Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
เล่าเรื่องสั้น
•
ติดตาม
29 ต.ค. เวลา 08:33 • นิยาย เรื่องสั้น
หุบเขาแห่งพันธนาการ
(The Valley of Shackles)
เสียงลมหวีดหวิวลอดผ่านช่องเขา ราวกับเสียงของบางสิ่งที่หลงเหลืออยู่ในหุบลึกนั้น—เสียงสะท้อนของอดีตที่ยังไม่ยอมจาง
“ฝนมาอีกแล้ว…”
ชาญพึมพำขณะยกจักรยานเสือภูเขาคู่ใจขึ้นจากทางลาดที่เปียกชื้น เขาชอบปั่นเล่นยามบ่ายในวันหยุดเสมอ โดยเฉพาะเส้นทางบนเนินเขาหลังหมู่บ้านบ้านสันกลาง ที่ทอดขึ้นไปสู่จุดชมวิวซึ่งแทบไม่มีใครรู้จัก
ชายวัยสามสิบต้น รูปร่างผอมสูง ผิวคล้ำแดด ใบหน้าเต็มไปด้วยร่องรอยชีวิตคนธรรมดา เขาทำงานอยู่ในร้านซ่อมจักรยานในตัวอำเภอ วันหยุดจึงเป็นเวลาที่เขาจะได้อยู่กับจักรยาน ไม่ใช่เพราะอยากออกกำลังกาย แต่เพราะเมื่อเขาอยู่กับมัน เขารู้สึก “อิสระ” จากทุกสิ่ง
วันนี้ฝนตั้งเค้ามาตั้งแต่สาย เมฆต่ำปกคลุมยอดไม้หนาทึบ แต่ชาญก็ยังดื้อปั่นขึ้นไป เขาชอบอากาศก่อนฝน—กลิ่นชื้นของดิน กลิ่นใบไม้เปียก และเสียงฟ้าร้องห่าง ๆ ที่เหมือนบทเพลงธรรมชาติ
ทางลาดเริ่มชันขึ้น เขาเปลี่ยนเกียร์ต่ำ ล้อบดไปบนดินแดงเปียกแฉะ ความเหนื่อยเริ่มแผ่ไปทั่วขา แต่หัวใจก็เต้นแรงด้วยความตื่นเต้น จนกระทั่งเสียงฟ้าผ่าดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ใกล้มาก
เปรี้ยง!
“โธ่เอ๊ย…” ชาญชะงัก หยุดปั่นทันที ลมเริ่มแรง ฝนเม็ดโตเริ่มซัดใส่หน้า เขาตัดสินใจหาที่หลบ ก่อนจะถึงจุดชมวิวซึ่งอีกไม่ถึงกิโล แต่ฝนเทลงมาอย่างไม่ปรานี
เขามองหาที่กำบัง แต่ในพุ่มไม้หนาทึบไม่มีอะไรนอกจากเงาดำสลัวๆ แล้วบางอย่างสะดุดตาเขา—โครงเหล็กเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมคล้ายหลังคารถ
“อะไรนั่น…”
เขาจูงจักรยานเข้าไปใกล้ พงหญ้าสูงท่วมหัวบดบังบางส่วน แต่เมื่อเดินเข้าไปอีกไม่กี่ก้าว เขาก็เห็นชัดเจน — มันคือ ซากรถกระบะเก่า สีเขียวเข้ม ล้มตะแคงอยู่ในร่องหุบลึกข้างทาง
สนิมเกาะทั่วคัน กระจกแตก เครื่องหมายทะเบียนแทบอ่านไม่ออก เขาไม่เคยเห็นรถคันนี้มาก่อน ทั้งที่ปั่นเส้นทางนี้บ่อย
“ตกมานานแล้วแน่ ๆ” เขาพึมพำ พลางผลักประตูฝั่งคนขับออก — เสียงเหล็กเก่าครวญดังเอี๊ยด เผยให้เห็นภายในที่เต็มไปด้วยฝุ่น กิ่งไม้ และกลิ่นอับของความตาย
เขาไม่คิดว่ามันจะมีคนอยู่ในนั้น… จนกระทั่งสายตาสะดุดกับบางอย่างที่เบาะหลัง
มันคือ โครงกระดูกมนุษย์
ชาญชะงักทันที ขาแข็งทื่อ เขามองมันอย่างไม่เชื่อสายตา กะโหลกเอียงพิงกระจกที่แตก คราบฝุ่นจับแน่นจนกลายเป็นชั้นหนา เขาถอยหลังหนึ่งก้าว หัวใจเต้นแรงจนแทบทะลุอก
“พระเจ้า…”
