Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Unheard Words | เสียงในหมอก
•
ติดตาม
27 ต.ค. เวลา 10:46 • การศึกษา
โลกที่ไม่มีใครรู้คำตอบแน่นอน..และศิลปะของการเรียนรู้โดยไม่หลงทาง
บางวันผมก็รู้สึกว่าโลกมันเร็วเกินไปจริง ๆ
เร็วแบบที่แค่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเช็กข่าวตอนเช้า ก็รู้สึกเหมือนตัวเองตกรุ่นไปอีกหนึ่งเวอร์ชันแล้ว
AI เขียนโค้ดได้แล้ว
AI สร้างภาพได้แล้ว
AI กำลังจะเข้าใจ “เรา” ได้มากกว่าที่เรารู้จักตัวเองด้วยซ้ำ
คำถามที่ตามมาคือ... แล้วเราจะยัง “มีค่า” อยู่ตรงไหน?
1. ความเร็วของโลก มันไม่ใช่แค่เรื่องเทคโนโลยี
หลายคนคิดว่า “โลกเปลี่ยนเร็ว” เพราะเทคโนโลยีโตเร็ว — แต่มันไม่ใช่แค่เรื่องของเครื่องจักรหรือโค้ดหรอกครับ
สิ่งที่เปลี่ยนเร็วกว่าคือ “ขอบเขตของความแน่ใจ”
เมื่อก่อนเราเรียนในมหาวิทยาลัย 4 ปี ก็พอจะมั่นใจได้ว่า วิชานั้นใช้ทำงานได้อีกหลายปี
แต่ตอนนี้... ความรู้บางอย่างหมดอายุใน 6 เดือน
Framework ที่เรียนไว้ตอนปีที่แล้ว อัปเดตใหม่จนใช้ไม่ได้
และบางอย่างที่เราไม่คิดว่าจะสำคัญเลย กลับกลายเป็นแก่นของอาชีพใหม่ทั้งสาย
ความเร็วของโลก จึงไม่ใช่ความเร็วของเทคโนโลยี
แต่มันคือ “ความเร็วของความไม่แน่นอน”
2. แล้วจะเอายังไงดีล่ะ? — เมื่อเราไม่รู้แม้กระทั่งว่าต้องรู้อะไร
Demis Hassabis ผู้ก่อตั้ง DeepMind เคยพูดไว้ในสัมภาษณ์หนึ่งว่า
“ในโลกที่ AI กำลังเรียนรู้ทุกอย่างได้เร็วกว่าเรา มนุษย์ต้องเรียนรู้วิธีเรียนรู้ให้เก่งกว่ามัน”
ฟังดูเหมือนประโยคเท่ ๆ ใช่ไหมครับ
แต่จริง ๆ มันคือแนวคิดทางวิทยาศาสตร์เลยทีเดียว — เพราะ “การเรียนรู้” เอง ก็เป็นระบบหนึ่งเหมือนวงจรไฟฟ้า
แค่เรามักจะลืมว่า สมองเราก็มี “ระบบ feedback” เหมือนกัน
ถ้าเราทำผิดพลาด สมองจะปรับน้ำหนัก (เหมือนการ fine-tune model)
ถ้าเราเจอข้อมูลซ้ำ ๆ มันจะ optimize การจำ
และถ้าเราหยุดใช้ มันก็ prune connection ทิ้งไปเอง
เราไม่ได้แค่เรียนรู้เรื่องใหม่
แต่เรา “เรียนรู้ว่าเรียนรู้ยังไง” ตลอดเวลาโดยไม่รู้ตัว
3. การเรียนรู้ที่ดี หมายถึง วงจร feedback ที่ไม่พัง
ในโรงงาน ถ้าวงจร feedback เสีย เราไม่มีทางรู้เลยว่าเครื่องจักรทำงานดีหรือแย่
มนุษย์ก็เหมือนกัน
ปัญหาของยุคนี้คือ feedback loop ของการเรียนรู้เริ่มพัง
เพราะอะไร?
