เมื่อวาน เวลา 08:43 • ความคิดเห็น
ไม่ใช่อักษรอังกฤษครองโลก แต่เป็นตัวอักษรที่มาจากรากฐานเดียวกันคือ ภาษาลาติน
ต้องย้อนอดีตไปสมัยที่จักรวรรดิ์โรมันครองยุโรป รากฐานของตัวอักษรลาตินมาจากกลุ่มโรแมนซ์ ซึ่งเป็นชาวอิตาลี ฝรั่งเศส สเปน โปตุเกส ใช้กัน และคนกลุ่มนี้ ก็คือ กลุ่มเดียวกับที่ออกล่าอาณานิคมไปทั่วโลก
ในอดีตคนยุโรปจะมีภาษาถิ่นและภาษาราชการ ก็คือภาษาลาติน ในยุคกลางคนที่จะเรียนมหาวิทยาลัยได้ ต้องเรียนภาษาลาติน ที่เป็นภาษากลางและสอบให้ได้ก่อนไม่งั้นเข้ามหาลัยไม่ได้ แต่ปัจจุบันภาษาลาตินเหลือแค่ในรัฐวาติกัน นอกนั้นใช้ภาษาถิ่นของตนเองหมดแล้ว เลิกใช้ภาษาลาติน เหลือแค่ตัวอักษรที่เป็นฐานออกเสียงเปลี่ยนไปตามภาษาถิ่น จึงเห็นคนยุโรปใช้ตัวอักษรลาตินเหมือนกัน แต่ออกเสียงไม่เหมือนกัน เพี้ยนไปตามภาษาถิ่นของตนเอง
สาเหตุที่ภาษาลาตินหรือตัวอักษรที่เราเรียกว่าตัวอักษรอังกฤษ แพร่หลายไปทั่วโลก ก็มาจากมิชชั่นนารี และชาวล่าอาณานิคม เพราะเขาไม่เข้าใจภาษาประเทศเมืองขึ้น เขาจึงบังคับให้เมืองขึ้นต่างๆ เรียนภาษาของเขา ไม่ว่าฝรั่งเศส อิตาลี หรืออังกฤษ และ บรรดาเมืองขึ้นที่ไม่มีตัวอักษรของตนเอง เมื่อเรียนหนังสือ ก็อยากจะมีตัวอักษรของตนเอง จึงเอาตัวอักษรลาตินมาใช้ แต่เปลี่ยนเสียงไปตามภาษาถิ่นเช่นกัน
เนื่องจากตัวอักษรลาตินมีแค่ 26 ตัว ออกเสียงบางคำไม่ได้ จึงได้มีการเติมจุด เติมขีด เพื่อให้ออกเสียงได้ตามภาษาถิ่นที่ต้องการ
แต่จะเห็นว่ามีแค่ประเทศยุโรปตะวันตก และประเทศที่นับถือ ศาสนาคริสต์โรมันคาทอลิกเท่านั้น ที่ใช้ตัวอักษาลาติน แต่ยุโรปตะวันออก และรัสเซีย ที่นับถือสาย ออร์ทอดอกซ์ จะใช้ตัวอักษรซีริลลิก ที่ไม่เหมือนลาติน
ประเทศอังกฤษก็ใช้ภาษาถิ่นตนเองภาษาอังกฤษและตัวอักษรลาติน รวมถึงนับถือศาสนาคริสต์ และเมื่ออังกฤษล่าอาณานิคมได้มาก ส่งมิชชั่นนารีไปเผยแพร่ศาสนาคริสต์ทั่วโลก ทั้งภาษาและตัวอักษร ก็ตามผู้ล่าและศาสนาไปทั่วโลก ส่งผลให้ทั้งภาษา ตัวอักษร และศาสนาเผยแพร่และทรงอิทธิพลไปทั่วโลกมาจนถึงปัจจุบัน
ทั่วโลกมีผู้นับถือศาสนาคริสต์ มากที่สุด 31% ของประชากรโลกและใช้ตัวอักษรลาติน 36% ของโลก นี่คือผลพวงของการล่าอาณานิคม
โฆษณา