ทันใดนั้น ฟ้าผ่าอีกครั้ง เสียงฟ้าร้องกึกก้องจนเขาต้องยกมือปิดหู ฝนเทกระหน่ำหนักขึ้น ราวกับสวรรค์ต้องการกลืนทุกอย่างในหุบเขานี้
ชาญลังเลว่าจะหนีดีไหม แต่ฝนแรงจนแทบมองไม่เห็นทางข้างหน้า เขาจำใจกลับเข้าไปในซากรถ—ที่เดียวที่พอจะกันฝนได้
เขานั่งบนเบาะหน้าที่เปียกชื้น สายฝนซัดกระจกจนเกิดละอองขาวพร่า เสียงฟ้าร้องยังคงดังระงม แต่สิ่งที่ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงไม่ใช่เสียงฟ้า หากเป็น กระดูก ที่นั่งอยู่ข้างหลัง…
เขาพยายามมองผ่านเงามืด สายตาจับไปที่พื้นใต้เบาะ — มีกระเป๋าหนังเก่าใบหนึ่งวางอยู่ ข้างในปิดด้วยซิปสนิมเขรอะ
ชาญนิ่งไปชั่วครู่
ความอยากรู้อยากเห็นเริ่มเอาชนะความกลัว
เขาค่อย ๆ เอื้อมมือไปดึงมันออกมา วางบนตัก เสียงโลหะฝืดดังเบา ๆ เมื่อเขาค่อย ๆ รูดซิปออก…
ภายในคือ ธนบัตรพันบาทจำนวนมาก กองอยู่แน่น
เขาตกใจแทบพูดไม่ออก
“นี่มัน… เงินของใคร?”
หัวใจเขาเต้นรัวจนได้ยินชัดในความเงียบ เขานับคร่าว ๆ แล้วคำนวณในหัว—น่าจะเกือบห้าแสนบาท หรือมากกว่านั้น
สมองของเขาสั่นไหวระหว่างสองเสียงในใจ
เสียงหนึ่งกระซิบว่า “อย่าหยิบ มันอาจมีคนมาตาม”
แต่อีกเสียงกลับดังชัดเจนกว่า “มันอยู่ตรงหน้า ไม่มีใครเห็น ไม่มีใครรู้…”
เขานั่งนิ่งนาน จนฝนเริ่มเบาบางลง ความมืดเริ่มคลืบเข้ามาในหุบเขา
ชาญตัดสินใจ — เขาจะ เอาเงินไปด้วย
เขาเอาเสื้อกันฝนห่อกระเป๋าไว้ แล้วเตรียมจะออกจากรถ แต่ทันใดนั้น เสียงบางอย่างดังขึ้นจากเบาะหลัง…
กรอบแกรบ…
เขาชะงัก หันกลับไป — ไม่มีอะไร เคลื่อนไหว
เพียงแต่ลมอาจพัดกิ่งไม้ข้างนอก
แต่ขณะกำลังจะก้าวออกไป เสียงหนึ่งกลับดังขึ้นในหัว ราวกับมาจากที่ใดสักแห่งในรถ
“อย่าเอาไป…”
ชาญหันขวับ หัวใจเต้นแรง เขาจ้องไปที่โครงกระดูก — ไม่มีอะไรเคลื่อนไหว แต่แปลก… เขารู้สึกเหมือนมัน “มองกลับมา”
เขาหายใจแรง กลืนน้ำลาย แล้วพูดออกมาเบา ๆ
“ขอโทษนะ… ฉันแค่ต้องการช่วยตัวเอง”
เขารีบปีนออกจากรถ เอาจักรยานขึ้นพาดบ่า พยายามไต่ขึ้นจากหุบ แต่ดินลื่น ฝนยังตกพรำ ๆ เสียงจักรยานลื่นตกลงไปข้างล่างดัง โครม!
“ไม่!” เขาอุทาน รีบมองลงไป แต่เห็นเพียงเงาเลือนของมันหายไปในพงหญ้า
ชาญถอนหายใจหนัก มองรอบตัว — ฟ้าค่ำแล้ว เหมือนโลกทั้งใบถูกปิดตาไว้ด้วยม่านหมอก
เขาตัดสินใจพักค้างในหุบ เพราะขึ้นไปตอนนี้อันตรายเกินไป เขาจึงกลับเข้าไปในซากรถอีกครั้ง
เขาจุดไฟจากไฟแช็กที่พกติดตัว จุดเทียนก้านเล็กที่ติดอยู่ในกระเป๋าเป้ ไฟส่องสว่างน้อยนิดสะท้อนบนกะโหลกขาวขุ่นตรงเบาะหลัง เขาพยายามไม่มอง แต่สายตาก็อดไม่ได้จะเหลือบไปเรื่อย ๆ
เงินอยู่ข้างตัว กลิ่นกระดาษเปียกชื้นปนกลิ่นฝน
เขาเริ่มคิด — ถ้าเอาเงินนี้ออกไปได้ เขาจะทำอะไร?