เพราะเรารับข้อมูลจากทุกที่ โดยไม่รู้ว่ามันมาจากใคร
โลกออนไลน์ให้ feedback เราเร็วเกินจริง (ไลก์ คอมเมนต์ แชร์)
แต่ feedback เหล่านั้นไม่ได้สะท้อนคุณภาพของความเข้าใจเลย
มันเหมือนเราฝึกยิงลูกโทษโดยมีแต่คนตะโกนเชียร์ข้างสนาม — ไม่เคยมีใครบอกว่า “ลูกเมื่อกี้มันโค้งออกขวาไปสององศา”
เราเลยเก่งขึ้นในสิ่งที่โลกให้รางวัลเร็ว
แต่ไม่เก่งในสิ่งที่ต้องใช้เวลาเพื่อเข้าใจจริง ๆ
4. ปัญหาของการเรียนรู้เร็ว คือการเข้าใจตื้น
เราอยู่ในยุคที่ทุกคน “เรียนรู้ได้เร็ว”
แต่สิ่งที่น่ากลัวกว่าคนที่ไม่เรียนรู้ คือคนที่ “คิดว่าตัวเองเข้าใจแล้ว ทั้งที่ยังไม่เข้าใจ”
เราดูคลิป 5 นาทีแล้วบอกว่าเข้าใจเศรษฐศาสตร์
เราฟังพอดแคสต์แล้วบอกว่าเข้าใจ AI
เราลองทำโปรเจกต์หนึ่งอาทิตย์แล้วบอกว่าเข้าใจการจัดการองค์กร
มันไม่ผิดที่อยากเรียนรู้เร็ว
แต่ต้องไม่ลืมว่า ความเร็ว กับ ความลึก ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน
การเรียนรู้ที่แท้จริง ต้องมี “แรงเสียดทาน” (friction)
เหมือนการฝึกขัดโลหะ ถ้าไม่มีแรงเสียดทาน มันไม่เงา
เราจะรู้ว่าตัวเอง “เข้าใจจริง” ก็ต่อเมื่อเคยติด เคยงง เคยสงสัย เคยพลาด
นั่นแหละ “สัญญาณของการเรียนรู้” จริง ๆ
5. AI ทำให้เรามีเครื่องมือใหม่ แต่ไม่ได้ทำให้เราเข้าใจเร็วขึ้นเสมอ
AI เขียนสรุปให้เราได้ทุกอย่าง
มันสามารถบีบเนื้อหาจากหนังสือ 300 หน้า เหลือ 3 ย่อหน้า
แต่นั่นคือ “ข้อมูลย่อย” ไม่ใช่ “ความเข้าใจ”
เพราะความเข้าใจไม่ได้อยู่ที่ข้อมูล
มันอยู่ที่ “แรงที่เราใช้คิดผ่านข้อมูลนั้น”
AI จะช่วยให้เราประหยัดเวลา
แต่ถ้าเราไม่ใช้เวลาที่ประหยัดไปกับการ “คิดให้ลึกขึ้น”
เราก็แค่กลายเป็นคนที่ “รู้ไว แต่เข้าใจช้า”
6. Hassabis ไม่ได้แค่พูดเรื่องการเรียนรู้ของคน — เขาพูดเรื่องของระบบทั้งหมด
DeepMind ที่เขาสร้าง ไม่ใช่ AI ธรรมดา
มันคือระบบที่เรียนรู้จากการเรียนรู้ของตัวเอง
เขาสอน AI ให้เล่นหมากรุก โดยไม่ได้ให้สูตร แต่ให้มัน “ลอง–ผิด–ถูก–และสะท้อนตัวเอง”
นั่นคือ meta-learning — การเรียนรู้วิธีเรียนรู้
มนุษย์ก็เหมือนกันครับ
เราไม่ต้องรู้ทุกเรื่อง
แต่เราต้องรู้ “จังหวะที่ควรเรียน” และ “วิธีที่เราดูดซับความรู้ได้ดีที่สุด”
บางคนเรียนด้วยการฟัง
บางคนต้องวาดภาพ
บางคนต้องสอนคนอื่น
ไม่มีวิธีที่ถูกสำหรับทุกคน แต่มีวิธีที่เหมาะกับแต่ละสมอง
7. “เรียนรู้โดยไม่หลงทาง” หมายถึงอะไร
ลองสังเกตตัวเองเวลาเปิด YouTube ครับ
ตั้งใจจะหาคลิปสอนภาษาอังกฤษ
แต่สุดท้ายไปจบที่คลิปสุนัขพูดได้... แล้วเวลาหายไปครึ่งชั่วโมง
การเรียนรู้ในยุคนี้ยากตรงนี้แหละ — ยากตรงการไม่หลง
เพราะระบบรอบตัวเราไม่ได้ออกแบบมาให้เราฉลาดขึ้น
แต่มันออกแบบมาให้เราอยู่กับมันนานที่สุด
การเรียนรู้โดยไม่หลงทางจึงต้องเริ่มจาก “การวางเข็มทิศในตัวเอง”
ถามง่าย ๆ ว่า
“เรากำลังเรียนสิ่งนี้ เพราะอยากเข้าใจมันจริง ๆ หรือแค่กลัวตกขบวน?”
8. การเรียนรู้ตลอดชีวิต ไม่ได้แปลว่าต้องเรียนตลอดเวลา
คำว่า lifelong learning มักถูกใช้ผิดบ่อยมาก
คนเข้าใจว่าแปลว่า “ต้องเรียนไม่มีวันหยุด”
แต่จริง ๆ มันหมายถึง “เราไม่หยุดคิดว่าเรารู้อะไรแล้ว”
ความแตกต่างเล็ก ๆ นี้สำคัญมาก
เพราะบางคนเรียนทั้งชีวิต แต่ไม่เคยเปลี่ยนความคิดเลย
ในขณะที่บางคนอ่านหนังสือปีละเล่ม แต่ทุกเล่มเปลี่ยนชีวิตเขาได้
การเรียนรู้ไม่ใช่เรื่องปริมาณ แต่คือคุณภาพของการสะท้อนตัวเองหลังเรียนรู้
9. วิทยาศาสตร์ของการเรียนรู้ บอกเราว่า “สมองต้องพักเพื่อจะจำ”
เรื่องนี้เป็น paradox ที่ผมชอบมาก
เพราะสมองเราทำงานคล้ายคอมพิวเตอร์ในบางจุด
แต่มีข้อแตกต่างสำคัญอย่างหนึ่ง: มันต้องการ “ช่วงว่าง” เพื่อ consolidate ความรู้
ช่วงที่เรา “ไม่ได้เรียน” คือช่วงที่สมอง “จัดระเบียบสิ่งที่เรียนไป”
ดังนั้น ถ้าใครเรียนไม่หยุดเลยโดยไม่พัก
จะเหมือนเครื่องที่เปิด process ค้างไว้จน RAM ล้น — ประสิทธิภาพตกลงเรื่อย ๆ
บางครั้ง การไม่ทำอะไรเลย คือการเรียนรู้ที่ดีที่สุด
10. “การเรียนรู้” ไม่ใช่การสะสม แต่คือการเปลี่ยนโครงสร้างความคิด
ในวงการวิศวกรรมมีคำว่า “Design Iteration”
ทุกครั้งที่เราออกแบบวงจรใหม่ เราไม่ได้แค่เพิ่มชิ้นส่วน
แต่เราปรับ layout, route, และลดจุดล้มเหลว
สมองก็เหมือนกัน
การเรียนรู้ไม่ใช่การเพิ่มข้อมูล
แต่มันคือการปรับ layout ของความคิดในหัว
เราไม่ได้ฉลาดขึ้นเพราะจำได้มาก
แต่เพราะเราคิดได้เป็นระบบมากขึ้น
11. “Meta-skill” ไม่ได้แปลว่าเรียนรู้เร็วกว่าใคร — แต่เรียนรู้ได้แม้ตอนเจอความไม่แน่นอน
ความสามารถที่แท้จริงในศตวรรษนี้คือ “การไม่แตกตอนทุกอย่างเปลี่ยน”
เพราะเราไม่มีวันรู้แน่ ๆ ว่าอีกสิบปีข้างหน้า
AI จะเขียนโปรแกรมแทนเราไหม
หรืออาชีพไหนจะหายไปก่อน
แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ ๆ คือ “เรายังต้องอยู่กับการเปลี่ยนแปลง”
ดังนั้น meta-skill จึงไม่ใช่เรื่องเทคนิค
แต่มันคือ mindset ว่า
“ฉันไม่กลัวที่จะเป็นคนไม่รู้ — เพราะฉันรู้วิธีจะกลับมาเข้าใจได้อีกครั้ง”
12. แล้วเราจะฝึก meta-skill ได้ยังไง?
มันไม่ได้ต้องใช้คอร์สแพง ๆ เลยครับ
เริ่มได้จากนิสัยเล็ก ๆ แบบนี้
1.
ตั้งคำถามก่อนอ่านทุกครั้ง ว่า “เราอยากได้อะไรจากข้อมูลนี้?”
2.
หลังอ่านจบ ให้ตอบตัวเองสั้น ๆ ว่า “สิ่งที่เราเข้าใจอาจผิดตรงไหน?”
3.
เวลาคุยกับใคร ให้ลองฟังสิ่งที่เขาเชื่อ ก่อนจะบอกสิ่งที่เราคิด
4.
และอย่าลืมพัก เพื่อให้สมองจัดระเบียบเอง
แค่นี้คือ meta-learning ในชีวิตจริงแล้ว
13. โลกที่ Hassabis พูดถึง มันไม่ได้ไกล — มันคือวันนี้
AI กำลังเรียนรู้จากข้อมูลทุกวินาที
แต่เราต่างหากที่ต้องเรียนรู้จาก “สิ่งที่ AI ยังเรียนไม่ได้”
AI ไม่มีความกลัว ไม่มีความสงสัย
มันไม่มีวันที่จะรู้ว่าทำไมความเข้าใจถึงสำคัญ
แต่มนุษย์รู้
เพราะมนุษย์รู้ว่าการไม่รู้มันรู้สึกยังไง
14. โลกนี้ไม่ได้ต้องการคนที่รู้ทุกอย่าง
มันต้องการคนที่รู้ว่าความรู้ของตัวเองมีขอบเขตแค่ไหน
ใครที่รู้จุดสิ้นสุดของความเข้าใจตัวเอง
คนนั้นจะเรียนรู้ได้อย่างไม่หมดสิ้น
15. สรุปสุดท้าย
โลกที่เรากำลังอยู่ มันไม่ต้องการคนที่แข่งกับ AI ด้วยความเร็ว
แต่มันต้องการคนที่เรียนรู้จาก AI ด้วยความเข้าใจ
เพราะวันหนึ่ง เมื่อทุกอย่างเรียนรู้ได้หมด
“มนุษย์ที่ยังเรียนรู้ได้อย่างมีสติ”
จะเป็นสิ่งที่หายากที่สุดในจักรวาล
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย