม่จืด
 
หลังจากนั้นเราก็แยกย้ายกันงีบเอาแรงก่อนออกเดินทางผจญภัยและฝึกจิตกันต่อในตอนเช้า
โฆษณา