วันนี้ เวลา 01:00

มหันตภัยสองเด้งที่กำลังเกิดกับไทย

มหันตภัยสองเด้งที่กำลังเกิดกับไทย คอลัมน์บ้านเมืองของเรา โดยสมหมาย ภาษี
 
ประเทศไทยของเราไม่ใช่ต้องประสบกับความอ่อนล้าในการขยายตัวทางเศรษฐกิจต่อเนื่องมานานที่ยังไม่สามารถจับทิศทางแก้ไขได้ จนดูเหมือนเป็นมหันตภัยที่ค่อยคืบคลานเข้ามาให้เห็นชัดเท่านั้น แต่ไทยเรายังพบกับความล่าช้าต่อการปรับตัวให้รับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เลวร้ายลงทุกปีจนเป็นภัยพิบัติอีกด้วย เรามาดูรายงานของธนาคารโลกในเรื่องนี้กันให้ชัดๆ
1. ธนาคารโลกคาด GDP ไทยอาจหายไป 7 - 14 % ใน 25 ปีข้างหน้าหากไม่ปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศให้ทันประเทศอื่น
นี่เป็นรายงานการพัฒนาประเทศและสภาพภูมิอากาศของไทยที่จัดทำโดยธนาคารโลกล่าสุดออกมาเร็วๆ นี้ โดยทำขึ้นจากแบบจำลองภายใต้สถานการณ์ธุรกิจตามปกติ ความไม่ทันการของภาครัฐในการปรับตัวซึ่งรวมถึงการลงทุนในการบรรเทาอุทกภัย การป้องกันชายฝั่ง และรวมถึงการดำเนินการอย่างจริงจังตามมาตรการลดมลพิษทางอากาศของประเทศที่เรียกว่า Net Zero ให้เป็นไปตามเป้า
เรื่องนี้จะซ้ำเติมให้ประเทศต้องผจญกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น ยิ่งสร้างความเสียหายทั้งในด้านการผลิตและด้านทรัพย์สินของประชาชนอย่างมากอย่างที่เห็นๆกันในทุกวันนี้
ในช่วงเมื่อ 2 - 3 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยถูกสถาบันการเงินระหว่างประเทศทั้งธนาคารโลก (IBRD) ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) และแม้กระทั่ง IMF ได้ประเมินสภาพการเจริญเติบโตของไทยว่าต่ำต้อยล้าหลังประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ ใน ASEAN คือ GDP แต่ละปีจะโตได้ไม่เกิน 3% ยิ่งเมื่อครึ่งปีที่ผ่านมาต้องมาเจอกับการขึ้น Tariff ของทรัมป์อย่างบ้าบิ่น ไทยยิ่งโดนกระทบหนักขึ้น ปี 2568 นี้ GDP คงโตไม่เกิน 2% คงต้องโตแบบเรี่ยดินไปอีกนาน นี่ยังไม่นับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนที่ได้ส่งผลเห็นชัดมากในเวลานี้
ธนาคารโลกได้ยกตัวอย่างให้เห็นว่า น้ำท่วมใหญ่ของไทยในปี 2554 ก่อให้เกิดความเสียหายถึง 12.6% ของ GDP และถ้าปล่อยไปตามประสารัฐบาลไทยก็จะเกิดน้ำท่วมที่รุนแรงไม่น้อยกว่าเกิดขึ้นอีก ความสูญเสียอาจจะเพิ่มขึ้นเป็น 15% ของ GDP ก็เป็นไปได้ทั้งนั้น