เขานึกถึงหนี้สินที่ค้างอยู่ รถจักรยานเก่าที่อยากเปลี่ยนใหม่ บ้านไม้เก่าที่หลังคารั่ว เขาสามารถแก้ปัญหาชีวิตทั้งหมดได้ด้วยเงินนี้
แต่ในขณะเดียวกัน เขากลับนึกถึงใบหน้าของโครงกระดูกนั้น… ใบหน้าที่ไม่มีเนื้อหนัง แต่กลับมีบางอย่างที่สื่อถึง “ความเสียใจ”
หรือเจ้าของเงินคนนั้นกำลังมองอยู่?
ลมพัดผ่านหน้าต่างแตก เสียงหวีดหวิวคล้ายเสียงคนร้องเบา ๆ
“อย่าเอาไป…”
ชาญสะดุ้ง เผลอกระชับกระเป๋าไว้แน่น เขาไม่แน่ใจว่าเป็นเสียงลม หรือเสียงจากหัวใจของตนเอง
เขานั่งนิ่งจนหลับไปโดยไม่รู้ตัว
———
รุ่งเช้า แสงอ่อนลอดผ่านช่องกระจกแตก เสียงนกก้องกังวานในหุบเขา
ชาญสะดุ้งตื่น รู้สึกหนาวเฉียบทั่วร่าง เขามองรอบตัว — กระดูกยังอยู่ที่เดิม แต่สิ่งที่หายไปคือ กระเป๋าเงิน
“ไม่จริง!” เขาตะโกนพลางค้นไปรอบรถ แต่ไม่มีวี่แวว มันหายไปจริง ๆ
เขารีบออกไปนอกซากรถ เห็นรอยเท้าขนาดใหญ่ลากผ่านพื้นโคลนไปทางป่าอีกฝั่ง รอยนั้นคล้ายของคน… หรืออาจไม่ใช่คนก็ได้ เพราะมันใหญ่และลึกผิดปกติ
หัวใจเขาเต้นแรงอีกครั้ง เขารู้ว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียวในหุบเขาแห่งนี้
ชาญตัดสินใจวิ่งตามรอยเท้าไป เสียงฝนพรำเริ่มตกอีกครั้ง เขาฝ่าป่าทึบ ลื่นล้มหลายครั้ง จนในที่สุดเขาก็เห็นบางสิ่งอยู่ข้างหน้าผ่านม่านฝน — เงาของชายคนหนึ่งยืนอยู่ ถือกระเป๋าเงินใบนั้นไว้
“เฮ้! นั่นของฉัน!” เขาตะโกนออกไป
ชายคนนั้นไม่ขยับ ชาญวิ่งเข้าไปใกล้ขึ้นเรื่อย ๆ แต่เมื่อถึงระยะไม่ถึงสิบเมตร เขาก็ต้องหยุดชะงัก — เพราะ “ชายคนนั้น” ไม่มีหน้า มีเพียงกะโหลกขาวโพลนภายใต้หมวกที่ผุพัง
เขาเบิกตากว้าง เสียงลมหายใจขาดห้วง เงานั้นค่อย ๆ หันมาช้า ๆ
“เงินนี้… ไม่ใช่ของเจ้า”
แล้วทุกอย่างดับวูบ —
———
เสียงฟ้าร้องปลุกเขาตื่นอีกครั้ง
ชาญพบว่าตัวเองนอนอยู่ในซากรถเหมือนเดิม เงินอยู่ข้างตัว ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“ฝันเหรอ…” เขาพึมพำ มือสั่นเทาไปหมด
แต่เมื่อเขาหันไปมองเบาะหลังอีกครั้ง โครงกระดูกนั้น… หันหน้า “มาทางเขา” แล้ว
เสียงฝนซัดกระจกแตกเบา ๆ ขณะที่ชาญยังคงจ้องไปที่กะโหลกที่หันมาทางเขา เขาพยายามบอกตัวเองว่า “มันคงแค่ล้มมาทางนี้เอง… คงไม่มีอะไร” แต่หัวใจเขากลับไม่ยอมเชื่อคำพูดนั้นเลยแม้แต่น้อย
มือสั่นเทา เขายกไฟแช็กขึ้นจุดอีกครั้ง เปลวไฟเล็ก ๆ ส่องผ่านความมืดในรถซากเก่า มันกระทบเบ้าโหลกว่างเปล่า จนเกิดเงาที่ดูเหมือนแววตาคู่หนึ่งจ้องเขาอยู่
“ไม่… ไม่มีอะไรทั้งนั้น” เขาบอกตัวเองอีกครั้ง แล้วคว้ากระเป๋าเงินแน่น เหมือนกลัวใครจะมาแย่งไป
ข้างนอกฝนเริ่มหยุด แต่หมอกกลับหนาแน่นขึ้นจนแทบมองไม่เห็นทาง เขาออกจากรถ เดินไปยังเนินสูงที่เขาคิดว่าอาจมองเห็นเส้นทางกลับได้
แต่หุบเขานี้ช่างซับซ้อน ราวกับเขาอยู่ในวงกต เขาเดินวนไปมา เสียงฝีเท้าตัวเองสะท้อนในความเงียบ บางครั้งเขาเหมือนได้ยินเสียงอีกเสียงหนึ่งเดินตามหลังอยู่ไม่ห่าง
แกรบ... แกรบ...
เขาหันกลับ — ไม่มีอะไรนอกจากพงหญ้าโยกไหวตามแรงลม
หลังจากเดินอยู่เกือบชั่วโมง เขาก็มาถึงลำธารสายหนึ่ง น้ำไหลใสแต่เย็นเฉียบ เขารีบตักดื่มและล้างหน้าให้หายเหนื่อย ก่อนจะหยิบกระเป๋าออกมาดูอีกครั้ง เพื่อแน่ใจว่าเงินยังอยู่ครบ
แต่ทันใดนั้นเอง เขากลับเห็นรอยเลือดจาง ๆ ติดอยู่ที่ขอบกระเป๋า
“นี่มันอะไรกัน…” เขาพึมพำ มือเย็นเฉียบ เขาพยายามเช็ดออกแต่เช็ดไม่ออก มันเหมือนซึมเข้าหนังไปแล้ว
เขาเริ่มรู้สึกหนาว ทั้งที่อากาศในหุบเขาไม่ได้เย็นขนาดนั้น เสียงน้ำในลำธารกลายเป็นเสียงกระซิบเบา ๆ ในหู
“อย่าเอาไป...”
เขาสะบัดหัว พยายามไม่ฟัง เสียงนั้นหายไป แต่ความรู้สึกว่ามีใครบางคน “อยู่ด้วย” ยังไม่หายไปเลย
เขาเดินต่อไปตามแนวลำธาร หวังว่าจะเจอทางออก แต่ยิ่งเดิน เส้นทางกลับยิ่งคดเคี้ยว ลึกเข้าไปในป่ามากกว่าเดิม
ระหว่างทางเขาพบซากเต็นท์เก่า ๆ ที่ถูกฉีกขาด เศษผ้าใบสีเทาปลิวไปตามลม เขาเดินเข้าไปดู พบไฟฉายเก่าที่แบตหมด กับรองเท้าข้างหนึ่งที่จมอยู่ในโคลน
เขารู้สึกขนลุก
“มีคนเคยอยู่ที่นี่… หรือบางทีอาจยังอยู่”
เสียงฟ้าร้องดังลั่นอีกครั้ง ฝนเริ่มตกใหม่จนเขาต้องวิ่งหาที่หลบ และโชคดี—or อาจไม่โชคดีนัก—ที่เขาพบเพิงไม้เก่าข้างผา
เพิงนั้นดูเหมือนสร้างมานานแล้ว มุงด้วยสังกะสีเป็นสนิม ผนังไม้ผุพัง แต่พอหลบฝนได้ เขาเข้าไปข้างใน กลิ่นอับของไม้เปียกตลบอบอวล
เขาวางกระเป๋าไว้บนโต๊ะไม้เก่า นั่งลง ถอนหายใจยาว
“พรุ่งนี้เช้า ฉันต้องหาทางออกให้ได้” เขาบอกตัวเอง
แต่พอเงยหน้าขึ้น เขาก็เห็นภาพหนึ่งบนผนัง — เป็นรูปถ่ายขาวดำของชายหนุ่มสองคนยืนข้างรถกระบะสีเขียวเข้ม คันเดียวกับที่เขาเจอในหุบเขา
ชายในรูปคนหนึ่งดูคุ้นตา — เขาใส่เสื้อยีนส์ซีด ๆ ใบหน้ามีรอยยิ้มบาง ๆ คล้ายคนที่ยังมีความหวังในชีวิต
ใต้รูปเขียนด้วยลายมือว่า
“สัญญาไว้แล้ว... ว่าจะกลับมาพร้อมเงิน”
หัวใจชาญเต้นแรง เขาหันไปมองกระเป๋าอีกครั้ง ภาพในหัวแล่นกลับไปยังโครงกระดูกในรถ
หรือว่านั่นคือชายในรูปนี้?
เขาค่อย ๆ เปิดกระเป๋าออกอีกครั้ง ตรวจดูธนบัตรอย่างละเอียด — และนั่นเองที่ทำให้เขาเห็น “บางสิ่ง” ที่ต่างไป
ธนบัตรทุกใบ มีรอยขาดตรงมุมซ้ายบนเหมือนกันทั้งหมด เหมือนถูกใครบางคน “ตัดไว้เป็นสัญลักษณ์”
“ทำไมถึงเหมือนกันหมด…” เขาพึมพำ พลางคิดถึงความเป็นไปได้ — มันอาจเป็นเงินผิดกฎหมาย หรือของที่ได้มาไม่บริสุทธิ์
ความกลัวเริ่มเข้ามาแทนที่ความโลภ เขาอยากโยนมันทิ้ง แต่ในขณะเดียวกัน เสียงในหัวกลับดังขึ้นอีก
“อย่าทิ้ง มันคือทางรอดของเจ้า…”
เสียงนั้นไม่ใช่ของผี หากแต่เป็นเสียงของ “เขาเอง” — ความโลภในใจที่เริ่มกรีดร้อง
เขานั่งกอดกระเป๋าแน่นจนหลับไปในที่สุด
———
รุ่งเช้า แสงอาทิตย์อ่อน ๆ ลอดผ่านช่องไม้ เขาตื่นขึ้นด้วยอาการปวดหัว เขารู้สึกเหมือนมีคนยืนมองอยู่ที่ปลายเท้า พอหันไปก็ไม่เห็นใคร
เขาเก็บของ เตรียมจะเดินต่อ แต่เมื่อมองไปที่โต๊ะไม้ เขากลับเห็นกระดาษแผ่นหนึ่งวางอยู่
เขาจำได้ว่าเมื่อคืนไม่มี
บนกระดาษเขียนว่า
“ออกจากหุบเขานี้ได้ด้วยการคืนของที่ขโมยไป”
เขาหน้าซีด มองรอบ ๆ แต่ไม่มีใครอยู่เลย เสียงนก เสียงลม ทุกอย่างเงียบผิดปกติ
เขารีบเก็บของ แล้ววิ่งออกจากเพิงไป แต่ไม่ทันถึงทางลำธาร เสียงฝีเท้าดังไล่หลังมา ตึก ตึก ตึก...
เขาเร่งฝีเท้า หายใจหอบ เสียงนั้นยิ่งใกล้ขึ้น
“ใคร!” เขาตะโกน แต่ไม่มีเสียงตอบ
เขาหันกลับ — เห็นเพียงหมอกขาวลอยตามมาเหมือนผืนผ้าโปร่งที่มีชีวิต
เขาวิ่งไม่คิดชีวิต จนสะดุดล้มลงตรงเชิงผา เขามองลงไป เห็นหุบลึกเดิมที่เขาตกลงมาเมื่อวาน
“นี่มัน… วนกลับมาได้ยังไง…” เขาพึมพำ
ข้างล่างคือซากรถเก่าคันเดิม ตั้งอยู่ในตำแหน่งเดิมทุกอย่าง ราวกับเวลาไม่เคยผ่านไป
เขามองกระเป๋าในมือ แล้วได้ยินเสียงในหัวชัดขึ้นอีกครั้ง
“คืนมันซะ...”
แต่เสียงอีกเสียงหนึ่งกลับดังแข่ง
“อย่าทำ! มันของเจ้าแล้ว!”
เขากำมือแน่นจนเส้นเลือดปูด เขาไม่รู้ว่าเสียงไหนเป็นจริง เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่า “เขา” ในตอนนี้คือใคร
ความกลัวกับความโลภต่อสู้กันอยู่ในหัว เสียงฟ้าร้องดังเหมือนจะฉีกหัวใจเขาออกเป็นสองส่วน
สุดท้าย เขาตัดสินใจ — เขาจะโยนเงินทิ้ง!
เขาอ้ากระเป๋าแล้วเหวี่ยงออกไป แต่กระเป๋าไม่ตกลงตามแรงโยน หากกลับลอยค้างอยู่กลางอากาศ แล้วเปิดออกเอง ธนบัตรทั้งหมดกระจายลอยวนในอากาศเหมือนฝูงนกกระพือปีก
ชาญยืนอ้าปากค้าง ธนบัตรหมุนวนรอบตัวเขา ก่อนจะตกลงบนพื้นทีละใบ ทีละใบ — กลายเป็นใบไม้เปียกน้ำที่ไม่มีค่าอะไรเลย
เขาทรุดตัวลงกับพื้น หัวเราะออกมาอย่างเสียสติ
“ทั้งหมดนี่… แค่ใบไม้?”
น้ำตาเริ่มไหล เขารู้สึกเหมือนถูกผูกไว้กับคำสาปของหุบเขา
ในขณะนั้นเอง เขาเห็นบางอย่างเคลื่อนไหวในซากรถข้างล่าง — เงาของคนกำลังเปิดประตูออกมาอย่างช้า ๆ
เป็นร่างของชายในรูปถ่ายนั้นนั่นเอง ใบหน้าเต็มไปด้วยโคลนแต่ยังคงยิ้มอ่อน เขาเงยหน้ามองชาญ แล้วพูดด้วยเสียงแผ่วเบา แต่ชัดเจน
“ขอบใจ… ที่คืนให้”
ร่างนั้นค่อย ๆ เดินหายไปกับหมอก เหลือเพียงเสียงสะท้อนแผ่วเบาในลมหุบเขา
ชาญยืนนิ่ง รู้สึกเหมือนแบกบางสิ่งหลุดออกจากบ่า เขามองใบไม้บนพื้นที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเงิน แล้วหัวเราะทั้งน้ำตา
เขาไม่รู้ว่านี่คือฝันหรือจริง แต่รู้แน่เพียงอย่างเดียว — เขาไม่อยากอยู่ที่นี่อีกแล้ว
เขาเริ่มเดินตามสันเขา หวังว่าจะเจอเส้นทางกลับ แต่ทุกก้าวที่เดิน เหมือนแรงในตัวค่อย ๆ หมดลง
เสียงลมหวีดหวิวอีกครั้ง เหมือนเสียงของชายคนนั้นที่ยังคงก้องอยู่ในความทรงจำ
“ชีวิตมีค่ากว่าเงิน...”
เขากระซิบตอบ
“ฉันเข้าใจแล้ว…”
———
เมื่อเขาเดินผ่านโขดหินใหญ่ไปอีกด้าน เขาก็เห็นบางสิ่ง — เสาไม้กับป้ายเก่าที่เขียนว่า
“เขตอันตราย ห้ามเข้า – เหวลึก”
หัวใจเขาเต้นแรงด้วยความดีใจ เขารู้แล้วว่าตัวเองกลับมาถึงทางที่มีคนอยู่ใกล้หมู่บ้าน
เขาทรุดตัวลง หัวเราะเบา ๆ ทั้งเหนื่อย ทั้งโล่ง
“รอดแล้ว… ฉันรอดแล้วจริง ๆ”
แต่เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า เขาก็เห็นบางอย่างลอยอยู่สูงเหนือหุบเขา — เงาของรถกระบะคันเดิม ลอยอยู่กลางหมอก แล้วค่อย ๆ จางหายไปกับลม
เสียงฝนค่อย ๆ ซาลงในยามบ่าย ป่ารอบตัวชาญนิ่งสนิทเหมือนโลกทั้งใบหยุดหายใจ
น้ำที่ไหลจากโขดหินลดระดับลงจนกลายเป็นลำธารสายบาง เขารู้สึกเหนื่อยแทบขาดใจ
แต่ในความอ่อนล้า มีความโลภบางอย่างที่ยังคงเต้นอยู่ในอกอย่างรุนแรง
เขามองกระเป๋าผ้าที่เต็มไปด้วยธนบัตรพันใบเก่า ๆ พวกมันเปียกจนบางส่วนติดกันเป็นก้อน
แต่มันยังคือ “เงิน” — สัญลักษณ์ของชีวิตที่ดีกว่าที่เขาเคยมี
เสียงในหัวของเขากระซิบซ้ำ ๆ
“ถ้าเอาออกไปได้…ชีวิตจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป”
ชาญเริ่มเดินลงไปตามทางน้ำที่เขาจำได้ว่าไหลไปยังถนนใหญ่
เขาพยายามฝืนร่างกายที่เจ็บจากแผลล้ม สายฝนซัดหน้าเขาเป็นระยะ
เขาไม่กล้าโยนกระเป๋าทิ้ง แม้มันจะทำให้เดินช้าลง
เหมือนแรงบางอย่างในใจสั่งว่า “อย่าปล่อยเด็ดขาด”
ทางรอดในหมอก
เย็นวันนั้น หมอกหนาทึบปกคลุมหุบเขาอีกครั้ง
ชาญเดินไปเจอสิ่งที่เหมือน “ทางรถเก่า” ที่ถูกกลืนด้วยหญ้าสูง
เขามั่นใจว่านี่คือทางที่คนเคยใช้ขึ้นภูเขาเมื่อนานมาแล้ว
เขาจึงเดินตามมันไปเรื่อย ๆ ด้วยหัวใจเต็มไปด้วยความหวัง
ระหว่างทาง เขาได้ยินเสียงอะไรบางอย่างคล้าย “เสียงหวีด”
เหมือนเสียงลมผ่านช่องเหล็ก เขาหยุดทันที หันซ้ายหันขวาแต่ไม่พบอะไร
เสียงนั้นดังขึ้นอีก…ยาวขึ้น
“ฟืดดดดดดดดดดดดดดดด”
ชาญเริ่มรู้สึกขนลุกซู่ เขามองไปข้างหน้า
ท่ามกลางหมอกขาว เขาเห็น เงาใครบางคนยืนอยู่ข้างทาง
คนผู้นั้นสวมเสื้อกันฝนเก่า ๆ สีเทา ขาเปลือยเปียกน้ำ
เขาพยายามร้องถาม “เฮ้! พี่! ทางนี้ไปถนนใหญ่ใช่ไหม?”
