27 ต.ค. เวลา 01:26

ถอดรหัสจิตวิทยา! ทำไมเรา "กลัวติดดอย" ไม่กล้าซื้อตอนทองบาทละ 20,000- 30,000

แต่ "กล้าไล่ซื้อ" ตอน 67,000?
เราทุกคนท่องจำกันขึ้นใจว่า "ซื้อถูก ขายแพง"
แต่ทำไมในชีวิตจริง... คนส่วนใหญ่ถึงทำตรงกันข้าม?
ทำไมตอนทองบาทละ 20,000-30,000 ไม่มีใครสนใจ กลัวซื้อแล้ว "ติดดอย"
แต่พอทองพุ่งไป 67,000 เท่านั้นแหละ... คนแห่ซื้อจนของขาดตลาด!
และพอราคาย่อลงมา 63,000 หลายคนกลับกลัวสุดขีด กลัวว่า "ดอยแล้ว!"
มันไม่ใช่เพราะเราไม่ฉลาดครับ... แต่เป็นเพราะ "สมอง" เรากำลังเล่นตลกกับเรา!
มาดูกันครับว่าในแต่ละสถานการณ์ สมองเราคิดอะไรอยู่
1. ทองมาถึงจุดพีคบาทละ 67,000: ทำไมคนแห่ซื้อ? (สมองส่วน "ความโลภ" ทำงาน)
ณ จุดนี้ "อารมณ์" ชนะ "เหตุผล" ไปหมดแล้วครับ มันคือส่วนผสมของ 3 พลังจิตวิทยาที่รุนแรงมาก:
* FOMO (Fear Of Missing Out) - "กลัวตกรถ"
นี่คือตัวร้ายที่ทรงพลังที่สุด! เมื่อราคาวิ่งขึ้นทุกวัน ข่าวออกทุกช่อง เพื่อนข้างๆ กดซื้อแล้วโชว์กำไร สมองจะตะโกนว่า "คุณกำลังจะพลาดโอกาสครั้งใหญ่ในชีวิต! ถ้าไม่ซื้อตอนนี้ พรุ่งนี้ 70,000 จะยิ่งซื้อไม่ไหว!"... ความกลัวที่จะ พลาดโอกาส มันรุนแรงกว่าความกลัวที่จะ ขาดทุน ในวินาทีนั้นครับ
* Social Proof - "จิตวิทยาฝูงชน" 🐑
มนุษย์เราเอาตัวรอดด้วยการอยู่เป็นกลุ่ม พอเราเห็นภาพคนต่อคิวล้นร้านทอง เห็นคนแห่ซื้อในแอปฯ สมองเราจะตีความทันทีว่า "ถ้าคนส่วนใหญ่ทำแบบนี้ มันต้องถูกต้องและปลอดภัยแน่ๆ" เราเลย "ปิด" การคิดวิเคราะห์ของตัวเอง แล้วทำตามฝูงชนเพื่อความอุ่นใจ
* Recency Bias - "อคติเข้าข้างปัจจุบัน"
สมองเราให้น้ำหนักกับสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ เราจะคิดว่า "ก็เห็นอยู่ว่ามันขึ้นมาตลอดเดือน... มันก็ต้องขึ้นต่อไปสิ!" เราลืมไปเลยว่าเมื่อ 5 ปีก่อนมันเคยราคาเท่าไหร่ แต่เราจะโฟกัสแค่กราฟที่กำลังพุ่งทะยานตรงหน้า
> สรุปสั้นๆ: ที่ราคา 67,000 คนไม่ได้ซื้อ "ทอง" ครับ... พวกเขากำลังซื้อ "ความตื่นเต้น", "ความหวัง" และซื้อ "ตั๋ว" เพื่อให้ได้อยู่บนขบวนรถเดียวกับคนอื่น
2. ตอนทองอยู่จุดต่ำบาทละ 20,000- 30,000: ทำไมไม่มีใครสน? (สมองส่วน "ความกลัว" ทำงาน)
ณ จุดนี้ "ความกลัว" และ "ความเบื่อ" มีอิทธิพลมากกว่า
* Loss Aversion - "การกลัวความสูญเสีย" 💔
นี่คือกฎเหล็กครับ! งานวิจัยรางวัลโนเบลบอกไว้ว่า "ความเจ็บปวดจากการขาดทุน 100 บาท มันรุนแรงกว่าความสุขที่ได้กำไร 100 บาท ถึง 2 เท่า"
ดังนั้น ตอนทองราคาบาทละ 20,000- 30,000 (ที่อาจจะนิ่งๆ หรือค่อยๆ ลง) คนจะกลัวว่า "ถ้าซื้อวันนี้ พรุ่งนี้เหลือ 29,000 ทำยังไง" "ซื้อแล้วติดดอย" ความกลัวเล็กๆ นี้ มันหนักหน่วงกว่าความหวังที่ว่า "ซื้อวันนี้ อีก 5 ปี อาจจะไป 60,000"
* Lack of "Story" - "มันไม่น่าตื่นเต้น" 😴
การลงทุนที่ราคานิ่งๆ มัน "น่าเบื่อ" ครับ ไม่มีข่าวพาดหัว ไม่มีใครพูดถึงในวงสนทนา มันไม่เร้าใจ สมองเราชอบเรื่องเล่าที่ตื่นเต้น แต่ทองบาทละ 30,000 มันไม่มีเรื่องเล่ามาล่อ "ความโลภ" ของเราครับ
> สรุปสั้นๆ: ที่ทองราคาบาทละ 20,000 30,000 คนกลัว "การขาดทุนระยะสั้น" มากกว่าที่จะมองเห็น "โอกาสในระยะยาว"
3. เมื่อทองดิ่งลงเหลือบาทละ 63,000 จากบาทละ 67,000 ทำไมเราถึงกลัวสุดขีด?
นี่คือจุดที่อารมณ์พังทลายที่สุด สำหรับคนที่เพิ่งไล่ซื้อที่ 67,000
มันคือการเปลี่ยนจาก "ความหวัง" มาเป็น "ความจริงอันเจ็บปวด"
* Panic & Regret - "ความตื่นตระหนกและเสียใจ"
สมองส่วนอารมณ์จะทำงานหนักมาก ตะโกนว่า "อันตราย! หนีเร็ว! ขายเดี๋ยวนี้ก่อนจะหมดตัว!" ความคิดในหัวคือ "ไม่น่าซื้อเลย!" "ฉันตัดสินใจผิดพลาด" "ทองมันต้องลงไปบาทละ 50,000 แน่ๆ"
* Anchoring - "การยึดติดกับราคา" ⚓
สมองของเรา "ปักหมุด" ราคา 67,000 เป็นจุดอ้างอิงใหม่ไปแล้ว การที่มันลงมา 63,000 จึงรู้สึกเหมือน "ขาดทุนมหาศาล" ทั้งที่ถ้าเทียบกับ 30,000 มันยังสูงมาก แต่สมองไม่สนครับ มันสนแต่ "จุดสูงสุดที่เพิ่งผ่านมา" เท่านั้น
บทสรุปถึงชาวดอย...
เห็นไหมครับ ตลาดการเงินในระยะสั้น มันไม่ได้ขับเคลื่อนด้วย "เหตุผล" หรือ "กราฟ" เสมอไป... แต่ มันขับเคลื่อนด้วยอารมณ์มวลชน 2 อย่างที่สลับกันทำงาน นั่นคือ:
ความโลภ (Greed) 🟢 และ ความกลัว (Fear) 🔴
การ "ตระหนักรู้" และ "เข้าใจ" อารมณ์เหล่านี้ในตัวเอง คืออาวุธที่แพงที่สุดในการลงทุนครับ
ของแบบนี้ใครเตือนก็ไม่ฟัง เราต้องเจอกับตัวเองก่อนแล้วเราถึงจะเข้าใจถ่องแท้
#จิตวิทยาการเงิน #ลงทุนทอง #ราคาทอง #ติดดอย #FOMO #การเงิน #การลงทุน #พฤติกรรมมนุษย์ #เตือนใจนักลงทุน #ซื้อถูกขายแพง
จากเพจ : ประสบการณ์ของพี่ทอมเองครับ
โฆษณา