สิ่งที่ไทยต้องเผชิญอีกอย่างหนึ่งควบคู่กับภัยธรรมชาติ คือความเสี่ยงทางเศรษฐกิจจากประเทศคู่ค้าที่จะใช้มาตรการเข้มงวดเร่งลดการปล่อยคาร์บอนและฝุ่นพิษ (PM 2.5) ซึ่งรวมเป็นก๊าซเรือนกระจก (Green House Gas) หากไทยไม่เร่งลดให้ทันเขา ไทยก็จะสูญเสียการส่งออก เพราะต่อไปบริษัทข้ามชาติจะกีดกันสินค้าจากผู้ผลิตที่ปล่อยคาร์บอนสูงจากห่วงโซ่อุปทาน การส่งออกและการท่องเที่ยวไทยก็จะถูกกระทบมาก
ที่เห็นๆ กันในขณะนี้รัฐบาลไทยจากแต่ละพรรคการเมืองเอาแต่แก้ปัญหาเฉพาะหน้า มุ่งแต่การหาวิธีที่มิชอบเพื่อหาพวก หาเงิน และหาอำนาจ ไม่ใส่ใจกับการทำโครงการเพื่อลดหรือป้องกันมลพิษทางอากาศในอนาคต ถ้าไม่สามารถปรับตัวให้ได้ตามเป้า ภายในปี 2050 ธนาคารโลกได้ประเมินไว้ว่า GDP ของไทยจะลดลงในระดับ 7-14% หรือจะลดลงเฉลี่ยปีละ 0.5% หากลงมือทำอย่างจริงจัง GDP อาจพุ่งโตถึงปีละ 4-5% ได้
2. การบรรลุเป้าหมายการลดคาร์บอนแบบเร่งด่วนและยั่งยืนของไทย
ความพยายามที่สำคัญของภาครัฐไทยในการเข้าไปมีส่วนร่วมกับสังคมโลกที่ร่วมมือคิดหามาตรการต่อต้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลกยังถือว่าน้อยมาก
ประเทศที่พัฒนาแล้วทั้งหลายที่ได้ออกมาตรการเพื่อลดก๊าซเรือนกระจก โดยชักจูงให้ประเทศต่างๆ ตั้งเป้าให้เกิด Net Zero Emission ของการปล่อยมลพิษให้เหลือศูนย์ ภายในปี 2050 (ปีพ.ศ. 2593) นั้น เห็นได้ชัดว่าได้มีการดำเนินการอย่างจริงจังมากในยุโรปโดยเฉพาะประเทศในกลุ่มสแกนดิเนเวีย เช่น เดนมาร์ก
ประเทศจีนที่เป็นประเทศที่มีอุตสาหกรรมมากมาย และใช้ถ่านหินเป็นพลังงานถึงร้อยละ 56 และใช้พลังงานสะอาดเพียงร้อยละ 25.5 เทียบกับประเทศเดนมาร์ก ในปี 2023 เดนมาร์กได้นำหน้าในการลดพลังงานที่พึ่งพาพวกน้ำมัน ก๊าซ และถ่านหินลงอย่างเห็นได้ชัด โดยได้เร่งใช้พลังงานทดแทน (Renewable energy) ถึงร้อยละ 44 ของพลังงานทั้งหมด ในจำนวนนี้เป็นการใช้พลังงานชีวมวล (Biomass) และรวมถึงขยะ (Waste to Energy) ถึงร้อยละ 54 และใช้พลังลมร้อยละ 24 ซึ่งไทยก็มีวัตถุดิบมาก แต่ส่งเสริมให้เป็นระบบไม่ได้
มีข่าวออกมาว่า จีนภายใต้การนำของประธานาธิบดีสีจิ้นผิง ก็ได้เน้นให้อุตสาหกรรมหันมาใช้พลังงานทดแทนมากขึ้น การใช้รถยนต์ก็ได้หันมาเน้นใช้พลังงานไฟฟ้าเต็มที่ มีการคุ้มเข้มภาคอุตสาหกรรมให้หันมาใช้พลังงานสะอาด สีจิ้นผิงเพิ่งแถลงต่อที่ประชุมสมัชชาใหญ่สหประชาชาติว่าจีนจะดำเนินการตาม “ความตกลงปารีส” โดยจีนได้กำหนดเป้าหมายให้บรรลุการเป็นชาติปลอดคาร์บอน (Carbon Neutral) ก่อนปี 2050 โดยมีแผนและแนวทางการพัฒนาพลังงานทดแทนทั้งจากน้ำ ลม และแสงอาทิตย์ที่ชัดเจนมาก
ทีนี้ลองหันมาดูประเทศไทยเราบ้าง มีการกำหนดมาตรการอะไรบ้าง แน่นอนไทยเราก็ได้ประกาศเป้าหมายไว้ชัดเจนเหมือนเขา คือได้มีประกาศของทางการให้ไทยบรรลุเป้าหมาย Net Zero ภายในปี 2050 เอกชนรายใหญ่ๆก็ได้นำมาตรการต่างๆ มาใช้มากดูดี เช่น มาตรการที่กำหนดค่าธรรมเนียมคาร์บอนเครดิต แต่ภาครัฐได้ให้ความใส่ใจกับการดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายที่จะให้เกิด Net Zero ของการปล่อยก๊าซมลพิษจริงจังแค่ไหนบ้าง
เมื่อสองสามวันนี้ก็มีข่าวว่ากระทรวงพลังงานกำลังจะนำเสนอโครงการโซลาร์ฟาร์มชุมชนเข้าครม. เพื่อให้เอกชนลงทุนประมาณ 30,000 ล้านบาท ผลิตไฟฟ้า 1,500 เมกะวัตต์ ขายไฟฟ้าให้แก่ชุมชน ฟังดูก็เป็นเรื่องเหล้าเก่าในขวดใหม่ แต่ไม่ใช่เป็นแผนงานระยะยาวที่ยั่งยืนเพื่อมุ่งทำให้เกิด Net Zero ให้ถึงเป้า
3. ร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. ....
ณ วันนี้ภาครัฐของไทยโดยกระทรวงทรัพย์ฯ ได้จัดทำร่างกฎหมายหลักเพื่อดำเนินการในการลดมลพิษเสร็จแล้วเตรียมนำเสนอเข้าสภาผู้แทนและรัฐสภาพิจารณาต่อไป โดยจากคำแถลงนโยบายของครม. เมื่อ 29 กันยายน 2568 สรุปได้แล้วว่ารัฐบาลได้เห็นชอบร่างพ.ร.บ.การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. .... ที่มีอยู่ 14 หมวด ซึ่งมีชื่อเป็นภาษาอังกฤษว่า “Climate Change Act” เรียบร้อยแล้ว แต่ไม่ทราบว่าคนที่เป็นรัฐบาลได้รู้ลึกซึ้งแค่ไหน แต่ผมมีความเห็นว่าร่าง พ.ร.บ.นี้ยังขาดการกำหนดการได้มาของเงินทุนที่จะต้องใช้สนับสนุนให้ชัดเจนและเพียงพอ
ทั้งนี้ จากความรู้ไม่มากที่ได้ไปดูงานของคณะกรรมการตราสารหนี้ไทยที่มีผมร่วมอยู่ด้วยเมื่อปลายเดือนกันยายนนี้ที่เดนมาร์ก และฟังการสรุปเรื่องนี้จากสถาบันที่เป็นองค์กรที่ไม่แสวงหากำไรที่เกิดจากความร่วมมือของภาครัฐและภาคเอกชนของประเทศเดนมาร์กที่ชื่อว่า “State of Green” ที่ก่อตั้งในปี ค.ศ. 2008 หรือ 17 ปีมาแล้ว
โดยภาครัฐของเดนมาร์กได้ส่งผู้แทนมาร่วมกับตัวแทนจากสมาคมธุรกิจและสมาคมอุตสาหกรรมที่สำคัญของเดนมาร์ก เช่น สมาคมพลังงาน สมาคมการเกษตรและอาหาร และสมาคมอุตสาหกรรมกังหันลม เป็นต้น เป็นคณะกรรมการขององค์กร ทำหน้าที่รับผิดชอบกิจกรรมที่สามารถตอบสนองบทบาทและชื่อเสียงด้าน Green Frontrunner ของเดนมาร์ก
และที่สำคัญคือมี HM. King Frederick ของเดนมาร์กเป็นองค์อุปถัมภ์มาตั้งแต่พระองค์ท่านยังเป็นมกุฎราชกุมาร ซึ่งได้แสดงให้เห็นชัดว่าองค์กรนี้มีความสำคัญต่อประชาชนของประเทศเดนมาร์กอย่างสูงสุด
4. ข้อเสนอเพื่อให้การลดภาวะโลกร้อนของไทยเดินหน้าถึงเป้า Net Zero ในปี 2050
ได้เห็นชัดถึงผลงานและความก้าวหน้ามากขององค์กร State of Green ของประเทศเดนมาร์กแล้ว เมื่อนำมาเทียบกับสิ่งที่ไทยจะทำที่ปรากฏอยู่ในร่าง พ.ร.บ. ของไทยที่กล่าวมาแล้ว จะเห็นได้ว่าไม่อาจยกไปทาบได้เลย ผมว่าไทยเราติดกระดุมผิดตั้งแต่ต้นแล้วละครับ ข้อเสนอให้รัฐต้องลงมือทำด่วน มีดังนี้
1. ภาครัฐต้องระดมทรัพยากรประเภทที่เป็นกองทุนระยะยาวของประเทศที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของภาครัฐ เช่น กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนประกันสังคม และกองทุนอื่นๆที่อยู่ในกรอบของภาครัฐไม่ให้ไปลงทุนเพียงเพื่อมุ่งหาผลประโยชน์สูงสุดทางการเงินให้กองทุนเฉพาะหน้าเท่านั้น แต่จะต้องนำมาลงทุนในโครงการที่ต่อสู้กับภาวะโลกร้อนที่จะเป็นมหันตภัยด้วย คือ
การลงทุนในโครงการพลังงานทดแทน เช่น โครงการพลังงานแสงอาทิตย์ ชีวมวล และขยะ ที่ต้องการเงินลงทุนต้นทุนต่ำมาสนับสนุน ซึ่งจากประสบการณ์ของเดนมาร์ก พบว่าการลงทุนเพื่อสิ่งแวดล้อมพร้อมผลตอบแทนที่ดีในระยะยาวเป็นสิ่งที่เป็นไปได้
2. ไทยตามสภาวะภูมิอากาศที่เป็นอยู่ สามารถเพิ่มกำลังการผลิตไฟฟ้าจากพระอาทิตย์ได้อีกมากและในทุกพื้นที่ทุกภาค ขอเพียงให้ได้ต้นทุนจากการสนับสนุนด้านการเงินที่มั่นคงด้วยต้นทุนที่สมเหตุสมผลดังกล่าวในข้อ 1. และขอให้ได้พื้นที่ดินและผิวน้ำที่ค่าเช่าต่ำที่รัฐบาลสามารถจัดสรรให้ใช้จากที่ราชพัสดุที่มีมากโดยออกเป็นพระราชกฤษฎีกาจากกระทรวงการคลัง การผลิตไฟฟ้าราคาต่ำก็จะเกิดขึ้นได้แน่
3. โครงการที่ควรทำอีกอย่าง คือการขยายโครงการไฟฟ้าจากขยะและชีวมวลซึ่งยังมีน้อยมาก จำเป็นต้องเปลี่ยนเป็นแผนงานระยะยาวที่ชัดเจนให้เอกชนทำกันง่ายๆ โดยให้มีปัจจัยการผลิตที่ทันสมัยราคาต่ำ และรัฐต้องสนับสนุนให้การแยกขยะมีระบบและทันสมัยเหมือนในยุโรปและญี่ปุ่น พร้อมทั้งต้องแก้ข้อยุ่งยากทางกฎหมาย ซึ่งกทม. ได้ริเริ่มการรณรงค์การแยกขยะของครัวเรือนกันแล้ว ยิ่งไทยเป็นเมืองท่องเที่ยวขยะมีมากกว่าประเทศอื่น ถ้าภาครัฐเอาจริง โครงการพลังงานสะอาดจากขยะและชีวมวลก็จะเกิดมากขึ้นอย่างรวดเร็วได้
4. โครงการเพิ่มพลังงานสะอาดมาทดแทนดังกล่าวข้างต้น ยังสามารถระดมทุนด้วย Green Bond ซึ่งจัดเป็นหุ้นกู้เพื่อความยั่งยืน (ESG Bond) ได้ เป็นการเพิ่มภาพลักษณ์ขององค์กร และมีโอกาสได้ดอกเบี้ยที่ดีอีกด้วย ซึ่งในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ได้มีการระดมทุนให้กลุ่ม ESG Bond โดยภาครัฐและเอกชนรวมกันแล้วถึง 998,598 ล้านบาท
5. ข้อนี้จะสามารถช่วยแก้ปัญหามหันตภัยสองเด้งได้มาก ถ้ารัฐบาลสามารถตั้งธงที่แน่วแน่เรื่องการผลักดันด้านการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานจากขยะ และพลังงานจากชีวมวลอย่างจริงจังตั้งแต่นี้ โดยไม่ต้องห่วงเรื่องการผลิตไฟฟ้าเกินใช้ สิ่งที่ต้องลงมือทำโดยทันที
คือรัฐต้องเปิดทางและผลักดันแบบเปิดมิติใหม่ให้รัฐวิสาหกิจใหญ่ๆ ที่สามารถใช้เงินออมของตนเองบางส่วน และให้เข้าไประดมเงินทุนตามแนว ESG Bond ด้วยตนเองโดยรัฐบาลไม่ต้องค้ำประกัน แล้วนำไปลงทุนเองหรือร่วมลงทุนกับเอกชนในการผลิตพลังงานทดแทนดังกล่าวได้ แต่โรงงานพลังงานจากขยะนั้นต้องทำเป็นโครงการใหญ่จึงจะคุ้ม
นอกจากจะเปิดทางและผลักดันให้รัฐวิสาหกิจแล้ว รัฐบาลยังต้องดำเนินการตามแนวนี้กับองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นด้วย เช่น กทม. เมืองพัทยา หรือเทศบาลขนาดใหญ่ที่มีความสามารถหาเงินกู้ได้เองโดยรัฐบาลไม่ต้องค้ำประกัน เพื่อมาลงทุนได้ด้วย ซึ่งมีบางองค์กรบริหารส่วนท้องถิ่นได้กู้เงินเองไปลงทุนบ้างแล้วหลายแห่งเป็นยอดเงินกู้ถึงปัจจุบัน 33,000 ล้านบาท ซึ่งเงินกู้นี้ไม่นับเป็นหนี้สาธารณะ
6. ข้อสุดท้ายที่จำเป็นต้องทำก่อนเรื่องอื่นใด คือการนำร่าง พ.ร.บ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พ.ศ. .... ที่กำลังเตรียมนำเสนอสภาไปทบทวนใหม่ให้บังเกิดผลอย่างครบถ้วน
ใครจะเป็นรัฐบาลหลังยุบสภาในวันที่ 31 มกราคม 2569 ก่อนจะลงสนามเลือกตั้งขอคิดให้ดีด้วยว่าพรรคของตนทั้งที่ได้เดินเครื่องดีแล้ว ที่เพิ่งจะตั้งพรรค และที่เพิ่งจะฟื้น จะสามารถเข้ามาแก้ มหันตภัยสองเด้งของประเทศนี้ได้ในเร็ววันหรือเปล่า
โฆษณา