วันนี้ เวลา 10:48 • หุ้น & เศรษฐกิจ

SCGP ต่อยอดธุรกิจไม่หยุด เสริมพอร์ตบรรจุภัณฑ์อาเซียน

ซื้อ MYPAK อินโดนีเซียเต็ม 100% แย้มไตรมาส 4 สดใส หนุนทั้งปีโตแกร่ง
ในยุคที่เศรษฐกิจโลกยังไม่แน่นอน การเติบโตเพียงอย่างเดียวอาจไม่พอสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ที่ต้องการความยั่งยืนระยะยาว SCGP จึงเลือกเดินบนเส้นทางของการเสริมฐานธุรกิจให้มั่นคงผ่านการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในอินโดนีเซีย เพื่อขยายโอกาสในตลาดอาเซียน และสร้างสมดุลระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจและการรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง
คุณวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP เปิดเผยว่า บริษัทฯ กำลังดำเนินการปรับพอร์ตธุรกิจเพื่อมุ่งสู่ความมั่นคง (stability) ที่มากขึ้น โดยมีเป้าหมายให้ธุรกิจปลายน้ำ (downstream packaging) หรือบรรจุภัณฑ์สำหรับผู้บริโภค (consumer packaging) มีสัดส่วนประมาณครึ่งหนึ่งของยอดขายทั้งหมด
การปรับพอร์ตนี้มีขึ้นเนื่องจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์ที่ใกล้ชิดกับผู้บริโภคมักมีความมั่นคงสูงกว่า เพราะผู้บริโภคไม่ค่อยต่อรองราคาสำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค เช่น ยาสีฟันหรือเครื่องดื่ม ปัจจุบัน (ปี 2568) บริษัททำได้แล้ว 47% และตั้งเป้าไว้ที่ 50% ภายในปี 2573 ขณะเดียวกัน ธุรกิจ Packaging Paper ที่เป็นลักษณะ Economic scale จะถูกปรับให้เล็กลง โดยกำลังพิจารณาทบทวนเป้าหมาย แต่คาดว่าจะไม่เกิน 55% สำหรับสัดส่วนบรรจุภัณฑ์ปลายน้ำ
ในเชิงกลยุทธ์การขยายธุรกิจ SCGP ยังคงเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งในตลาดอาเซียน ล่าสุด ได้ลงนามในสัญญาซื้อหุ้นแบบมีเงื่อนไข (Conditional Share Purchase Agreement) เพื่อเข้าถือหุ้นสามัญในสัดส่วนร้อยละ 100 ใน PT Prokemas Adhikari Kreasi (MYPAK) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษคุณภาพชั้นนำในอินโดนีเซีย มีฐานการผลิตตั้งอยู่ที่เมือง Bekasi ทางตะวันตกของเกาะชวา ใกล้กับฐานการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ของ PT Fajar Surya Wisesa Tbk.
MYPAK มีฐานลูกค้าเป็นบริษัทข้ามชาติและแบรนด์สินค้าชั้นนำในตลาดอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศ มูลค่ากิจการครั้งนี้ไม่เกิน 455 พันล้านรูเปียห์ (ประมาณ 956 ล้านบาท) โดยอยู่ระหว่างกระบวนการเข้าซื้อกิจการ และคาดว่าจะปิดดีลได้ภายในไตรมาส 4/68
การเข้าซื้อกิจการ MYPAK ถือเป็นหนึ่งในกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาส cross-selling จากฐานลูกค้ากลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งในและต่างประเทศ และยังเปิดโอกาสให้ SCGP สามารถนำเทคโนโลยีของ MYPAK มาปรับใช้เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการผลิตและการบริหารจัดการต้นทุน
พร้อมทั้งใช้ประโยชน์จากที่ตั้งเชิงกลยุทธ์เพื่อสร้างการประสานประโยชน์ (synergy) กับเครือข่ายธุรกิจในภูมิภาค เสริมศักยภาพการบูรณาการห่วงโซ่อุปทาน (Value Chain Integration) ของ SCGP ในธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจและความต้องการบรรจุภัณฑ์ในอินโดนีเซีย
วัตถุประสงค์ของการลงทุนในอินโดนีเซียครั้งนี้มีสามประเด็นหลัก ได้แก่
1. การเพิ่มพอร์ตลูกค้ากลุ่ม Consumer ทั้งแบรนด์ระดับชาติและนานาชาติในกลุ่มอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค
2. การเพิ่มระดับ Vertical Integration กับ Fajar ซึ่งเป็นฐานการผลิตกระดาษต้นทางของบริษัท (ไซซ์อันดับ 2 ของประเทศ) โดยจะทำให้ระดับ Integration เพิ่มขึ้นเป็น 26%
3. การยกระดับคุณภาพการผลิต เนื่องจากโรงงานที่เข้าซื้อมีเครื่องจักรใหม่และมีคุณภาพสินทรัพย์ (asset quality) ที่ดี
การลงทุนนี้คาดว่าจะช่วยเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดในธุรกิจของบริษัทจาก 7% เป็น 10% โดยบริษัทที่เข้าซื้อมีรายได้ต่อปีประมาณ 1,800 ล้านบาท และคาดว่าหลังการปิดดีล จะสามารถสร้างรายได้เพิ่มขึ้นในปีหน้าอย่างน้อย 800 ล้านบาท
ด้านผลประกอบการทางการเงิน
“สำหรับเป้าหมาย EBITDA เดิมตั้งไว้ที่ 18,000 ล้านบาท แม้ว่า volume การผลิตในปีนี้จะเติบโต 3% แต่ยอดขายรวมลดลง เนื่องจากราคาขายในภูมิภาคปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม มั่นใจว่า EBITDA ทั้งปีจะไม่น้อยหน้าปีที่แล้ว ขณะที่แนวโน้มของไตรมาส 4/68 คาดว่าจะดีกว่าไตรมาส 4/67 เนื่องจากปี 2567 มีตัวเลขติดลบเล็กน้อย” คุณวิชาญ กล่าว
ในด้านการส่งออกและกลยุทธ์ตลาดโลก SCGP ยังคงรักษาสมดุลการส่งออกไว้ที่ประมาณ 16–17% ของยอดขาย โดยการส่งออกไปยังสหรัฐอเมริกาคิดเป็นมูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาทต่อปี หรือราว 4% ของยอดขาย สินค้าส่งออกหลัก 3 กลุ่ม ได้แก่ กระดาษถ่ายเอกสาร (ที่บริษัทเป็น OEM รายใหญ่), บรรจุภัณฑ์อาหาร เช่น จานกระดาษและช้อนไม้ และบรรจุภัณฑ์เพื่อผู้บริโภค (consumer packaging) ที่มีค่าขนส่งต่ำ กลยุทธ์นี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ
1. ปรับสมดุลความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงิน โดยใช้รายได้ดอลลาร์ไปชำระค่าวัตถุดิบที่นำเข้า
2. เดินเครื่องจักรเต็มกำลังเพื่อลดต้นทุนต่อหน่วย
3. เพิ่มยอดขายโดยรวมของกลุ่ม
เศรษฐกิจโลกโดยรวมเริ่มฟื้นตัวหลังความตึงเครียดทางการค้าบรรเทาลง อาเซียนกำลังกลายเป็นศูนย์กลางการย้ายฐานการผลิต ซึ่งสอดคล้องกับแนวโน้มการย้ายฐานจากจีนมายังภูมิภาค โดยเฉพาะไทย เวียดนาม และอินโดนีเซีย แม้การส่งออกไปยังจีนในช่วง 9 เดือนแรกของปีจะลดลง 10% จากภาษีนำเข้าที่ยังคงสูง แต่ผู้บริหารมองว่าการเปลี่ยนแปลงของห่วงโซ่อุปทานนี้คือโอกาส สำหรับธุรกิจที่ปรับตัวได้ทันท่วงที ขณะเดียวกัน การเยือนอาเซียนและญี่ปุ่นของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยังสะท้อนถึงการกระชับความสัมพันธ์ทางการค้าในภูมิภาค
ในด้านความยั่งยืนและการเตรียมพร้อมต่อกฎหมายสิ่งแวดล้อม SCGP มีความพร้อมรับมือกับกฎหมาย Extended Producer Responsibility (EPR) โดยบริษัทได้ติดตามการดำเนินการในยุโรปอย่างใกล้ชิด และบริหารธุรกิจในรูปแบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) อยู่แล้ว ทั้งยังมีประสบการณ์จัดการ EPR ผ่านการทำงานร่วมกับลูกค้าในเวียดนาม ซึ่งมีสถานีรีไซเคิลกว่า 90 แห่งทั่วอาเซียน โมเดลธุรกิจของ SCGP ยังสามารถช่วยลดภาระต้นทุน EPR ให้กับเจ้าของแบรนด์ (Brand Owner) ได้อีกด้วย
สำหรับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก บริษัทมีการวัดค่า Carbon Footprint (CFP) และมุ่งเน้นการลด Carbon Footprint Reduction (CFR) โดยตั้งเป้าลดการปล่อยคาร์บอนในส่วนของ Scope 3 ซึ่งเป็นส่วนที่ SCGP มีบทบาทในห่วงโซ่ของลูกค้า ให้ใกล้เคียงกับเป้าหมายรวมของบริษัทที่ตั้งไว้ที่ ลด 25% ภายในปี 2573
ทั้งนี้ SCGP ยังมีแผนให้ความรู้กับซัพพลายเออร์เพื่อช่วยลดการปล่อยใน Scope 3 และจัดทำข้อมูลการปล่อย CO2 ของบรรจุภัณฑ์แต่ละประเภท เพื่อสนับสนุนลูกค้าในการลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของตนเอง
โฆษณา