ไม่มีเสียงตอบ เงานั้นนิ่งอยู่สักพัก ก่อนจะค่อย ๆ หมุนตัวกลับช้า ๆ
แล้วเดินเข้าไปในหมอก...หายไปอย่างไร้ร่องรอย
หัวใจของชาญเต้นรัว เขาตัดสินใจไม่เดินตาม
แต่ไม่นานต่อมา เสียงลมหวีดนั้นกลับดังขึ้นอีก
คราวนี้ดังมาจาก “ด้านหลัง”
เขารีบหันกลับ — ไม่มีอะไรเลย
นอกจากลำธารสายเล็ก ๆ ที่เขาเพิ่งเดินผ่าน
คืนสุดท้ายในหุบเขา
คืนนั้นเขาก่อไฟเล็ก ๆ ใต้ผาหิน ใช้ใบไม้แห้งและเศษไม้ที่เก็บได้
เปลวไฟสีส้มกระพริบไหวสะท้อนเงาของเขาบนหิน
เสียงแมลงกลางคืนแว่วเบา ๆ ผสมกับเสียงฝนตกห่างออกไป
เขานั่งกอดกระเป๋าเงินไว้แน่น เหมือนเด็กที่กอดของเล่น
ในหัวเขามีภาพบ้านเช่าเก่า ๆ ภรรยาที่คอยเขาอยู่ ลูกที่ต้องไปโรงเรียน
และหนี้สินที่ตามหลอกหลอนอยู่ทุกวัน
“เงินพวกนี้จะช่วยพวกเขาได้...ถึงใครจะตายไปแล้ว มันก็ไม่มีเจ้าของแล้ว”
เขาพูดกับตัวเองเสียงแผ่ว
ก่อนจะหลับไปพร้อมกระเป๋าในอ้อมแขน
เช้าแห่งการรอด
แสงอาทิตย์ลอดผ่านยอดไม้สีเขียวอ่อน
เสียงนกเรียกกันอย่างรื่นเริง — หลังจากหลายวันของฝนตก
ชาญรู้สึกถึงความอบอุ่นอีกครั้งในร่างกาย
เขารีบลุกขึ้น เก็บของและเริ่มเดินต่อ
เพียงไม่กี่ชั่วโมงต่อมา เขาเห็น “เสาไฟ” อยู่ไกล ๆ
หัวใจเขาแทบจะหลุดออกมาจากอก เขารีบวิ่งจนสุดแรง
และในที่สุด เขาก็ออกจากป่า...ไปยืนอยู่ริมถนนลาดยาง
รถกระบะของชาวบ้านแล่นผ่านมาเห็นเขาในสภาพเปียกมอมแมม
จึงจอดรับขึ้นรถ
ชาญหัวเราะทั้งน้ำตา — เขารอดแล้ว
การกลับบ้าน
เมื่อกลับถึงบ้าน ภรรยาเขาร้องไห้โผเข้ากอด
เขาเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟัง แต่ปิดไว้บางส่วน
ไม่ได้พูดถึง “เงิน” หรือ “โครงกระดูก”
เพียงบอกว่า “มีคนตายอยู่ในรถเก่า แล้วเขาหนีออกมาได้”
คืนนั้นเขาเปิดกระเป๋าอีกครั้ง ธนบัตรหลายปึกยังเปียก
เขาตากมันไว้ใต้พัดลม ค่อย ๆ ปรับให้มันแห้ง
กลิ่นธนบัตรเก่าเหม็นชื้น แต่ชาญกลับรู้สึกเหมือนกลิ่นความหวัง
เขาเริ่มนับเงินทีละใบด้วยมือสั่น ๆ
มากกว่าหนึ่งล้านบาท
พอจะปลดหนี้ได้หมด...
พอจะเริ่มชีวิตใหม่...
เงาในห้อง
ขณะนั่งนับเงินนั้น เขาได้ยินเสียงเบา ๆ จากด้านหลัง
เหมือนเสียงฝีเท้าเปียกน้ำเดินบนพื้นไม้
เขาหันกลับทันที — ไม่มีใคร
ประตูหน้าต่างล็อกแน่น
เขาเริ่มหายใจแรง ความเย็นจากหลังต้นคอแล่นขึ้นมา
เสียงนั้นดังอีก...ใกล้ขึ้น
“ฉัน...มันของฉัน...”
เสียงแหบพร่าดังขึ้นข้างหู
ชาญสะดุ้งลุกพรวด กระเป๋าเงินตกลงพื้น
ธนบัตรหลายใบกระจายไปทั่วห้อง
เขามองไปรอบ ๆ — ไม่มีใครอยู่เลย
แต่เสียงนั้นยังคงก้องอยู่ในหัว
คืนนั้นเขาแทบไม่ได้นอน
ในฝัน เขาเห็นชายคนหนึ่งนั่งอยู่ในซากรถ
ในมือกอดกระเป๋าเงินไว้แน่น
สายฝนตกกระหน่ำ...และเสียงนั้นพูดซ้ำ ๆ
“มัน...ไม่ใช่ของแก...”
ความจริงที่เปิดเผย
สองวันต่อมา ข่าวโทรทัศน์รายงาน
ว่ามีคนไปพบ “ซากรถเก่า” ในหุบเขาทางเหนือของจังหวัด
ภายในมี “โครงกระดูกมนุษย์” และซาก “กระเป๋าเงินเปล่า”
ตำรวจคาดว่าเป็น พนักงานธนาคารที่หายไปเมื่อสิบปีก่อน
พร้อมเงินสดที่ถูกปล้นออกมา — ซึ่งไม่เคยพบอีกเลย
ชาญดูข่าวนั้นโดยมือสั่น เขารู้ทันทีว่า...คือที่เดียวกับที่เขาเจอ
เขาหันไปมองกระเป๋าที่พับเก็บไว้ใต้เตียง
และธนบัตรที่เรียงซ้อนอยู่ในกล่อง
เหงื่อเย็น ๆ ไหลออกมาจากหลังคอ
คืนนั้น เขาตัดสินใจ “เผาเงินทั้งหมด”
กองไฟกลางลานบ้านลุกโชนขึ้น
ธนบัตรหลายปึกมอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน
แต่กลิ่นไหม้นั้นกลับมี “กลิ่นเหม็นสาบเลือด” ปะปน
ตอนจบ – พันธนาการที่มองไม่เห็น
หลังเหตุการณ์นั้น ชาญดูเหมือนกลับมาใช้ชีวิตปกติ
แต่ภรรยาเริ่มสังเกตเห็นว่าเขามัก “ละเมอ” ทุกคืน
เขาจะพูดชื่อใครบางคนที่ไม่มีอยู่จริง
บางครั้งก็ลุกขึ้นกลางดึก เดินออกไปนอกบ้าน
เหมือนมีใครเรียก
วันหนึ่ง ภรรยาเขาตื่นขึ้นมากลางดึก ไม่เห็นชาญอยู่บนเตียง
จึงออกไปตาม พบเขายืนอยู่กลางฝนที่ตกพรำ ๆ
ในมือเขากำ “เถ้าถ่าน” ที่เหลือจากการเผาเงิน
เขาพึมพำเสียงเบา
“ผมเอามาคืนแล้ว...อย่าตามผมเลย...”
เช้าวันรุ่งขึ้น เขาเสียชีวิตในหลับ
ไม่มีร่องรอยการทำร้ายตัวเอง
หมอบอกว่า “หัวใจวายเฉียบพลัน”
ในวันเผาศพ มีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น
ไฟในเมรุดับลงกะทันหันขณะเริ่มพิธี
และมี “ธนบัตรใบพันไหม้ครึ่งใบ” ปลิวออกมาจากกองไฟ
ตกลงตรงหน้าภรรยาเขา...
บนธนบัตรนั้น มีรอยเขียนด้วยปากกาจาง ๆ ว่า
“ชีวิตมีค่ามากกว่าเงิน”
บทส่งท้าย
หลายปีผ่านไป หุบเขาแห่งนั้นถูกปิดเป็นเขตอันตราย
ผู้คนในละแวกเล่าขานว่า หากมีใครเดินผ่านในคืนฝนตก
จะได้ยินเสียงชายคนหนึ่งร้องเรียกเบา ๆ ว่า
“ช่วยฉันด้วย...อย่าแตะของของฉัน...”
ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าเสียงนั้นมาจากใคร
แต่ทุกคนที่เคยเข้าไปในหุบเขา ต่างบอกตรงกันว่า
ในบางค่ำคืน — เมื่อหมอกปกคลุมทั้งหุบ
จะเห็น แสงไฟจากรถเก่าคันหนึ่ง
ส่องวาบขึ้นกลางป่า ก่อนดับไปในพริบตา
และตรงจุดนั้นเอง...คือที่ที่ชาญเคยนั่งหลบฝน
พร้อมกับกระเป๋าเงินในอ้อมแขน —
พันธนาการที่ผูกเขาไว้ตลอดกาล
เรื่องเล่า
นิยายตื่นเต้นระทึกขวัญ
นิยาย
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย