5 ชั่วโมงที่แล้ว • หุ้น & เศรษฐกิจ

75 ประเทศ 35,000 ล้านดอลลาร์: กับดักหนี้แห่ง Belt and Road เมื่อความฝันกลายเป็นฝันร้าย

🌏 ตัวเลขที่โลกต้องจับตา
75 ประเทศ 35,000,000,000 ดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2025
ตัวเลขเหล่านี้ไม่ใช่สถิติธรรมดา แต่เป็นจำนวนหนี้ที่ประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลกต้องชำระคืนให้จีนในปีนี้ ซึ่ง 22,000 ล้านดอลลาร์จากจำนวนนี้มาจาก 75 ประเทศที่ยากจนที่สุดในโลก ประเทศที่กำลังดิ้นรนเพื่อหาเงินจ่ายค่าการศึกษา สาธารณสุข และการพัฒนาพื้นฐาน วิกฤตที่เกิดจากความฝันอันยิ่งใหญ่ที่ชื่อว่า "Belt and Road Initiative"
---
## 🚂 เมื่อความฝันเริ่มต้น
ย้อนกลับไปเมื่อ 12 ปีที่แล้ว ในเดือนกันยายน 2013 ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงยืนบนเวทีในกรุงอัสตานา ประเทศคาซัคสถาน เขาประกาศวิสัยทัศน์ที่จะเปลี่ยนโลก
"Belt and Road Initiative" หรือ "เส้นทางสายไหมสมัยใหม่"
โครงการนี้จะเชื่อมโยงโลกด้วยเครือข่ายโครงสร้างพื้นฐานขนาดมหึมา ทางหลวง รถไฟความเร็วสูง ท่าเรือทะเลลึก โรงไฟฟ้า สายส่งไฟฟ้า ท่อส่งน้ำมันและก๊าซ เชื่อมจากปักกิ่ง ผ่านเอเชียกลาง ไปจนถึงยุโรป แอฟริกา และละตินอเมริกา
จีนสัญญาว่าจะลงทุนมากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ พร้อมนำเทคโนโลยีชั้นนำและความเชี่ยวชาญในการก่อสร้างมาช่วยประเทศกำลังพัฒนา คำสัญญาคือ "Win-Win Cooperation" ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ร่วมกัน
สำหรับประเทศกำลังพัฒนา นี่คือโอกาสทองที่จะก้าวข้ามช่องว่างด้านโครงสร้างพื้นฐานที่ล้าหลังมาหลายทศวรรษ โอกาสที่ธนาคารโลก IMF หรือประเทศตะวันตกไม่เคยเสนอให้
จีนยื่นมือเข้ามาพร้อมเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ไม่ต้องการค้ำประกันจากรัฐบาล สัญญาว่าจะสร้างเสร็จเร็ว และที่สำคัญ ไม่มี "เงื่อนไขทางการเมือง" แบบที่ตะวันตกมักบังคับ
ความฝันนี้ดูสมบูรณ์แบบเกินไป
และมันก็สมบูรณ์แบบเกินไป
---
## ⚠️ เมื่อความฝันเริ่มแตก
12 ปีผ่านไป สิ่งที่เหลืออยู่ไม่ใช่ความรุ่งโรจน์ แต่เป็นภูเขาหนี้สินที่กำลังถล่มทับประเทศต่างๆ ทั่วโลก
ข้อมูลจาก AidData องค์กรวิจัยระหว่างประเทศชี้ว่า 80% ของเงินกู้จากรัฐบาลจีนไปยังประเทศกำลังพัฒนาอยู่ในประเทศที่กำลังประสบปัญหาหนี้สิน และมากกว่าครึ่งหนึ่งอยู่ในช่วงที่ต้องเริ่มชำระคืนแล้ว
จีนที่เคยเป็น "ผู้ให้กู้รายใหญ่ที่สุดในโลก" ตอนนี้กลายเป็น "ผู้เรียกเก็บหนี้รายใหญ่ที่สุดในโลก" ไป
Lowy Institute รายงานว่าในปี 2025 จีนจะเรียกเก็บหนี้คืนจากประเทศกำลังพัฒนา 35 พันล้านดอลลาร์ ตัวเลขที่สูงเป็นประวัติการณ์ และจะยังคงสูงต่อเนื่องไปอีกหลายปี
สำหรับประเทศยากจน 75 ประเทศที่ต้องชำระ 22 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้ หมายความว่าพวกเขาต้องเอาเงินที่ควรไปสร้างโรงเรียน โรงพยาบาล หรือช่วยเหลือคนจน มาจ่ายหนี้ให้จีนแทน
นี่คือสิ่งที่โลกเรียกว่า "Debt Trap Diplomacy" หรือ "การทูตกับดักหนี้"
---
## 🇱🇰 ศรีลังกา: ท่าเรือที่กลายเป็นบทเรียน
เรื่องราวของศรีลังกาคือตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดของกับดักหนี้ Belt and Road
ปี 2010 ศรีลังกากู้เงินจีน 1.4 พันล้านดอลลาร์เพื่อสร้างท่าเรือ Hambantota ท่าเรือทะเลลึกที่ตั้งอยู่ในตำแหน่งยุทธศาสตร์บนเส้นทางการค้าระหว่างเอเชียและยุโรป
จีนสัญญาว่าท่าเรือนี้จะกลายเป็นศูนย์กลางการขนส่งสินค้าที่สำคัญ จะสร้างรายได้มหาศาลให้ศรีลังกา
แต่ความจริงกลับตรงกันข้าม
ท่าเรือแทบไม่มีเรือมาใช้บริการ ไม่มีรายได้ แต่หนี้กลับเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุด ธันวาคม 2017 ศรีลังกาประกาศว่าไม่สามารถชำระหนี้ได้อีกต่อไป
และแล้วสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ ศรีลังกาต้องมอบท่าเรือ Hambantota ให้กับบริษัทจีนในสัญญาเช่า 99 ปี จีนได้ควบคุมท่าเรือในตำแหน่งยุทธศาสตร์ ใกล้กับอินเดีย คู่แข่งทางภูมิรัฐศาสตร์
แต่เรื่องยังไม่จบ
ปี 2022 วิกฤตเศรษฐกิจที่สะสมมานานระเบิดออกมา ประชาชนศรีลังกาหลายหมื่นคนบุกเข้ายึดทำเนียบประธานาธิบดี พวกเขาว่ายน้ำในสระ นอนบนเตียงของประธานาธิบดี ทำอาหารในครัวของรัฐ
พวกเขาไม่ได้โกรธเพราะการทุจริตหรือการเผด็จการ พวกเขาโกรธเพราะหนี้ หนี้ที่ทำให้ประเทศล้มละลาย หนี้ที่ทำให้ไม่มีเงินซื้อน้ำมัน ไฟฟ้า ยา และอาหาร
หนี้ที่ส่วนใหญ่เป็นหนี้ต่อจีน
---
## 🇵🇰 ปากีสถาน: วิกฤตที่ยังไม่จบ
ถ้าศรีลังกาเป็นบทเรียน ปากีสถานก็คือวิกฤตที่กำลังดำเนินอยู่
China-Pakistan Economic Corridor (CPEC) เป็นหนึ่งในโครงการใหญ่ที่สุดของ Belt and Road มูลค่า 62 พันล้านดอลลาร์ ประกอบด้วยทางหลวง รถไฟ ท่อส่งน้ำมันและก๊าซ โรงไฟฟ้า และท่าเรือ Gwadar ใกล้เมืองการาจี
จีนให้ทุนประมาณ 80% ของโครงการ พร้อมดอกเบี้ยที่สูงกว่าโครงการอื่น
ตอนนี้ปากีสถานกำลังจมอยู่ในวิกฤตเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อสูงลิ่ว เงินสำรองน้อยลง ค่าเงินรูปีอ่อนค่าลง
ปากีสถานต้องขอความช่วยเหลือจาก IMF หลายรอบ แต่ IMF ต้องการให้ปากีสถานเปิดเผยรายละเอียดสัญญากับจีนก่อน สิ่งที่จีนไม่อยากให้เกิดขึ้น
ขณะนี้ปากีสถานกำลังเจรจาขอให้จีนช่วยปรับโครงสร้างหนี้ ขอให้ลดดอกเบี้ย ขยายระยะเวลา หรือยกหนี้บางส่วน แต่การเจรจายังไม่มีความคืบหน้าที่ชัดเจน
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในขณะที่ท่าเรือ Gwadar ยังไม่มีเรือมาใช้บริการมากพอที่จะคุ้มทุน
---
## 🇰🇪 เคนยา: เมื่อประชาชนจ่ายด้วยชีวิต
ในเคนยา หนี้จาก Belt and Road ไม่ได้ทำลายเพียงเศรษฐกิจ แต่ทำลายถึงชีวิตผู้คน
เพื่อหาเงินชำระหนี้ต่างประเทศ รัฐบาลเคนยาประกาศขึ้นภาษีใหม่ที่ครอบคลุม เรียกเก็บจากทุกสิ่งทุกอย่าง ตั้งแต่อาหาร เชื้อเปลิง ไปจนถึงบริการดิจิทัล
ประชาชนโกรธมาก พวกเขาออกมาประท้วงทั่วประเทศ การประท้วงครั้งใหญ่ที่สุดตั้งแต่ปี 2013
เจ้าหน้าที่ปราบปรามอย่างรุนแรง มีผู้เสียชีวิตมากกว่าโหล มีผู้บาดเจ็บนับร้อย
ประชาชนเคนยาไม่ได้ตายเพราะสงคราม ไม่ได้ตายเพราะโรคระบาด แต่ตายเพราะต้องจ่ายหนี้ที่พวกเขาไม่เคยได้ประโยชน์จากมันเลย
---
## 🇮🇩 อินโดนีเซีย: รถไฟที่กลายเป็นปัญหา
กรณีล่าสุดที่กำลังดำเนินอยู่คือรถไฟความเร็วสูง "Whoosh" ของอินโดนีเซีย
เมื่อเดือนตุลาคม 2023 ประธานาธิบดีโจโก วิโดโดยืนบนรถไฟด้วยความภาคภูมิใจ ประกาศเปิดรถไฟความเร็วสูงสายแรกของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เชื่อมจาการ์ตากับบันดุง ระยะทาง 142 กิโลเมตร ลดเวลาเดินทางจาก 3 ชั่วโมงเหลือ 40 นาที
จีนเฉลิมฉลองว่าโครงการนี้คือ "ความสำเร็จของ Belt and Road" โครงการเรือธงที่จะเป็นต้นแบบสำหรับภูมิภาค
แต่ไม่ถึงปี ความจริงเริ่มเปิดเผย
โครงการที่เริ่มต้นด้วยงบ 6 พันล้านดอลลาร์ สุดท้ายกลายเป็น 7.3 พันล้านดอลลาร์ เกินงบ 1.2 พันล้าน ล่าช้าหลายปี จีนให้กู้เพิ่ม แต่ดอกเบี้ยสูงขึ้นจาก 2% เป็น 3.4%
ผู้โดยสารน้อยกว่าที่คาดการณ์มาก รายได้ไม่พอจ่ายดอกเบี้ย บริษัทรถไฟแห่งชาติอินโดนีเซีย (KAI) ที่ต้องแบกรับส่วนแบ่งหนี้ ขาดทุน 2.2 ล้านล้านรูเปียห์ในปี 2024 และอีก 1.2 ล้านล้านรูเปียห์ในครึ่งแรกของปี 2025
ประธาน KAI บอกกับสภาว่า "มันเหมือนระเบิดเวลา"
ตอนนี้ Danantara กองทุนเพื่อความมั่นคงที่เพิ่งจัดตั้งของอินโดนีเซีย กำลังเจรจากับธนาคารพัฒนาจีนเพื่อปรับโครงสร้างหนี้ 5 พันล้านดอลลาร์ของโครงการรถไฟ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนใหม่ประกาศชัดเจนว่า "ปฏิเสธอย่างยิ่ง" ที่จะใช้งบประมาณของรัฐมาจ่ายหนี้นี้
คำถามคือ ถ้ารัฐไม่จ่าย KAI ก็จ่ายไม่ไหว แล้วจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป?
---
## 🔄 กลไกของกับดักหนี้
จากทั้ง 4 กรณีที่เล่ามา เราจะเห็นแพทเทิร์นที่ซ้ำซากกัน
**ขั้นที่ 1: คำสัญญาที่หวาน**
จีนเสนอเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ไม่ต้องการค้ำประกันรัฐ สัญญาว่าจะสร้างเสร็จเร็ว ผู้นำของประเทศเห็นโอกาสพัฒนาประเทศ เห็นภาพตัวเองตัดริบบิ้นเปิดโครงการก่อนหมดวาระ
**ขั้นที่ 2: ปัญหาเริ่มต้น**
โครงการล่าช้า ที่ดินไม่พร้อม ใบอนุญาตติดขัด การประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมไม่ผ่าน ชาวบ้านประท้วง แรงงานจีนมาทำงานแทนคนท้องถิ่น
**ขั้นที่ 3: ค่าใช้จ่ายพุ่ง**
งบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผู้รับเหมาจีนเป็นผู้ครอบงำ ประเทศเจ้าภาพไม่มีอำนาจต่อรอง จีนเสนอให้กู้เพิ่ม แต่ดอกเบี้ยสูงขึ้น
**ขั้นที่ 4: โครงการเสร็จ แต่ไม่คุ้มทุน**
ท่าเรือไม่มีเรือมาจอด รถไฟไม่มีคนขึ้น ทางหลวงไม่มีรถวิ่ง โรงไฟฟ้าซื้อไฟในราคาแพงเกินไป รายได้ไม่พอจ่ายดอกเบี้ย
**ขั้นที่ 5: ไม่สามารถชำระหนี้**
หนี้สะสมเยอะ เศรษฐกิจไม่ดี งบประมาณตึง ต้องกู้เพิ่มเพื่อจ่ายดอกเบี้ย วงจรหนี้เริ่มขึ้น
**ขั้นที่ 6: การเจรจา**
ขอปรับโครงสร้างหนี้ จีนเรียกร้องสิทธิพิเศษ อาจต้องยกสัมปทาน หรือโอนกรรมสิทธิ์โครงสร้างพื้นฐาน
**ขั้นที่ 7: ผลลัพธ์**
จีนได้ควบคุมโครงสร้างพื้นฐานในจุดยุทธศาสตร์ มีอิทธิพลทางการเมืองเพิ่มขึ้น ประเทศเจ้าภาพสูญเสียอำนาจอธิปไตยบางส่วน
นี่คือสิ่งที่เรียกว่า "กับดักหนี้"
---
## ⚖️ จริงหรือไม่? สงครามการโต้แย้ง
แน่นอนว่าจีนปฏิเสธอย่างหนักแน่นว่ามีเจตนาสร้าง "กับดักหนี้"
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนกล่าวว่า "ประเทศบางประเทศพยายามกล่าวหาปักกิ่งว่าทำให้ประเทศกำลังพัฒนาจมอยู่ในหนี้สิน แต่ความเท็จไม่สามารถปกปิดความจริงได้"
จีนยืนยันว่า Belt and Road เป็นการช่วยเหลือจริงใจ เป็นโอกาสสำหรับประเทศที่ไม่มีทางเลือกอื่น ธนาคารโลกและ IMF ไม่ยอมให้กู้ ตะวันตกไม่สนใจลงทุน จีนจึงเข้ามาช่วย
นอกจากนี้ จีนยังชี้ว่าหลายครั้งที่จีนยืดหยุ่นในการเจรจา ปรับโครงสร้างหนี้มากกว่า 50 พันล้านดอลลาร์ให้ประเทศต่างๆ ยกหนี้ให้แอฟริกา 3.4 พันล้านดอลลาร์ ไม่เคยยึดทรัพย์สินแม้แต่ครั้งเดียว
จีนยังโต้ว่า ประเทศแอฟริกาเป็นหนี้กลุ่มทางการเงินเอกชนของตะวันตกมากกว่าจีนถึง 3 เท่า และดอกเบี้ยที่เรียกเก็บสูงเป็น 2 เท่า
แล้วความจริงคืออะไร?
นักวิชาการส่วนใหญ่เห็นพ้องว่า ความจริงอยู่ตรงกลาง จีนอาจไม่ได้ตั้งใจสร้าง "กับดัก" ตั้งแต่แรก แต่ระบบการให้กู้ที่ขาดความโปร่งใส การประเมินความเป็นไปได้ของโครงการที่ไม่ดีพอ และการให้ผู้รับเหมาจีนครอบงำโครงการ ทำให้เกิดสถานการณ์ที่ประเทศกู้ไม่สามารถชำระหนี้ได้
และเมื่อเกิดปัญหาขึ้น จีนก็ใช้โอกาสนี้เพื่อเพิ่มอิทธิพลทางภูมิรัฐศาสตร์
มันอาจไม่ใช่ "กับดัก" ที่วางแผนมาตั้งแต่แรก แต่ผลลัพธ์ก็เหมือนกับดัก
---
## 🔮 อนาคตของ Belt and Road
ตอนนี้ Belt and Road กำลังอยู่ในจุดเปลี่ยน
การให้กู้ใหม่ลดลงอย่างมาก จาก 50 พันล้านดอลลาร์ต่อปีในช่วงปี 2016 เหลือเพียงไม่กี่พันล้านในปัจจุบัน จีนระมัดระวังมากขึ้น เลือกโครงการที่มั่นใจว่าคุ้มทุน เน้นประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติ
หลายประเทศเริ่มถอนตัวหรือขอปรับเงื่อนไข อิตาลีและปานามาถอนตัวออกจาก BRI มาเลเซียยกเลิกหรือปรับขนาดโครงการลง ประเทศอื่นๆ พิจารณาใหม่อย่างรอบคอบ
ตะวันตกเสนอทางเลือกใหม่ G7 ประกาศโครงการ "Build Back Better World" เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐานในประเทศกำลังพัฒนาแบบโปร่งใสและยั่งยืน อินเดียขยายอิทธิพลในภูมิภาค ญี่ปุ่นเสนอโครงการคุณภาพแทนปริมาณ
แต่สำหรับ 75 ประเทศที่ต้องชำระหนี้ 35 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้ ทั้งหมดนี้มาช้าเกินไป
---
🇹🇭 บทเรียนสำหรับไทย: Land Bridge
สำหรับไทย โครงการ Land Bridge ที่กำลังผลักดันอยู่เป็นบทเรียนสำคัญจาก Belt and Road
โครงการเชื่อมอ่าวไทยกับทะเลอันดามัน งบประมาณ 1 ล้านล้านบาท (29-36 พันล้านดอลลาร์) จีนแสดงความสนใจลงทุนอย่างแข็งขัน และที่น่ากังวล รัฐบาลกำลังเร่งผ่านกฎหมายให้ชาวต่างชาติเช่าที่ดินได้ 99 ปี เพื่อรองรับโครงการนี้โดยเฉพาะ
เราเห็นแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นกับท่าเรือ Hambantota ของศรีลังกา โครงการที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน สัญญาเช่า 99 ปีเหมือนกัน เทคโนโลยีเดียวกัน
คำถามคือ เราจะซ้ำรอยศรีลังกาหรือไม่?
บทเรียนชัดเจน
หนึ่ง ต้องประเมินความคุ้มทุนอย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ดูว่าสร้างเสร็จแล้วจะยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่ต้องดูว่าจะมีเรือมาจอดพอจ่ายคืนหนี้หรือไม่ ตอนนี้ไม่มีบริษัทเดินเรือระดับโลกแห่งไหนยืนยันว่าจะใช้บริการ
สอง ต้องเรียกร้องความโปร่งใสในสัญญา ต้องรู้ว่ากู้เท่าไหร่ ดอกเบี้ยเท่าไหร่ เงื่อนไขอะไรบ้าง ถ้าชำระไม่ได้จะต้องมอบสิทธิ์อะไรบ้าง กฎหมาย 99 ปีนี่แหละคือประตูสู่กับดัก
สาม อย่าให้ผู้รับเหมาจีนครอบงำโครงการทั้งหมด ต้องมีส่วนร่วมของบริษัทไทย ถ่ายทอดเทคโนโลยีจริงๆ เรียนรู้จากการเจรจารถไฟไทย-จีนที่เราปฏิเสธข้อเสนอเช่า 99 ปี
สี่ ต้องมีแผนสำรอง ถ้าโครงการไม่คุ้มทุน ใครจะจ่ายหนี้? รัฐบาลหรือประชาชน? จะไม่ยอมให้ใช้งบแผ่นดินจ่ายเหมือนรัฐมนตรีการคลังอินโดนีเซียประกาศหรือ?
ห้า อย่าพึ่งพาจีนเพียงอย่างเดียว ต้องมีทางเลือกอื่น ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดา ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐ สหภาพยุโรป ล้วนพร้อมลงทุนในภูมิภาคเรา
หก จัดประชามติ โครงการที่กระทบอธิปไตยและอนาคตของชาติขนาดนี้ ประชาชนควรมีสิทธิ์ตัดสินใจ ไม่ใช่รัฐบาลชุดเดียวผลักดันเร็วๆ เพื่อตัดริบบิ้นก่อนหมดวาระ
ท่าเรือระนองปี 2023 จัดการสินค้าเพียง 1,323 TEUs
ท่าเรือ Hambantota ทำกำไรเพียง 1.8 ล้านดอลลาร์ ไม่พอจ่ายดอกเบี้ย
รถไฟความเร็วสูงอินโดนีเซีย ขาดทุนหลายหมื่นล้านบาท
Land Bridge จะเป็นโอกาสหรือหายนะ?
คำตอบอยู่ที่ว่าเราจะเรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่นหรือไม่
---
## 💭 เมื่อความฝันกลายเป็นฝันร้าย
12 ปีหลังจากความฝันเริ่มต้น
75 ประเทศกำลังติดหนี้
35,000 ล้านดอลลาร์ต้องชำระในปี 2025
Belt and Road Initiative ที่ครั้งหนึ่งเคยสัญญาว่าจะเชื่อมโยงโลกและสร้างความเจริญรุ่งเรือง ตอนนี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของหนี้สิน ความไม่โปร่งใส และการสูญเสียอำนาจอธิปไตย
ท่าเรือที่ไม่มีเรือมาจอด รถไฟที่ไม่มีคนขึ้น โรงไฟฟ้าที่ผลิตไฟฟ้าแพงเกินไป ทางหลวงที่ไม่มีรถวิ่ง กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลก เป็นอนุสาวรีย์ของความฝันที่ล้มเหลว
สำหรับประเทศที่ยากจน 75 ประเทศ พวกเขาไม่ได้โครงสร้างพื้นฐานที่ใช้ได้จริง แต่ได้หนี้ที่จะต้องแบกรับไปอีกหลายทศวรรษ
สำหรับจีน แม้จะได้ควบคุมโครงสร้างพื้นฐานในหลายประเทศ แต่ก็สูญเสียชื่อเสียงและความเชื่อถือในเวทีโลก
Belt and Road ยังคงเป็นโอกาสหรือเป็นภัยคุกคาม?
คำตอบไม่ใช่ขาวหรือดำ แต่เป็นสีเทา สีเทาที่ต้องระวัง สีเทาที่ต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่น
และสำหรับไทย คำถามคือ เราจะเรียนรู้จากบทเรียนนี้หรือไม่?
ก่อนที่จะสายเกินไป
Boyles bigmove club
โฆษณา