Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
มินิซีรี่ย์
•
ติดตาม
29 ต.ค. เวลา 21:41 • หนังสือ
นิราสตังเกี๋ย
หลวงนรเนติบัญชากิจ (แวว) แต่ง
นางสาวสำนักนิ์ พุกกณานนท์
พิมพ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ
มหาอำมาตย์ตรี พระยาสุรินทรภักดี ศรีไผทสมันต์
เมื่อปีกุญ พ.ศ. ๒๔๖๖
พิมพ์ที่โรงพิมพ์โสภณพิพรรฒธนากร
คำนำ
ในงานพระราชทานเพลิงศพ มหาอำมาตย์ตรี พระยาสุรินทรภักดี ศรีไผทสมันต์ (สว่าง พุกกณานนท์) นางสาวสำนักนิ์ พุกกณานนท์ ผู้บุตรี มีประสงค์จะพิมพ์หนังสือเปนของถวายแลจ่ายแจกสนองคุณบิดาสักเรื่อง ๑ ได้ให้มาแจ้งความยังหอพระสมุดวชิรญาณสำหรับพระนคร ขอให้กรรมการช่วยเลือกหนังสือให้ และแสดงความประสงค์จะใคร่ได้เรื่องหนังสือเกี่ยวด้วยเรื่องญวน ด้วยพระยาสุรินทรภักดีเปนเชื้อญวน ข้าพเจ้าจึ่งเลือกเรื่องนิราสตังเกี๋ยให้นางสาวสำนักนิ์พิมพ์ตามประสงค์
ข้าพเจ้าขออนุโมทนาในกุศลบุญราษีทักษิณานุปทาน ซึ่งนางสาวสำนักนิ์ได้บำเพ็ญเปนการสนองคุณบิดาด้วยสามารถความกตัญญูกตเวที และที่ได้พิมพ์หนังสือเรื่องนี้ให้แพร่หลายทั่วไป
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ สภานายก
หอพระสมุดวชิรญาณ
วันที่ ๑๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๖๖
อธิบาย
ด้วยเมื่อปีกุญ พ.ศ. ๒๔๓๐ ฝรั่งเศสจะปราบปรามพวกฮ่อทางเมืองตังเกี๋ย การคาบเกี่ยวแก่พระราชอาณาเขตร ในเวลานั้นรัฐบาลฝรั่งเศสขอให้มีข้าหลวงไทยไปด้วยกับกองทัพฝรั่งเศส เพื่อให้เปนการสดวกทั้ง ๒ ฝ่าย จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดข้าหลวงกอง ๑ พระไพรัชพากย์ภักดี ทวน บุนนาค กระทรวงต่างประเทศเปน
หัวหน้า หลวงคำณวนคัคนานต์ ศรี ปายะนันท์ กรมแผนที่ ซึ่งบัดนี้เปนพระยาคำณวนคัคนานต์ กับนายบรรหารภูมิสถิตย์ เผื่อน กรมแผนที่ เปนข้าหลวงรอง รวมเปนข้าหลวง ๓ นาย ขุนปราบชลไชย ชุน ล่าม ซึ่งต่อมาได้เลื่อนเปนหลวงขจรธรณีนาย ๑ นายแววกระทรวงต่างประเทศ เปนเลขานุการสำหรับจดหมายเหตุนาย ๑ รวมเปน ๕ นาย ไปราชการครั้งนั้น
นายแววเปนบุตรขุนสารประเสริฐ นุช อาลักษณ ซึ่งเปนจินตกวีมีชื่อเสียงในรัชกาลที่ ๔ ได้แต่งหนังสือหลายเรื่อง เช่นฉันท์สรรเสริญพระมหามณีรัตน์ ฉันท์กล่อมสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เปนต้น นายแววได้ศึกษากระบวรแต่งกาพย์กลอนในสำนักบิดา ไปราชการคราวนี้จึงแต่งนิราสเรื่องนี้เรียกว่านิราสตังเกี๋ย แต่เห็นจะเปนเพราะนายแววเปนผู้รับราชการกระทรวง นิยมในทางราชการเปนสำคัญ เช่นหม่อมราโชทัย ม ร ว.
กระต่าย อิศรางกูร ณกรุงเทพฯ ที่แต่งนิราสลอนดอน ความในนิราสที่แต่งเปนเล่าจดหมายเหตุการที่เดินทางเปนสำคัญกว่าจะว่าในทางสังวาส เพราะฉนั้น นิราสตังเกี๋ยนี้จะนับว่าเปนจดหมายเหตุระยะทางที่ข้าหลวงไปครั้งนั้น แต่งเปนกลอนก็ว่าได้ โวหารที่แต่งก็ไม่เลว จึงเห็นว่าควรพิมพ์ให้แพร่หลาย แลรักษาสำนวนไว้อย่าให้สูญเสีย
นายแววนี้ไม่ใช่แต่แต่งกลอนได้อย่างเดียว เปนผู้รักในการศึกษากฎหมายด้วย ต่อมาได้เปนที่หมื่นพิพิธอักษร แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ไปช่วยราชการกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ เมื่อโปรดให้เปนข้าหลวงพิเศษจัดการศาลยุติธรรมเริ่มแรกให้มณฑลกรุงเก่า ต่อมาได้รับพระราชทานสัญญาบัตร์เปนหลวงนรเนติบัญชากิจ ในกองข้าหลวงพิเศษ แล้วจึงได้ถึงแก่กรรม.
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ
นิราศตังเกี๋ย
๏ นิราสเรียมริเรื่องเมืองตังเกี๋ย
จำจากน้องห้องหอเคยคลอเคลีย ลห้อยละเหี่ยห่วงรักพักตร์ยุพา
พี่หน่ายนุชสุดไกลแต่ใจจิตร เหมือนกายสิทธิ์สิงเสน่ห์อยู่เคหา
ส่วนตัวน้องของที่ห่วงเหมือนดวงตา จงรักษาไว้เถิดเจ้าอย่าเศร้าใจ
ด้วยมีช่องโอกาศราชกิจ จึ่งขอคิดหน่ายรักสักไสมย
แม้นบุญรอดปลอดอาพาธนิราสไภย คงมาได้คลึงเคล้าเสาวคนธ์
ใช่จะร้างห่างน้องไปท่องเที่ยว อย่าเฉลียวคิดเห็นไม่เปนผล
ถึงรักใครไม่เท่ารักพักตร์วิมล เมื่อได้ยลแล้วยิ่งยวนชวนเสียดาย
ขอฝากสัตย์มัธุรสพจนารถ ที่สวาทเนื้อถนอมหอมไม่หาย
จึงขอลาหน้าแฉล้มทั้งแก้มกาย ไม่แกล้งหน่ายรูปสงวนนวนลออง
ณวันศุกรเดือนอ้ายขึ้นสามค่ำ พิไรร่ำรักแรกจะแตกสอง
ปีกุญจุลศักราชรอง ในพันสองสี่สิบเก้าจากเย่าเรือน
ต้องหน่วงจิตรถึงจะคิดก็สู้นิ่ง ด้วยเปนสิ่งจำใจใครจะเหมือน
ได้ทราบข่าวว่าจะไปนั้นหลายเดือน แต่พวกเพื่อนเขาว่าจรเกือบข้อนปี
แล้วก็ลงเคหามาวันนั้น ขึ้นกำปั่นเมล์หน้าโรงภาษี
พร้อมกับพระไพรัชจัดคดี ท่านเปนที่ข้าหลวงกระทรวงนาย
กับท่านหลวงคำณวนควรขนาน นายบรรหารภูมเพิ่มเฉลิมฉาย
พนักงานแผนที่มีอุบาย รู้แยบคายวัดประเทศเขตรนคร
ท่านขุนปราบปราชญ์ญวนเปนส่วนล่าม รู้ข้อความพจนาอุทาหรณ์
อีกตัวเราเปนเสมียนเขียนสุนทร เรียงอักษรส่งรีโปตโปรดประจำ
ท่านทั้งหลายสบายอยู่มีผู้ส่ง เวลาลงกำปั่นวันยังค่ำ
ได้ยลนุชบุตรหลานออกพล่านลำ ยังสั่งซ้ำสุขเกษมอิ่มเอมใจ
แต่ตัวเรากับสหายนายบรรหาร ไม่พบพานเยาวมิตรพิสมัย
ทั้งสองคนทนระกำซ้ำอาไลย ถอนฤไทยทุกข์เหลืออยู่เรือเมล์
นิจาเอ๋ยเคยอุ่นแม่นุ่นเนื้อ ไม่รู้เบื่อชมขวัญมาหันเห
จะเปล่าเปลี่ยวเที่ยวไปในทเล สุดคะเนที่จะนับวันกลับมา
เปนเวรกรรมจำร้างให้ห่างน้อง เคยร่วมห้องศรวลเสอยู่เคหา
ยิ่งลำฦกนึกคิดก็ติดตา มาจำลาจำไกลอาไลยวรณ์
เรือสะท้านกว้านสมอยิ่งท้อถอย สลดผอยอยู่บนฟูกเหมือนถูกศร
จนออกเรือเหลือระอานาวาจร เปนสิ้นตอนภคินีเมื่อตรียาม
จึ่งจบหัดถ์ตัดวิตกอกอนาถ บังคมบาทธิบดินทร์ปิ่นสยาม
จงคุ้มไภยไปเปนสุขทั่วทุกนาม ให้มีความพูลสวัสดิ์พัฒนา
เรือกำปั่นขันจักร์ออกพักใหญ่ แสงอุไทยรุ่งรางสว่างหล้า
ถึงสมุทเจดีย์มีสมญา ไหว้วันทาขอพรเมื่อจรทาง
เห็นป้อมผีเสื้อสมุทสุดสง่า มีปืนผาสารพัดไม่ขัดขวาง
แม้นศัตรูคิดร้ายคงวายวาง ยิงหักกลางจมยับไม่กลับคืน
ทุกวันนี้บ้านเมืองรุ่งเรืองมาก ปราศจากข้าศึกไม่คึกขืน
แต่สร้างไว้ให้จิรังอยู่ยั่งยืน ตั้งบอกปืนเรียงรายใบเสมา
เห็นหน้าเมืองสมุทด่านชาญสนาม ดูงดงามสมอำนาจวาสนา
ตัวเจ้าเมืองเรืองบุรีมีปัญญา รู้ภาษาหลายชนิดทั้งกิจการ
จึงโปรดเกล้าให้บำรุงผดุงราษฎร์ ทั้งอำนาจยศถามหาศาล
เปนเศรษฐีมีสัตย์ชัชวาลย์ สุขสำราญยุติธรรมสัมคี
พอถึงแหลมฟ้าผ่าน่าอนาถ นึกขยาดเต็มตัวเหมือนกลัวผี
รามสูรอยู่ที่ไหนขอไปที ยกชีวีไว้สักครั้งพอบังตาย
อย่าเพ่อผ่าข้านิราสสวาทนุช แม้นม้วยมุดเนื้อเย็นจะเปนหม้าย
มองไม่เห็นฟ้าแลบมีแยบคาย ค่อยสบายแล่นมาตามสาชล
พอเรือออกปากอ่าวยิ่งเปล่าหวิว พระพายฉิวเย็นฉ่ำเหมือนน้ำฝน
นั่งชะแง้แลดูฝั่งยิ่งกังวล ไกลตำบลแหลมฉะวากปากทเล
เห็นเรือโคมกระโจมไฟอยู่ในน้ำ ลอยประจำคลื่นซัดตุปัดตุเป๋
อยู่ตามร่องน้ำไหลให้คะเน ถ้าเรือเหเข้าไปติดผิดลำราง
ด้วยทรงพระกรุณาเรือค้าขาย สู้จ้างจ่ายราชทรัพย์นับกระถาง
ทำให้แจ้งแห่งหนชลทาง เวลากลางคืนค่ำจึ่งตามไฟ
พอพ้นนั้นกัปตันให้รอจักร เราเห็นพักจึ่งได้ถามตามสงไสย
ทราบว่าจะส่งคนนำร่องไป เพราะมาใกล้เรือของเขาที่เฝ้าคอย ฯ
๏ ฝ่ายฝรั่งในเรือเชื้อนำร่อง นั่งส่องกล้องเห็นพวกเปิดหมวกหยอย
ดูเกศาฤๅออกโทรมเหมือนโคมลอย อยู่เรือน้อยประมาณยาวสักเก้าวา
พอส่งนำร่องไปก็ใช้จักร เสียงวิดวักสินธูออกซู่ซ่า
อุโฆษก้องท้องกำปั่นสนั่นมา ดูนาวาอ้างว้างห่างสันดอน
ไม่แล่นลัดตัดคลื่นฝืนสมุท ดังมารุดรีบร้นชลกระฉ่อน
ดูไกลเกาะละเมาะผาตามสาคร กำปั่นจรถึงที่ท้ายสีชัง
เจ้าพวกบ๋อยอานำที่ทำกุ๊ก หุงข้าวสุกซุปกระหลี่มีโต๊ะตั้ง
เล่าแกแรตกล้วยซ่มขนมปัง เชิญให้นั่งกินสดวกแต่พวกเรา
พอระฆังบาหลีสี่โมงสาย อิ่มสบายเข้ากับเปนอับเฉา
ขึ้นมานั่งดาษฟ้าทำน่าเซา แต่พวกเราเห็นกันเท่านั้นเอง
ฝรั่งเดินไปมาพูดจาพล่ำ ฟังยังค่ำไม่รู้จักว่ากั๊กเหมง
จะส่งภาษาสักคำก็ยำเกรง อายกังเกงที่เราใส่ไว้กับตัว
ใครไม่รู้ดูเหมือนชาวยุรป แต่งเครื่องครบขัดฟันนั่งสั่นหัว
ถึงอย่างนั้นเราใจยังไม่กลัว ถ้าจวนตัวทำใบ้พอได้การ
แต่คุณพระทราบชัดสนัดคิด พูดอังกฤษเจนภาษาอาวสาน
แต่กัปตันต้นหนล้วนคนงาน เปนชาติชาญฝรั่งเศสผิดเพษกัน
ท่านยังพูดรู้ภาษาอัชฌาไศรย เหมือนรักใคร่กันสนิทไม่บิดผัน
จนพวกเราค่อยสบายนายกัปตัน เขาจัดสรรค์กินอยู่คอยดูการ ฯ
๏ เห็นเกาะสามมือยื้อชื่อพิฦก จดบันทึกเวให้แจ้งแสดงสาร
นี่ใครหนอช่างมายื้อมือบุราณ มันเกิดการแสนตะกลามถึงสามมือ
คิดถึงนุชสุดวิตกหัวอกหญิง ถูกมือติ่งมันมาฉุดคงหลุดปรื๋อ
เราจะต้องกำหมัดอยู่ฮัดฮือ เขาสามมือจะต้องได้เอาไปครอง ฯ
๏ เห็นเกาะขามนามดีค่อยมีจิตร คงจะคิดกลัวเราเปนเจ้าของ
ขอให้ขามเหมือนเกาะเหมาะทำนอง อย่าหมายปองสีนวนที่ชวนแล ฯ
๏ เห็นเกาะล้านแลออกลิบสักสิบเส้น มองไม่เห็นบ้านที่ไหนไกลกระแส
เออใครหนอน่าขันมาผันแปร ฤๅเรียกแก้เกาะเรื่องให้เปลื้องตัว
แต่ที่จริงยอดเขาเปนเงาล้าน ดูแดงด้านเลี่ยนโล้นเหมือนโกนหัว
ทั้งพฤกษาไม่งอกดังหนอกวัว แต่ไม่ทั่วไปทั้งภูดูเปนวง
เออแต่เขายังล้านกระบานหิน มันไม่สิ้นหลากจิตรพิศวง
ฤๅมีของกายสิทธิ์ฤทธิรงค์ จำเพาะลงมากินดินคิรี
เขาจึงเรียกเกาะล้านนานตั้งกัป ช่างอาภัพหมดชะตาแลราษี
แม้นผู้คนอาไศรยใจไม่ดี ต้องทิ้งที่เกาะล้านประจานตน ฯ
๏ ถึงเกาะริ้นจินตนาภาษาสัตว์ มันเที่ยวกัดมังสาเหมือนห่าฝน
ข้าขอแต่น้องรักเสียสักคน อย่าบินวนไปกัดให้ขัดใจ
เห็นหินผาหน้าเกาะคลื่นเซาะแซะ ที่แง้มแยะน้ำกระฉอกเข้าออกได้
ที่ขาววาบกาบลอกเปนปลอกไคร เหมือนเขาไม้ทำเล่นไม่เห็นดิน
ที่น้ำเค็มท่วมไม่ถึงมันจึ่งรก กิ่งไม้ปกปิดแจคลุมแง่หิน
ข้างล่างเตียนเลี่ยนตาด้วยวาริน มันชะหินถูกคลื่นทุกคืนวัน ฯ
๏ ถึงเกาะไผ่ไม่เห็นมีกอสีสุก แลสนุกล้วนพฤกษาพนาสัณฑ์
ต้นไม้ใหญ่คล้ายผักเบี้ยดูเตี้ยครัน ก็เพราะมันบังหมอกแลออกไกล ฯ
๏ เห็นเกาะครามตามภาษาเวลายาก น่าซื้อฝากครามดิบสักสิบไห
เผื่อเนื้อหอมย้อมผ้าชุบสะไบ ให้สะใจนุ่งห่มสมอินทรีย์
แต่ทราบจิตรว่าเจ้าคิดเกลียดผ้าเขียว ชอบนุ่งเกี้ยวนุ่งลายระบายสี
ถึงตัวแก่แลยังกำลังดี ทั้งตาปีนวนเหลือเหมือนเนื้อทิพ ฯ
๏ ถึงเกาะยออ้อไฉนอย่างไรหนอ ฤๅผลยอมีชุกทั้งสุกดิบ
นึกอยากกินลิ้นกับฟันคันยิบยิบ ได้สักสิบคำก็คงพอการ
อันผลยอพอใจทั้งชายหญิง มันดีจริงจับจิตรสนิทหวาน
รู้ว่ายอก็ยิ่งชอบสู้หมอบกราน เหมือนน้ำตาลทาปากอยากใช้ยอ
อย่าว่าแต่เขาเลยฉันเคยถูก จูงจมูกได้เหมือนควายน้ำลายสอ
แต่เรามาครั้งนี้เหมือนขี่วอ มีทั้งยอทั้งยกชื่นอกใจ ฯ
๏ ถึงเกาะเสือเหลือกลัวตัวพยัคฆ์ หมอบประจักษ์นอนเห็นเปนไศล
ดูรูปร่างโตถนัดไม่กัดใคร เปนเสือใหญ่จำศิลคอยกินลม ฯ
๏ แลเห็นเกาะจรเข้เหศีร์ษะ ดูเกะกะมองเขม้นยิ่งเห็นสม
เขาว่าหางสำคัญที่มันจม ให้เรือล่มแตกไปก็หลายลำ
ถ้าเกยเข้าทีไรมักไม่รอด ยาวตลอดแหลมเปลือยเลื้อยถลำ
เปนหินล้วนบังอยู่ดูประจำ มันจมน้ำนอนซุ่มชุ่มตะไคร ฯ
๏ ถึงเกาะพระระยะทางมากลางคลื่น แลทะมื่นเรียงเปนแถวแนวไศล
ไม่สู้เห็นบ้านช่องมองแต่ไกล เพราะเรือไฟแล่นลัดตัดออกฦก
แต่สังเกตเห็นตลอดบนยอดเขา เปนปุ่มเปาเหมือนภิกขูไม่รู้สึก
คนจึ่งเรียกเกาะพระให้อธึก ดูพิฦกอัศจรรย์ขันจริงจริง
เมื่อมองเห็นเช่นนั้นจึ่งวันทิต คงสฤษฎิ์ที่สมมุตพุทธสิง
ขอให้คุ้มข้าหลวงคอยท้วงติง บำบัดสิ่งสรรพไภยอย่าได้พาน
ทั้งเย่าเรือนเพื่อนอุราของข้าเจ้า ที่โศกเศร้าคอยหาน่าสงสาร
จงคุ้มไภยพาธาสาธุการ สุขสำราญพูลพิพัฒน์สวัสดี ฯ
๏ ครั้นมาถึงที่เขาเกาะเจ้าจุ่น ดูเหมือนทุ่นอยู่ในน้ำจำมะหรี
ทั้งต้นหมากรากไม้ก็ไม่มี สัณฐานสีปูนแห้งแดงมอซอ
ชั่งเกิดอยู่ในน้ำเหมือนทำเล่น ได้มาเห็นอัศจรรย์ขันจริงหนอ
ไฉนจึ่งชื่อเขาเปนเหล่ากอ เรียกกันจ้อไม่ว่าใครในชลา ฯ
๏ เห็นเกาะหลักปักอยู่ดูเปนหย่อม รูปเหมือนพ้อมอย่างดีที่มีฝา
ดูด้านแดงแห้งผึงถลึงตา ไม่มีหญ้าสักเส้นเห็นวิกล
แลแต่ไกลคล้ายดอกบัวฤๅหัวเต่า มันน่าเอาไปไว้ปลูกไผ่สน
ได้ชมเล่นเปนสง่าในสาชล เหมือนกับคนกลั่นแกล้งมาแส้งทำ
ในหมู่นี้มีละเมาะเกาะต่างๆ จะต้องอ้างให้จิรังตั้งฉนำ
เห็นเกาะจวงเกาะจันทน์คั่นเปนลำ ใหญ่กำยำซ้อนซับสลับดี
คิดถึงจันทน์กระแจะจวงดวงสมร ปรุงขจรเจิมพักตร์เปนศักดิ์ศรี
หอมตระหลบอบหน้าทุกราตรี ชื่นฤดีดับร้อนที่นอนเนา
พี่ลำบากจากนุชสุดวิโยค ไม่วายโคกเสียดทรวงนั่งง่วงเหงา
สักเมื่อไรจะได้กลิ่นยุพินเรา มาไกลเจ้าทรามสงวนนวลลออง ฯ
๏ เห็นโรงโขนโรงหนังนั่งพินิจ ยิงเพ่งพิศดูเหมือนเขามีเจ้าของ
นี่หนังใครหนอมาเล่นเต้นคนอง ฟังเสียงกลองเงียบสงัดอัศจรรย์
ทั้งโรงโขนก็ไม่มีตัวที่ไหน นี่งานใครหามามันน่าขัน
ฤๅหลบเจ๊กเจ้าภาษีมามีกัน เห็นสำคัญแต่ป่านกกาบิน
แต่รูปนั้นลม้ายคล้ายโรงหนัง เหมือนจอตั้งโอโถงเปนโรงหิน
เขาจึ่งเรียกชื่อมาอยู่อาจิณ เมื่อได้ยินแล้วมายลต้องจนใจ ฯ
๏ เห็นฉางเกลือเหลือสนุกกระจุกกระจิก ช่างซุกซิกเรียงเปนตับสลับไศล
แต่เค้าเงื่อนเหมือนฉางมาวางไว้ เขาจึ่งใส่ฉายาน่าพิฦก ฯ
๏ เกาะอ้ายแรดรูปรีไม่มีผิด ทั้งจริตกิริยาท่าสอึก
เหมือนเดินด่องท่องน้ำตามจะนึก ถ้ารู้สึกก็ว่าเขาเรานี่นะ ฯ
๏ เห็นเกาะฉลามแลล้วนกระบวนป่า ทัศนาทิวไม้คล้ายสวะ
ที่แห้งตายใบโกร๋นโคนครุคระ ที่แหว่งหวะเปนช่องมองเห็นภู
แต่ว่านกนางนวนมีล้วนหลาย มันสบายชอบเกาะจำเพาะอยู่
บ้างลอยน้ำหากินตามสินธู บ้างบินพรูเวียนว่อนจรจรัล
โอ้นางนวนนวนน้องมาพ้องนก แลดูอกฤๅออกขาวเหมือนจาวถัน
สีเจ้าเหมือนเพื่อนยากที่จากกัน จะนับวันว่างเว้นไม่เห็นนวน ฯ
๏ ถึงเกาะทรายออกมาเด่นเห็นแต่หิน อีแอ่นบินเวียนจับนับไม่ถ้วน
สันฐานเหมือนกระด้งเท่าวงอวน เปนทรายร่วนกรวดปนชอบกลดี
แต่ช้างน้ำชอบนอนบนก้อนผา ขึ้นถอดงาออกสบัดตัวหัดถี
มักร่วงตกอยู่บ้างเปนลางปี ชาวบุรีญวนชอบลอบเอาไป
อันนาวามายากลำบากเหลือ หนทางเรือสองคืนคลื่นก็ใหญ่
แต่นำลึกสองเส้นเด่นอยู่ไกล ได้มาไปทุกวันนั้นก็นก ฯ
๏ เกาะที่ฉันพรรณามาทั้งหลาย มีนิยายเรื่องโตไม่โกหก
จะว่าไปไหลเล่อเหนือนเพ้อพก จึ่งหยิบยกเอาแต่เกาะจำเพาะการ
ถึงอย่างนั้นท่านทั้งหลายมีชายหญิง จะค้อนติงตัดพ้อข้อบรรหาร
พอเปนเลาเอาเปนหลักสักนิทาน ว่านมนานแต่ครั้งไหนตามใจกลอน
ตาบ้องไล่ยายรำพึงซึ่งมีบุตร บริสุทธิ์งามพริ้งยิ่งสมร
เรียกนางโดยได้ชื่อฦๅขจร ถึงนครกรุงจีนแสนยินดี
ให้ไทยจือมาขอต่อตาบ้อง แก่ยกย่องให้เปนพระมเหษี
จึ่งเตรียมขันหมากมาจากธานี ถึงวันดีจะสมานการมงคล ฯ
๏ ฝ่ายเจ้าลายชายข้างตวันตก ก็เพ้อพกรักรุ่มทุกขุมขน
ขอนางโดยต่อยายแม่พอแก้จน แก่ยกตนบุตรสาวให้เจ้าลาย
แห่ขันหมากมากระไรดูไม่น้อย ถึงสามร้อยสิ่งของกองถวาย
เขยทั้งสองพ้องกันเข้าทั้งบ่าวนาย ก็นัดหมายขอให้ส่งองค์บุตรี
แต่ตายายไม่รู้กันช่างขันนัก ทำงกงักอิ่มเอมเกษมศรี
ไม่ไต่ถามเหตุผลต้นคดี เพราะอยากมีลูกเขยไว้เชยชม
ก็ต่างคนต่างกริ่มขยิ่มเหงือก ไม่ต้องเลือกให้ลำบากยากขนม
เขาเปนเชื้อธิบดีบุรีรมย์ เกิดนิยมเห็นงามไม่ถามกัน
ตาบ้องไล่จะส่งกับองค์เจ๊ก หางเปียเล็กรวยอู๋กินหมูหัน
ยายรำพึงก็จะให้เจ้าลายพลัน จำเพาะวันเดียวพ้องถึงสองคน
ไม่ตกลงงงอยู่จึ่งรู้เรื่อง ตาก็เคืองยายก็แค้นกว่าแสนหน
ต้องค้างค้านการวิวาห์เข้าตาจน ลงนั่งบ่นพึมพำกรรมของกู ฯ
๏ ฝ่ายเจ้าจีนเจ้าลายโดนรายนึก พอรู้สึกกำสรดแสนอดสู
เมื่อดักลันปลาไหลมาได้งู มีศัตรูเพราะผู้หญิงต้องชิงนาง
ก็ต่างคนต่างเหี้ยมเตรียมทหาร จะรบราญเจ้าบุรีที่มีหาง
ตาบ้องไล่ให้ขยั้นเข้ากั้นกลาง พูดเปนกลางว่าอย่าแย่งจะแบ่งปัน
ฉวยลูกสาวฉีกกลางขว้างให้เขย มันตกเลยอยู่เปนเกาะจำเพาะขัน
เรียกว่าเกาะนมสาวเท่าทุกวัน อยู่ฟากจันทบุรีมีพยาน
อีกซีกหนึ่งไปถึงตวันตก อดห่อหมกบ่าวสาวทั้งคาวหวาน
เจ้าลายเห็นศพโศกโรคบันดาล ไม่กลับบ้านเลยตายในสายชล
เดียวนี้ยังเปนเขานอนยาวเหยียด ไม่น่าเกลียดเหมือนมนุษย์สุดฉงน
โต๊ะฝาชีพานกระจับกลับวิกล ตั้งอยู่จนทุกวันไม่อันตราย
เขาเรียกสามร้อยยอดตลอดหมด ฉันไม่ปดพูดเพ้อละเมอหมาย
แต่ทองมั่นนั้นถมลงจมทราย ตกอยู่ฝ่ายนครังบางตพาน
เปนกำเนิดเกิดประจำธรรมชาติ สุกสอาดสืบมาอาวสาน
เปนทองของเจ้าลายที่วายปราณ อยู่นมนานตั้งกัปไม่นับปี ฯ
๏ ฝ่ายเจ้าจีนสิ้นอาไลยก็ให้โหย เห็นนางโดยซีกเดียวเขียวเปนผี
ก็ทำศพกว่าจะเสร็จเจ็ดราตรี กับสิ่งที่เปนขันหมากไม่อยากเอา
ทั้งโรงโขนโรงหนังคลังใส่ของ ก็เลยกองอยู่เหมาะเปนเกาะเขา
สารพัดสัตว์สิงห์กลิ้งเปนเลา เรื่องตาเถ้าบ้องไล่ยายรำพึง
แสนสงสารเจ้าจีนแผ่นดินเผง ถอดกางเกงค้างเปล่าเข้าไม่ถึง
ต้องกลับไปภาราทำหน้าตึง สิ้นความหึงหม้ายหอเพราะพ่อตา ฯ
๏ เรือกลไฟใช้จักรไม่พักผ่อน ตวันรอนล่วงลับพยับหล้า
แล่นโขยดโดดคลื่นฝืนชลา ข้ามอ่าวสาครขั้นจันทบูร
ทเลลึกนึกอนาถให้หวาดหวาม เสียงโครมครามดังสนั่นแทบขวัญสูญ
ดูน้ำเค็มเปนประกายเหมือนไพฑูรย์ แสนอาดูรเหลียวแลเห็นแต่ดาว
พวกข้าหลวงง่วงเหงาเศร้าสลด แต่งเครื่องยศเหมือนกันยิงฟันขาว
แขงกมลทนประทังนั่งเปนราว พูดเกรียวกราวเฮฮาคลายอาวรณ์
มิศเตอร์กาดูผู้โดยสาน เขามีการกิจไปเมืองไซ่ง่อน
แต่พูดไทยได้ชัดไม่ขัดกลอน ชอบสุนทรทางนิยายใจอารี
มานั่งเล่นเห็นสนุกทั่วทุกท่าน ให้เปนการชอบหูกระจู๋กระจี๋
จนคุ้นเคยเลยรักสามัคคี ใจเขาดีโอบอ้อมละม่อมละมุน
อันเรือไฟเจ้ากรรมเมล์ลำนี้ เมื่อราตรีเข้าห้องแล้วต้องหมุน
เพราะร้อนไอไกล้สติมริมเปนจุณ ต้องว้าวุ่นเข้าออกบอกระอา
พอเช้าตรู่สุริยันขึ้นดั้นเด่น มองไม่เห็นทิวไม้ใกล้ฝั่งฝา
ถึงเกาะช้างรูปลม้ายคลายคชา ยืนจังง่าหูผึ่งเหมือนหนึ่งเปน
ทั้งเกาะขี้มีอยู่กองมองไม่หาย แต่ว่ากลายเปนหินก็สิ้นเหม็น
ล้วนแต่สิ่งสำคัญปันประเด็น ยังคิดเห็นถูกต้องของประจำ ฯ
๏ ถึงเกาะกูฏแล่นครรไลไกลเปนหมอก จะพิศออกเหลือตาไม่น่าขำ
แล่นมาถึงเกาะกงนี่กงกำ ใครมาทำเรือแพแต่เมื่อไร
คือตาบ้องลากกงวงมันกว้าง บรรทุกช้างหนักจี๋จนขี้ไหล
ต้องทิ้งอยู่เปนเขาไม่เอาไป เปนกงใหญ่แลหลามสิ้นความเพียร
แต่เขมรเขาประสงค์กงคือเกาะ เรียกกันเพราะเขตรสมุทสุดเกษียร
เปนแว่นแคว้นฝ่ายสยามอยู่จำเนียร มีทะเบียนเขตรขั้นจันทบูร ฯ
๏ ถึงเกาะรงตรงอ่าวกระพงโสม ละลอกโครมคลื่นประดังกำบังสูรย์
มืดพยับลับฟ้ายิ่งอาดูร รุ่งจำรูญเข้าละเมาะช่องเกาะโกรง ฯ
๏ ถึงหน้าเมืองกำปอดทอดสมอ ยิงปืนพอเปนสำคัญควันโขมง
ไม่มีคนโดยสานลงกันโคลง พอรุ่งโมงเช้ากัปตันให้ครรไล
แล่นตะบึงมาถึงเกาะมันน้อย จนบ่ายคล้อยคลื่นจัดลมพัดใหญ่
คืนยังรุ่งวันยังค่ำกระหน่ำไป เรือกลไฟโคลงคลอนเหมือนนอนเปล
เพราะเที่ยวนี้มีสินค้ามาไม่มาก จึ่งลำบากคลื่นซัดอยู่ปัดเป๋
ซ้ำไม่แล่นแสนเคืองเรื่องเรือเมล์ แทบจะเทข้าหลวงให้ร่วงชล
หากเปนข้าบาทบงสุ์พระทรงเดช ไม่มีเหตุอับปางลงกลางหน
พอสองยามถึงที่เกาะมีคน แจงตำบลตามแผนให้แล่นรอ
ต้องราไฟไขจักรพักสู้คลื่น ไม่อาจขืนเข้าไปจอดทอดสมอ
เพราะช่องแคบหินขวางเหมือนอย่างตอ กลัวคลื่นยอเรือแตกกระแทกชล
พอรุ่งเช้าเข้าไปทอดกลางชะวาก ไกลแต่ฟากร้อยเส้นเห็นถนน
มีฝรั่งรักษาว่าตำบล ให้คุมคนโทษอานามอยู่สามพัน
มีตึกอยู่หมู่หนึ่งซึ่งได้เห็น ยกธงเปนฝรั่งเศสคุมเขตรขันธ์
กับนาวาเล็กน้อยลอยจรัล พยุนั้นหอบสาดขึ้นหาดทราย
เพราะคืนนี้ลมจัดปัดตะโพก เหมือนกระโหลกลอยน้ำบ้างคว่ำหงาย
แต่เรือเรารอดจมไม่ล่มตาย พ้นจากฝ่ายแอกซิแดนแสนยินดี
อันเกาะนี้รูปผงกเหมือนนกใหญ่ แปลเปนไทยคงประจักษ์ว่าปักษี
ฝรั่งเศสเรียกมาทั้งตาปี ชื่อเกาะนี้ตามกลอนลิคอนโด
สำหรับปล่อยคนผิดคิดขบถ ทรยศจับได้เหมือนใส่โหล
เอามาไว้ใช้งานทำการโต ไม่ร้อยโซ่กรวนซ่นเหมือนคนพาล
บนตลิ่งวิ่งออกไขว่ใช้คนคุก ตัวเท่าตุ๊กตาตามน่าศาล
ในเรือบตหัวออกดำนั่งทำการ มีทหารถือท้ายบันทัด
ให้ฟั่นเชือกผูกตลิ่งทิ้งออกหย่อน ได้ยาวผ่อนเรือไปไกลถนัด
อยู่กลางอ่าวแลเปนหมอกละลอกซัด ลมสบัดโต้คลื่นคืนกับวัน
มีแพโคมทอดขวางอยู่กลางอ่าว ให้รู้ด้าวแดนน้ำทางกำปั่น
ทั้งเข้าออกจะได้เห็นเปนสำคัญ ด้วยเกาะนั้นทางยากลำบากตา
เมื่อเรือไฟทอดคอยก็ลอยอยู่ ไม่มีผู้โดยสานนานหนักหนา
ก็ถอนสมอชักธงว่าคงลา ใช้จักรมาตามทางในกลางชล
ครั้นพลบค่ำน้ำละลอกกระฉอกซ่า พยับฟ้ามืดเม้นไม่เห็นหน
นอนสดุ้งพลุ่งพลั่งยิ่งกังวล ขอให้พ้นคลื่นลมที่ซมซาน
ยังไม่เหนโคมฟากปากสมุท ยิ่งไกลสุดเหลือตาอาวสาน
เหมือนอยู่ในกรงขังนั่งรำคาญ จนเห็นย่านปากอ่าวบันเทาครัน ฯ
๏ ครั้นถึงโคกคะนัดเบเวลาเช้า คือเปนอ่าวไซ่ง่อนหยุดผ่อนผัน
ยิงปืนจอดทอดสมอพอสำคัญ แต่กัปตันคุณพระได้ขึ้นไปดู
อันแหลมนี้ได้เหนเปนชะวาก คล้ายกับปากชะนางฤๅคางหมู
มีตึกกว้านบ้านฝรั่งบ้างตามภู กับที่อยู่เตลิคราฟทาบไปเมือง
บนยอดเขาปักเสาธงลงริมป้อม มีตึกย่อมสอาดตาหลังคาเหลือง
ไม่กี่ปีก็จะฟุ้งแทบรุ่งเรือง น่าเปนเมืองปากน้ำทำปราการ
เมื่อเข้าจอดทอดที่มีฝรั่ง กับญวนทั้งแหม่มอนงค์ลงโดยสาน
แล้วออกเรือใช้จักรไม่พักนาน แล่นเข้าย่านแม่น้ำเปนลำราง
มีเรือนโคมกระโจมไฟไว้ตามตื้น ถ้าค่ำคืนจุดแดงแสงสว่าง
บนฝั่งฝามาเปนแถวแนวโกงกาง ทำขาอย่างเรือนไฟปักไว้รับ
ได้พบเรืออุบลบูรทิศ ที่มากิจไซ่ง่อนแล่นย้อนกลับ
หลวงนายฤทธิ์หลวงวิชิตเปิดหมวกรับ คุณพระกับหลวงคำณวนควรยินดี
ด้วยร่วมข้าราชการมาพานพบ จึ่งนอบนบรอบรักเปนศักดิ์ศรี
แต่มิได้สนทนาหยุดพาที กำปั่นรี่เร็วจริงจนวิงตา ฯ
๏ ครั้นถึงเมืองไซ่ง่อนหย่อนสมอ เรือจ้างสอแจวก่ายทั้งซ้ายขวา
แต่คุณพระไพรัชขึ้นทัศนา เที่ยวสืบหาที่อยู่บนบุรี
แล้วลงมาชวนข้าราชกิจ ขึ้นสถิตย์โฮเตลเปนสุขี
ชื่อลูนิวแวส์แลล้วนสมควรดี ด้วยเปนที่โอชาสารพัน
ระยะทางตั้งแต่กรุงสยาม นับเรียงตามเขตรสมุทสุดกระสัน
ทั้งแล่นจอดทอดเสร็จได้เจ็ดวัน ก็พร้อมกันหมดทุกข์สุขสบาย
มีคนใช้เกาวนาให้มาเยี่ยม ดูเสงี่ยมงามเงื่อนเหมือนสหาย
ได้ไต่ถามปราไสยทั้งไพร่นาย แล้วผันผายกลับหลังไปฟังการ ฯ
๏ ครั้นรุ่งเช้าเกาวนาจัดม้ารถ กับล่ามพจน์พูดอังกฤษสนิทหวาน
รับคุณพระไพรัชชัชวาลย์ กับตัวท่านหลวงคำณวนควรไปเยือน
ได้สนทนาปราไสยกันในกิจ เขาสุจริตอารีไม่มีเหมือน
แล้วลามาโฮเตลอยู่เปนเรือน สบายเหมือนบ้านเราแต่เช่ากัน
ทั้งเข้ากับรับประทานมันหวานเจื้อย อร่อยเรื่อยรสอะไรชอบใจฉัน
ด้วยเดชะจักรพงศพระทรงธรรม์ จึ่งได้ครรไลอยู่ลูนิวแวส์ ฯ
๏ ครั้นรุ่งเช้าพวกไทยฝ่ายสยาม แต่งตัวงามดูละม้ายคล้ายจีนแส
มองสิเออก็ไม่ใช่ไทยก็แปร ฝรั่งแลดูไม่ออกบอกตรงๆ
พากันไปชักรูปสูบกระจก เปนที่ยกไว้ระฦกนึกประสงค์
ครั้นถึงบ้านฝรั่งช่างบรรจง ก็ชักลงเสร็จสรรพแล้วกลับมา
ครบอาทิตย์มิศมารตินช่าง เขาแต่งสร้างสวยศรีดีนักหนา
รูปใครๆเขาชัดสนัดตา แต่อาตมาแสนละเหี่ยต้องเสียเงา
เพราะเวลาที่ชักมักจะไหว น่าแค้นใจเห็นรูปซูบกว่าเขา
มาสิ้นสวยที่จะส่งให้นงเยาว์ จะพลอยเศร้าเสียเพราะรูปไม่ลูบแล ฯ
๏ ครั้นสองทุ่มเกาวนาเชิญข้าหลวง เปนกระทรวงจงเจาะตามเบาะแส
ไปนั่งโต๊ะที่วังแล้วฟังแตร อารีแท้เช้าให้ไปมิโต
ได้ขึ้นรถจักรกลทุกคนสิ้น มีญวนจีนนั่งไปก็หลายโหล
ไม่เทียมด้วยอูฐลาฤๅม้าโค มันแล่นโร่ไปบนรางทางเหล็กราว
มีสะเตช์เคหาพักห้าแห่ง เปนตึกแต่งบริบูรณโบกปูนขาว
กับตพานข้ามน้ำวัดตามยาว ประมาณราวห้าเส้นได้เห็นมา
ทั้งสองแห่งแท่งเหล็กหล่อเปนเนื้อ มีไม้เจือทำรอดสอดบ้างหนา
หนทางรถบทจรตามดอนนา วิ่งจนตาลานดีขี่สบาย
ได้พบหญิงเลดีมีในรถ ดูสวยสดยังไม่ยุบบุบถลาย
นั่งพูดจากลมเกลี้ยงเข้าเคียงชาย เปนแยบคายเต็มตัวเหมือนผัวเมีย
ฟันก็ขาวราวกับงาหน้าเหมือนหยก แต่ที่อกของน้องใส่ลองเสีย
ช่างสวมหมวกสมพักตร์ถักหางเปีย นั่งคลอเคลียพูดชะม้อยลอยลูกคาง
แต่ผู้ชายหนวดเคราราวกับยักษ์ แลดูพักตร์แดงก่ำเหมือนน้ำฝาง
จมูกโด่งโง้งงอทำข้อกาง นั่งพูดพลางออกท่ายิ่งหน้าแดง
ผู้หญิงเขาสนัดชอบผัดพักตร์ ถึงเกลียดรักใจชื้นไม่ขึ้นแสง
แต่ผู้ชายไม่อุทัจคิดดัดแปลง ปล่อยให้แดงดูเล่นหน้าเปนมัน
เห็นเขาพูดจับคู่อยู่ในเก๋ง มาหย่อนเตงแสนวิตกแต่อกฉัน
มิได้พาหน้าแฉล้มแก้มอำพัน มาด้วยกันพอเปนยศขึ้นรถไฟ
รถก็แสนแล่นจี๋เหมือนขี่สิงห์ มันช่างวิ่งไม่รู้ว่ามาถึงไหน
แต่มีหลักตามจังหวะกะเปนไมล์ เมื่อแล่นไปคอยนับไม่ลับตา
สามชั่วโมงถึงมิโตสโมสร เปนทางจรเส้นนั้นสองพันห้า
หยุดอยู่ริมฝั่งน้ำตามเวลา สิ้นมรรคาทางรถกำหนดชัด
พวกข้าหลวงเดินลงตรงมาเห็น เรซิเดนคอยรับคำนับหัดถ์
แล้วเจริญเชิญคุณพระไพรัช กับที่ถัดหลวงคำณวนควรคำนับ
ให้ไปตึกที่พักด้วยรักใคร่ แล้วจัดให้รับประทานทั้งหวานกับ
พร้อมทั้งญวนผู้ใหญ่คือนายทัพ นั่งคำนับเปนอันดีมีประมาณ
แล้วท่านองค์เลวังขุนนางสุภาพ เชิญขุนปราบชลไชยนายบรรหาร
กับตัวเราเปนสามตามนักการ ไปรับประทานโฮเตลพูดเล่นกัน
เมื่อนั่งโต๊ะสนทนาชวนปราไสย เราพุดไทยเขาพูดญวนนั่งสรวลสันต์
ไม่ถูกหูดูปากช่างยากครัน ได้สำคัญที่ขุนปราบทราบแล้วแปล
เขาสี่คนเราสามถามกันวุ่น ชุลมุนโต้เถียงเสียงออกแซ่
ท่านขุนปราบปากเดียวเหนี่ยวกันแจ ดูเต็มแย่เพราะเปนล่ามรู้คำญวน
ยังไม่ทันสิ้นความเราถามติด มือสกิดว่าอะไรคอยไต่สวน
เพราะอยากรู้ถ้อยคำตามสมควร ต้องรบกวนท่านขุนวุ่นเต็มที
พอเสร็จเลี้ยงพาไทยให้ไปบ้าน รับประทานหมากพลูสูบบุหรี่
เหมือนหนึ่งชอบกันมาสักห้าปี ดูอารีต้อนรับคำนับไทย
แล้วเขาเชิญมารดามาให้พบ ได้นอบนบตามฉันท่านผู้ใหญ่
อยู่บ้านตึกเหมือนเจ้าสัวไม่กลัวใคร ถือเพทไสยคฤศเตพระเยซู
อันเมืองนี้ไม่สู้ใหญ่เดินได้จบ ชาวยุรปมีบ้างมาตั้งอยู่
ถนนปราบราบตาทำน่าดู สองฟากผลูปลูกมะพร้าวราวระเนน
มีเรือเมล์มาจอดทอดเทียบท่า ใส่สินค้าขึ้นไปขายฝ่ายเขมร
แล่นวันหนึ่งถึงนิคมพนมเพญ ด้วยทางเปนแม่น้ำตามสบาย
ครั้นยามเย็นถึงบทกำหนดกลับ ต่างคำนับลากันแล้วผันผาย
ขึ้นรถรีบเร็วจริงทั้งหญิงชาย แสนสบายมาในรถบทจร
ครั้นเวลาย่ำค่ำถึงสำนัก อยู่ที่พักอาไศรยเมืองไซ่ง่อน
สุขสบายพร้อมหน้าไม่อาวรณ์ ครั้นทินกรรุ่งอุไทยไปชะลัน
ทางรถไฟนั้นน้อยร้อยเส้นกว่า แล่นสิบห้ามินิตคิดถึงนั่น
ได้ชมบ้านร้านตลาดสอาดครัน แต่จีนนั้นมีดื่นแปดหมื่นคน
เปนเมืองเล็กแต่เจ๊กดูแทบล้วน มากกว่าญวนอยู่หลามตามถนน
ตั้งตึกใหญ่ขายสินค้าไม่น่าจน มีผู้คนซื้อขอต่อราคา
แต่เมืองนี้มีญวนนักเลงได้ มันเล่นไม้สามอันยืนคันขา
แต่สังเกตเห็นสกนธ์เปนคนยา คอยสอดตาแลโปลิศทุกทิศทาง
ได้เที่ยวดูอยู่สองชั่วโมงเศษ จึ่งจำเหตุได้ชัดไม่ขัดขวาง
แล้วกลับมาไซ่ง่อนเหมือนก่อนปาง เปนที่ทางสำหรับเคยหลับนอน
คืนวันหนึ่งคุณพระสละทรัพย์ เชิญแม่ทัพเมืองมิโตสโมสร
ชื่อท่านเต็งบาลกเคยยกนิกร ฐานันดรปับลิกันได้ชั้นตรา
สำหรับปราบเขมรญวนชวนขบถ จนมียศส่งอำนาจวาสนา
นับถือพระเยซูรู้ตำรา จนเบื่อฆ่าคนญวนที่ลวนลาม
มานั่งโต๊ะโฮเตลเปนคำนับ เขาก็รับรักใคร่ฝ่ายสยาม
ได้สนทนาปราไสยเปนใจความ อารีตามเต็มใจในดิเนอ
พอเสร็จเลี้ยงลาลับคำนับน้อม ต่างพรักพร้อมยินดีไม่มีเสมอ
ดูเอื้อเฟื้อรักกันสมันเกลอ เสร็จดิเนอโภชนาก็ลาไป
คืนวันนั้นได้ดูลครเล่น เพราะจำเปนเดินพบสบไสมย
เขาดูล้นคนฝรั่งช่างเปนไร เราก็ใส่เสื้อกางเกงไม่เกรงกัน
ซื้อติเก็ตเสร็จนั่งยังเก้าอี้ ดูเปนที่ขวยเขินเหมือนเชิญฉัน
ต้องเสียเงินให้เปนค่านัยตามัน แต่พอกันหาวนอนสัญจรมา
ฝรั่งตบมือสนั่นออกลั่นห้อง แต่เรามองไม่เห็นเปนภาษา
เหมือนดูหนังยังรุ่งพระสุริยา ไม่ทราบว่าลักษมณ์รามสิ้นความคิด
พวกฝรั่งหัวร่อเราก็เฉย ประเดี๋ยวเลยเลิกพักชักม่านปิด
อันลครโรงนี้มีชนิด มาสถิตย์ให้เล่นเปนสัญญา
ในหกเดือนคอเวอนเมนต์ต้องเซ็นรับ เรียกว่าซับซิดีพอมีหน้า
เสียเงินให้ลครซ้อนราคา สองร้อยห้าสิบชั่งกำลังสบาย ฯ
๏ อยู่วันหนึ่งเรือเมล์ฝรั่งเศส ที่ประเวศส่งกำลังเครื่องทั้งหลาย
สำหรับยุทธอุดหนุนการวุ่นวาย มาจอดท้ายเมืองเรียบเทียบตพาน
เราได้ลงไปดูจึ่งรู้เห็น ยาวสามเส้นคล้ายแผ่นดินถิ่นสถาน
ทั้งขัดถูดูดีไม่มีปาน สอาดสอ้านแลไหนใสเปนเงา
กว้างหกวาดาษฟ้ามีสองชั้น ปล่องสองอันงดงามทำสามเสา
มีคอกขังเป็ดไก่อ้ายตะเภา แพะแกะเอาไว้ออกยั้วข้างหัวเรือ
ทั้งคอกโคลูกอ่อนนอนกินหญ้า สำหรับฆ่าแล่ชิ้นกินเหมือนเสือ
แต่หนังพับผึ่งไว้ใช้เปนเบือ ที่กลางเรือมีหีบเพลงบันเลงลม
สำหรับผู้โดยสารรำคาญเข็ญ มีห้องเต้นรำสนุกแก้ทุกข์ถม
ดาษฟ้าล่างทางสอาดลาดด้วยพรม ปลูกต้นส้มไว้ต่างๆกระถางลาย
มีโต๊ะตั้งระหว่างห้องเฟิศคลาก งดงามมากเหมือนตึกพิฦกหลาย
จุดไฟทุกห้องส่องสบาย ทั้งที่ถ่ายทุกข์อาบน้ำตามทั้งนั้น
เขาปล่อยให้ชมเล่นเปนสง่า เหลือปัญญาที่จะร่ำทำขยัน
เห็นยี่ปุ่นดรุณีศรีลูกจันทน์ สบเนตรกันในห้องท้องนาวา
ช่างขาวนวนควรถนอมหน้าแฉล้ม แต่งเหมือนแหม่มเหมาะงามตามภาษา
เขาเลื่องฦๅชื่อเจ้าดังยังสีดา พึงได้มาเห็นนุชเมื่อสุดจน
ถ้าแม้นได้ไว้ประโลมโฉมยี่ปุ่น แต่พออุ่นที่มาเห็นเปนกุศล
แต่แปลกชนิดผิดชาติประหลาดคน เหมือนเดินหนกินน้ำค้างต่างน้ำเคย
ไม่เหมือนแหม่มของเราชาวสยาม ชะอ้อนตามร่วมเตียงเคียงเขนย
เห็นคนอื่นก็ไม่ชื่นเหมือนคนเคย โอ้อกเอ๋ยนึกขึ้นมายิ่งอาวรณ์
ครั้นมาถึงโฮเต็ลไม่เปนสุข ก็เลยทุกข์พาลคนึงถึงสมร
เพราะไปยลคนยี่ปุ่นเปนทุนรอน แล้วนั่งนอนล่องเวลาก็ซาไป ฯ
๏ อยู่วันหนึ่งจึ่งเดินเที่ยวซื้อของ ยืนจดจ้องอยู่ไม่กล้าจะปราไสย
ล้วนฝรั่งตั้งห้างไม่อย่างไทย ถ้าชอบใจหยิบดูไม่รู้ราคา
แม้นมีญวนจีนลูกจ้างค่อยยังชั่ว ได้รอดตัวที่ขุนปราบทราบภาษา
ซื้อกันได้ไม่ขัดอัธยา แต่ราคามักจะแพงเรี่ยวแรงครัน
ชื่อถนนบูละวาน่าประพาส เขาแผ้วกวาดไม่รังเกียจคิดเดียดฉันท์
มีน้ำรดชุ่มไปไม่เปนควัน เหมือนวัสสันตฤดูบูละวา
ที่หน้าห้างหว่างถนนคนเดินเลียบ ปูอิฐเรียบฝนไม่ขังเหมือนฝั่งฝา
แต่รถนั้นเดินกลางหว่างมรรคา ปลูกพฤกษาเรียงรื่นครึกครื้นดี
มีตึกรามงามคล้ายกรุงปารีศ ที่เขาขีดเขียนถ่ายระบายสี
แล้วแยกตรอกออกไปหลายในบุรี น่ายินดีเดินแลพอแก้ทุกข์
ถึงถนนทางไกลชายป่าสวน เปนดินร่วนปนทรายไม่สนุก
กุลีกวาดลาดถมกระลมพุก ทุบไปทุกทางให้รถบทจร
มีถนนนามท้าวเจ้าเขมร ตั้งชื่อเปนนโรดมสมอักษร
ที่ไปวังเกาวนาอยู่ถาวร เจ้านครสิทธิ์ขาดราชการ
มีประตูเหล็กงามอยู่สามช่อง แล้วมีห้องยามสำหรับกับทหาร
ถนนเดินสองข้างกลางเปนลาน ปลูกพุดตานยี่สุ่นไม้หลายชนิด
บนตึกโตระโหฐานสำราญเรี่ยม ปูพรมเจียมอย่างดีสีวิจิตร
ทั้งโต๊ะฉากโคมระย้าชวลิต ของอังกฤษยี่ปุ่นแซมตั้งแกมกัน
ที่หลังวังร่มรื่นเปนพื้นสวน ตามกระบวรแบบฝรั่งเขารังสรรค์
ทำสระสีมีชุดบุษบัน บนขอบคันที่เปนวงทำโรงแตร
ถึงวันศุกรสนุกสนานชาวบ้านช่อง มาเที่ยวท่องเดินกรอประจ๋อประแจ๋
รถเข้าได้ในประตูดูเปนแพ มาฟังแตรตามสบายคลายกังวล
รวมสถานเกาวนาราคาตั้ง แปดพันชั่งที่บุรณะสละผล
จึงได้งามตามทรัพย์สำหรับตน ไม่กลัวจนสร้างอยู่ดูสำราญ
อันชื่อท่านเกาวนาสมญาเสนอ มองซิเออคองสตอนพูดอ่อนหวาน
ทั้งโกชินไชนาสาธุการ บังคับค้านสิทธิ์ขาดราษฎร
ในเมืองนี้มีเรศเตอรองรับ เปนห้องหับตึกโตสโมสร
สำหรับขายเล่ายาอยู่ถาวร ในนครมีกว่าห้าสิบโรง
คนฝรั่งนั่งกินวันละหลาย ที่เมามายพูดเล่นเปนโขยง
แต่ไม่ริวิวาทเหมือนชาติโกง ที่โอ่โถงบ้างก็มีกิริยา
ถ้ายามเย็นนายห้างทั้งเศรษฐี ล้วนผู้ดีมียศขึ้นรถา
เรียกชื่ออินสะเปกเช่นเปนเวลา เที่ยวตรวจตรารอบบุรีที่สบาย
มีโรงหมอรักษายายุรป ทั้งเครื่องครบทำได้เหมือนใจหมาย
เปนบ้านช่องขบขันพรรณราย มีตึกหลายหลังสำหรับกับนคร
กับโรงแพทย์รักษาธารณะ เขาไม่กะคนเจ็บเหมือนเก็บขนอน
มีห้องหับเตียงตั้งให้นั่งนอน ราษฎรมารักษาพยาบาล ฯ
๏ ตลาดจีนอยู่ฝ่ายท้ายเมืองหน่อย เขาไม่ปล่อยเกลื่อนกลาดให้อาจหาญ
ผู้คนคึกตึกใหญ่ขายชามจาน แลดูร้านเรียงสลับเหมือนตับพลุ
มีพวกแขกแปลกมาเที่ยวค้าขาย แต่เรียงรายร้านดูไม่สู้จุ
ขายกล้องยาผ้าไหมเทียนไขคุ แต่พอจุกำลังตั้งหากิน
สงสารญวนพลเมืองเรื่องค้าขาย น่าเสียดายมีปัญญาไม่หาสิน
ขายแต่ของทรามราคาเปนอาจิณ มีเครื่องกินเปรี้ยวเคมแต่เต็มกลืน
มีตลาดขายปลาอยู่ห้าหลัง เอาแผงตั้งเรียงกันสักพันผืน
เปนตึกดินใหญ่โล่งเท่าโรงปืน น่าครึกครื้นเดินเล่นไม่เหม็นคาว
เพราะมีตรอกซอกน้ำล่ามมาถึง ไม่เปรอะปรึงล้างราดสอาดขาว
แต่กลางกันนั้นวายขายหมดคราว คนเกรียวกราวแต่สว่างจนกลางเพล
เวลาค่ำตามถนนทุกหนแห่ง ตะเกียงแดงดูดีดังสีเสน
ทั้งร้านฝรั่งห้างโตตึกโฮเตล ไม่ว่างเว้นโคมสว่างเหมือนกลางวัน
เพราะชาวร้านทำงานกลางคืนด้วย น่าจะรวยเปนเศรษฐีที่ขยัน
เหมือนเห็นได้ไม่อุส่าห์หาไม่ทัน จึงต้องหมั่นทำกินเปนถิ่นดี ฯ
๏ ที่หน้าเมืองมีรูปแม่ทัพทหาร นามขนานริโกชกาจดังราชสีห์
เอาเหล็กหล่อไว้ให้เห็นพอเปนที ตามฐานมีรูปพลรณณรงค์
ท่านผู้นี้คือตีไซ่ง่อนได้ จึงทำไว้รฦกตามความประสงค์
จะได้ฦๅชื่อเสียงสำเนียงคง ให้ยรรยงอยู่กับริปับลิก
ดีไม่สูญพูลเพิ่มเฉลิมญาติ ใครทำราชการได้มีไชยอิก
คงกระเดื่องเนื่องสุขไปทุกวิก ยศไม่พลิกยิ่งเจริญเกินนิรันดร์
ที่ในลำคงคาหน้าไซ่ง่อน มีเมล์จรค้าขายหลายกำปั่น
ทั้งเรือไฟใหญ่น้อยลอยจรัล หมดด้วยกันสามสิบหยิบประมาณ
อิกเรือรบสองสามลำประจำท่า ไม่ยาวกว่าเส้นดีมีทหาร
บนเสาใส่ฮอศกิ๊ดติดปราการ สำหรับราญรบตัดดัสกร
ทั้งสองเสาเค้าเหมือนฝนแสนห่า พื้นหลังคาเหล็กล้วนญวนขยอน
สัณฐานเท่ากับวงกระด้งมอญ เมื่อปีก่อนรบตังเกี๋ยเสียบุรี
มีทั้งอู่ทำเผื่อให้เรือเข้า สำหรับเช่าเยียวยาแล้วทาสี
ยังอิกอู่ทำขันขยันดี จนเกือบปียังไม่เสร็จสำเร็จการ
กำปั่นตามนคราที่ว่าใหญ่ มาเข้าได้ทั้งลำทำวิดถาร
เหมือนเรือโล้เหล็กแทนแผ่นกระดาน ทำท่าธารสูบได้อย่างใจจง ฯ
๏ อันไซ่ง่อนนครญวนสมควรเหตุ ฝรั่งเศสเอาเปนของต้องประสงค์
แต่ก่อนนี้ภาราเหมือนป่าดง ไม่มั่นคงปกครองเปนของญวน
เมื่อเสียกับฝรั่งเศสตามเหตุผล จึ่งได้ปรนปรือปรุงบำรุงสงวน
ยี่สิบปีกว่าเท่านั้นปันจำนวน เดี๋ยวนี้ล้วนตึกรามงามวิไลย
เปนกอลอนีของฝรั่งไม่อย่างเก่า บังคับเชาอานามตามวิไสย
พื้นบ้านเมืองนี้ดูไม่สู้ไกล กว้างยาวไมล์ครึ่งวัดตามอัตรา ฯ
๏ ฝ่ายพวกข้าฝ่าธุลีบดีสูรย์ ก็เพิ่มพูลหยุดพักนานนักหนา
นับวันได้สิบสามตามเวลา ครบทั้งห้านายสุขสนุกสบาย
แล้วคุณพระไพรัชนัดคำนับ ไปพบกันเกาวนาลาถวาย
ด้วยจะขึ้นตังเกี๋ยคิดเสียดาย ขอผันผายจากเจ้าเกาวนา
เขาแสดงน้ำใจว่าไปนี้ คงไม่มีขัดขวางอย่ากังขา
ต้องสำเร็จราชกิจที่คิดมา ตามเวลารับรองข้างต้องกิน
แล้วมาลงเรือเมล์ฝรั่งเศส เดินถึงเขตรไฮฟองท้องกระสินธุ
พอรุ่งออกนาวาจากธานินทร์ แสนถวิลถึงที่อยู่ลูนิวแวส์
สบายดีมีสง่าเปนข้าบาท มาจากอาสน์ลอยล่องท้องกระแส
ทั้งฟูกเมาะเบาะหมอนที่นอนแพร เขาดูแลจัดบ๋อยคอยประจำ
เรือจะเรตเจ็ดชั่วโมงออกปากอ่าว ลลอกขาวน้ำเขียวเปนเกลียวสำ
แล่นเลียบฝั่งข้างโขดสันโดษลำ เสียงจักรจ้ำน้ำนองฟองกระจาย ฯ
๏ คืนกับวันบัลลุถึงเขตรแขวง เรียกเนียแตรงทอดสมอก็พอสาย
แต่ญวนเรียกถั่นว่าน่าสบาย ภูเขารายช่องทางเหมือนอ่างปลา
ประเดี๋ยวมีฝรั่งนั่งเรือบต แล่นเลี้ยวลดลอยป่องออกช่องผา
มาโดยสานขึ้นเมล์ตามเวลา ไม่รอท่าแล้วกัปตันให้ครรไล
แล่นมาตามคงคาสาคเรศ มีแต่เขตรเหล่าละเมาะเกาะไศล
ไม่เห็นมีบ้านช่องของผู้ใด ล้วนแต่ไพรพฤกษาเปนอาเกียรณ์ ฯ
๏ ครั้นถึงสุวันไดพอบ่ายคล้อย ญวนผู้น้อยเรียกจำเพาะเกาะภูเอี๋ยน
บนยอดเขาแลลาดสอาดเตียน เขาตั้งเพียรทำได้ทั้งไร่นา
ราวกับเรื่องบุราณนิทานเด็ก ฉันเล็กเล็กจำได้ไม่มุสา
ตบมือก้องร้องสบายยายกะตา แกทำนาบนเขาเย้าคนฟัง
พอค่อนคืนถอนสมอไม่รอรุ่ง ก็แล่นมุ่งมาทีเดียวไม่เหลียวหลัง
ทั้งคลื่นลมมิได้หยุดสุดกำลัง หวาดระวังอยากจะไปถึงไฮฟอง
เห็นฉลามตามเรือมันเหลือร้าย มาแหวกว่ายตำมุดผุดผยอง
ปลาฉนากจากคู่ดูลำพอง เที่ยวขึ้นล่องเล่นคลื่นฝืนชลา
เห็นเอียวเซียวเลี้ยวหลีกพยุนโลด ว่ายกระโดดดำหนีทีถลา
บ้างก็มุดผลุดโผล่พบโลมา ก็จมสาครเร้นไม่เห็นตัว
เจ้าปลาสากรูปละม้ายคล้ายกับสาก แลดูปากฤๅออกขาวยาวกว่าหัว
ลอยเปนหมู่ดูขันว่ายพันพัว แต่เนื้อตัวน่าชังตังกะตอย
เจ้าปลาหมอรอฝูงพยุงลูก แต่พอถูกคลื่นขยับก็กลับถอย
แลเห็นปลาโทงแทงขึ้นแซงลอย ดูจะงอยปากยาวราวกับทวน
แม้นตกใจว่ายปรูดพุ่งฉูดฉาด ไม่คัดวาดตรงใส่เหมือนไม้สวน
ถ้าปลาอื่นไม่หนีซี่โครงรวน ถูกอ้ายทวนปากแขงมันแทงตาย
พวกชาวโป๊ะปะโมงเบ็ดเข็ดขยาด จนไม่อาจออกชื่อเลื่องฦๅหลาย
สำหรับแช่งสาปกันอันตราย ออกชื่ออ้ายโทงแทงแรงกว่ามนต์
ครั้นสูญสิ้นทินกรลงนอนตรึก อนาถนึกหนาวเย็นทุกเส้นขน
ทั้งคิดถึงครอบครัวของตัวตน แต่สู้ทนกัดฟันค่อยบันเทา
ด้วยยังไม่เสร็จมาดราชกิจ จะต้องคิดมานะบ้างเหมือนอย่างเขา
จะเปนสิ่งดีชั่วก็ตัวเรา ต้องดึงเดาดั้นดงเข้าพงพี ฯ
๏ ครั้นถึงถิ่นควินนอนพอตอนเช้า มีแต่เขาโขดเขินเนินวิถี
ญวนเขาเรียกบิ้นดิ่นถิ่นคิรี เข้าจอดที่ในนั้นตามสัญญา
มีเรือจ้างมากมายที่ในน้ำ แจกประจำเกาะกำปั่นด้วยหรรษา
เปนคนญวนล้วนหลายทั้งยายตา อนาถาลงประจำลำละครัว
เมืองเหล่านี้ดีเหลือใช้เรือสาาน ฤๅกันดารยากไร้น่าใคร่หัว
ล้วนไม้ไผ่ไม่พังแผ่นทั้งตัว บรรทุกวัวควายได้ในทเล
มีทั้งเรือเล็กใหญ่สานลายสอง ยาที่ท้องข้างในทำไพล่เผล
เอาขึ้นบกยกครอบหัวตัวไม่เซ ลงทเลนั่งพายได้หลายคน
ครั้นเวลาทุ่มจรถอนสมอ เปิดหลอดหวอแล่นคว้างมากลางหน
มืดพยับลับฟ้าทั่วสากล ในกลางชลคลื่นลมเสียงโครมคราม
เรือโขยดโดดเหยงโงงเงงหงาย ที่เมามายนอนซบสลบหลาม
ทั้งเข้าปลาพากันเหมนไม่เห็นชาม เดินงุ่มง่ามเงอะงะศีร์ษะเวียน
นอนคุดคู้อยู่ในห้องท้องกำปั่น จะให้มันหายมึนที่คลื่นเหียน
คนอื่นเขาหลับไหลกันได้เตียน เราต้องเวียนขึ้นดาษฟ้าทาระกำ
พอรุ่งโรจโชตนานภาขาว แลเห็นอ่าวเกาะขวางเมืองกวางหนำ
ฝรั่งเรียกตุเรนประเดนคำ ก็หยั่งน้ำเรียบเลาะเข้าเกาะกง ฯ
๏ ถึงกลางอ่าวเป่าหลอดทอดสมอ เพราะจะรอถ่ายของต้องประสงค์
เปิดระวางกางบาญชีให้คลี่ธง ของขึ้นลงเสียงรอกออกระเบง
มีเกาะเล็กเกิดขวางอยู่กลางอ่าว ก่อตึกขาวคนฝรั่งนั่งในเก๋ง
ทั้งเรือบตกลไฟที่ใช้เอง ผู้คนเซงแซ่เกาะละเมาะลอย
กับเรือรบสามลำประจำจอด สำหรับทอดระวังไว้ได้ใช้สอย
กำปั่นญวนเสาคอดทอดตองตอย ไม่ใช้สอยยังแต่ก่อนเกือบนอนโคลน
ที่บนบกชายผาตรงหน้าเขา มีศาลเจ้าเกรงโกรงเท่าโรงโขน
กิ่งไม้ปกปิดศาลดังบ้านโจร ฝรั่งไม่โยนเครื่องเส้นเหมือนเช่นญวน
อ่าวตุเรนนี้เปนเหมือนเมืองท่า รับสินค้าขึ้นเว้ไม่เหหวน
มีบ้านช่องกร่องกร๋อยน้อยจำนวน แต่พวกญวนในสำนักนั้นมักจน
ทั้งแร่ถ่านที่ดีก็มีมาก ญวนไม่อยากให้ฝรั่งมาตั้งขน
เพราะยังเปนเจ้าของท้องตำบล สู้อดทนหวงไว้ใต้แผ่นดิน
เมื่อไรจะเปนประโยชน์โภชนา มีสินค้าไม่รู้ทำนั่งจำศิล
แขงแต่ใจได้ยศสู้อดกิน เพราะถือถิ่นที่เกิดกำเนิดญวน
แต่ไม่รู้ดูกำลังชั่งน้ำหนัก ว่ายศศักดิ์ฤๅอำนาจจะขาดด้วน
เมื่อคบคนเจ้าปัญญาเข้ามากวน ต้องชักชวนชาวนครให้ผ่อนปรน
แต่เดี๋ยวนี้ก็ขยับจะคับแคบ เหมือนเจ็บแสบอยู่ในกายทุกปลายขน
หย่อนอำนาจวาสนาว่าตำบล ต้องแบ่งผลยอมให้ไว้อาชา
เมื่อทำศึกคึกสู้ฝรั่งเศส ปัติเหตุเห็นผิดกับมิจฉา
เสียหหารลูกดินสิ้นปัญญา ยกภาราให้ฝรั่งมาตั้งครอง
ได้ทราบข่าวว่าเจ้าแผ่นดินเว้ เสด็จเกร่ไม่เอาเปนเจ้าของ
ละบุรีหนีสมบัติขัดทำนอง ไม่อยากครองที่รับด้วยคับใจ
เสียดายหนอเมืองเว้เคหสถาน ไม่ได้พานพบเห็นเปนไฉน
ด้วยจะต้องรีบร้อนสัญจรไกล ยังจะไปต่อเว้หลายเวลา
พอสองยามกัปตันให้ขันสมอ แล่นชะลอเลียบเกาะละเมาะผา
ถึงทเลลึกทางกลางชลา ใช้จักรมาจนแจ้งแสงหิรัญ
ไม่หยุดพักจักรพุ้ยตะลุยคลื่น แลทมื่นล้วนคิรีเปนศรีสรร
ที่สูงเยี่ยมเทียมเมฆอเนกอนันต์ แลเปนควันสุดเนตรเขตรอานำ
ถึงสองวันสองคืนคลื่นก็เงียบ ทเลเรียบแล่นเลาะเกาะไหหลำ
แต่ยังไกลเทียมหมอกดูออกดำ ข้ามปากน้ำตังเกี๋ยไม่เสียแรง
ครั้นจวนสางรางตาท้องฟ้าใส เห็นเรือนไฟริบหรี่มีแต่แสง
ทราบว่าถึงปากน้ำที่สำแดง ให้รู้แจ้งว่าอ่าวเข้าไฮฟอง
พอสว่างแลล้วนสวนสลา ขึ้นเปนป่ารอบบุรีมีเจ้าของ
มีป้อมดินเปนหลักยักทำนอง ฝรั่งครองครอบงำแต่ลำพัง
ฟากข้างขวาแลเห็นแต่เลนตื้น ไม่ครึกครื้นราบแม้นกับแผ่นหนัง
ดูไกลลิบมีเขาราวกับวัง บ้านสพรั่งตึกรามอยู่ตามบาง
ถึงไฮฟองเข้าจอดทอดสมอ เวลาพอสุริฉายขึ้นสายสาง
แต่ไซ่ง่อนจรเมล์ทเลทาง ก็พอย่างนับยกได้หกวัน
เมื่อเรือพักมีพนักงานฝรั่ง ลงมายังฮานอยคอยพวกฉัน
ตามคำสั่งเรซิเดนเปนสำคัญ ดูคมสันให้มารับคำนับแทน
ชื่อเซนเยมลุดเตอแนนต์แขวนกระบี่ เสื้อยันต์มียศตั้งบั้งที่แขน
กับล่ามพูดช่างแผดชื่อแบตแวล เยนตะละแมนต์ทั้งคู่เชื้อผู้ดี
มาคำนับรับรองพวกข้าหลวง ตามกระทรวงกำหนดบทวิถี
แล้วแจ้งความขอบใจตามไมตรี ว่าเขานี้จะพาไปฮานอย
แต่เห็นว่าข้าหลวงลำบากเหลือ มาในเรือบอบนักดูพักตร์จ๋อย
ให้ยั้งเสียพอบันเทาเขาจะคอย ต่างรับถ้อยตามบทกำหนดวัน
แล้วคุณพระไพรัชพิพัฒน์ภาพ ไม่จ้วงจาบมุ่งหมายจึ่งผายผัน
ทั้งคุณหลวงคำณวนควรจรัล ขึ้นตูคัลเยี่ยมท้าวเกาวนา
ชื่อมองซิเออคับเปเซมเหศร เขาก็ต้อนรับอารีดีนักหนา
ได้พบพูดสมคะเนกับเวลา ตามอัชฌานอบน้อมด้วยพร้อมใจ
แล้วเลยเยี่ยมเยเนราลว่าการทัพ เขาก็รับโดยสนิทพิสมัย
สมกับยศข้าหลวงกระทรวงไทย ดูเต็มใจโอบอ้อมพร้อมอินทรีย์
แล้วหยิบแผนนครังเมืองตังเกี๋ย เหมือนสั่งเสียชี้แจงตำแหน่งที่
มาให้ดูรู้พอจรลี กับวิถีจะขึ้นมาเมืองฮานอย
ท่านข้าหลวงทราบตามเนื้อความชัด แจ้งระหัสเต็มสุนทรอักษรฝอย
แล้วก็ลามาลงกำปั่นลอย ดูเรียบร้อยนอนเรือเหลือสบาย
แต่ต้องกินโฮเตลของกวางตุ้ง มีเนื้อกุ้งปลาผักยักกระสาย
ด้วยกับเข้าชาวยุโรปกระทบกาย ทั้งสี่นายเบื่อท้องจึ่งลองจีน
คุณพระนั้นกัปตันเขาต้อนรับ ขอคำนับเวลาพักเปนศักดิ์ศิล
ให้นั่งโต๊ะตามเวลาเปนอาจิณ จนเสร็จสิ้นเชิญกันถึงวันลา
แล้วได้ขึ้นเดินดูบนบุรี ตำบลที่ทำเลแลเคหา
ตึกเปนแถวแนวฝั่งสพรั่งตา ดูหลังคาขาวลออพึ่งก่อทำ
มีโฮเตลโรงหมอก่อเปนแถว แต่พึ่งแล้วดูยังกำลังขำ
ตึกตลาดรายทางห้างประจำ มีของชำเสื้อผ้าสารพรรณ
พื้นแผ่นดินลุ่มดอนสัญจรยาก จ้างคนถากถมล้วนญวนขยัน
ไม่ว่าเด็กผู้ใหญ่เปนรายวัน แต่พอทันซื้อกินสิ้นปัญญา
พลเมืองบอบบางเปนอย่างไพร่ ไม่สดใสแสนขัดสหัสสา
เพราะบุรีย่อยยับอัปรา ในสี่ห้าปีปลายทำลายญวน
ฝรั่งเปนผู้จัดสนัดแต่ง คิดซ่อมแปลงตามใจไม่ไต่สวน
แต่ต้องหว่านทรัพย์ทำจึ่งน้ำนวน แปลงกระบวนแบบเก่าชาวนคร
เด็กประจำเรือจ้างได้สังเกต พูดฝรั่งเศสคล่องไม่ต้องสอน
ที่คอยรับไปมานาวาจร ยืนสลอนตามตลิ่งวิ่งออกพรู
เห็นคนไทยใส่กางเกงแกมเสื้อหมวก นึกว่าพวกฝรั่งชั่งอดสู
มาพูดจาเรียกร้องแล้วจ้องดู แต่ไม่รู้ภาษากันว่าอันใด
มีหอคอยลอยลิ่วอยู่ริมฝั่ง แล้วก็ตั้งข้ามแม่น้ำตามไศล
วางจังหวะกะห่างหนทางไกล สำหรับใช้สังเกตบอกเหตุการ
กลางวันเอากระจกส่องมองแต่แสง ก็รู้แจ้งเหมือนได้รับฉบับสาร
กลางคืนใช้แสงอัคคีมีประมาณ ดูวิดถารชื่อซิกแนนแดนสัญญา
ในลำน้ำหน้าบุรีมีเรือรบ ประจำครบเครื่องทหารการรักษา
มีทั้งปืนฮอศกิ๊ดติดนาวา ทอดอยู่กว่าสิบลำประจำซอง
กับเรือเมล์ไปมาเที่ยวค้าขาย สำหรับถ่ายรับเช่าส่งเข้าของ
มีสามลำตามชะไลหน้าไฮฟอง ทั้งขึ้นล่องสติมลอนจรนที ฯ
๏ อยู่ไฮฟองสองวันตามกำหนด พร้อมกันหมดอิ่มเอมเกษมศรี
กับฝรั่งสองนายใจอารี นำวิถีพวกไทยไปฮานอย
มาขึ้นเมล์ฟิกนิกอิกลำหนึ่ง เช้าโมงกึ่งถอนสมอไม่รอถอย
ใช้จักรเดินตามลำน้ำซองคอย ฤๅอิกถ้อยเรียกว่าลำแม่น้ำแดง
มันคดเคี้ยวเลี้ยวงอเหมือนคอกล้อง มีแต่ท้องนาลุ่มชุ่มระแหง
ทำนาได้ทั้งปีมิเสียแรง ไยจึ่งแพงถังละเหรียญแทบเจียนตาย
เด็กเด็กเดินแก้ผ้าอนาโถ ต้องซูโลมือพนมวิ่งก้มหงาย
เคยได้เซ็นเห็นกำปั่นขอทานดาย บ้างเลี้ยงควายก็ต้องทิ้งวิ่งทะยาน
ถ้าโยนอัฐทองแดงแย่งกันกลุ่ม เที่ยวแหวกพุ่มรกหาน่าสงสาร
ปากก็ร้องมองตกายแม้นได้การ ตลีตลานวิ่งตามหลามคันนา
กว่าจะได้แต่ละเซ็นเหมือนเขนขอน ไส้กระฉ่อนแทบชีวังจะสังขาร์
เอามือตบปากท้องของอาตมา ที่เมื่อยขานั่งจ๋อลงก็มี
เรือก็แล่นเดินตามแม่น้ำน้อย ไม่ตะบอยหยุดพักเปิดจักรจี๋
โคลนพอครือท้องมาในวารี บ้านช่องมีเปนระยะออกระทาง
ผ่านแม่น้ำตามสบายไปหลายแห่ง ค่อยชื่นแฉ่งศรีหน้าเหมือนทาฝาง
ไม่คลื่นเหียนเวียนหัวกลัวอับปาง มืดนภางค์เรือจรนอนสบาย ฯ
๏ ครั้นสี่ทุ่มถึงฮานอยค่อยสว่าง หนาวน้ำค้างห่มผ้าไม่น่าหาย
เย็นเปนเหน็บเนื้อหนังทั่วทั้งกาย จนสางสายรุ่งรางสว่างวัน
พนักงานสองนายชายฝรั่ง ก็พร้อมพรั่งแต่งกายจะผายผัน
นำข้าหลวงพวกไทยขึ้นไปพลัน ให้อยู่ชั้นตึกหอคอเวอนเมนต์
ที่สำหรับรับแขกมาแปลกบ้าน สอาดสอ้านแสนสุขไม่ขุกเข็ญ
แล้วว่าท่านแบรเยเรซิเดน จัดให้เปนที่พักกว่าจักไป
แต่ที่จะรับประทานอาหารนั้น จงผายผันทุกเวลาอัชฌาไศรย
ให้นั่งโต๊ะแคฟเฟทำเลไกล จะเรียกให้หมดแอลเด็กแซนดา
แล้วคุณพระไพรัชพิพัฒน์ภาพ ไม่จ้วงจาบตามบทซึ่งยศถา
ไปเยี่ยมที่สองเจ้าเกาวนา นามสมญาแบรเยเรซิเดน
เขาต้อนรับจับหัดถ์จัดเก้าอี้ ด้วยยินดีได้ประสบมาพบเห็น
แล้วไต่ถามความลำบากที่ยากเย็น ฤๅว่าเปนสุขทั่วทุกตัวนาย
มองซิเออแบตแวลผู้แก่นล่าม พูดมาตามอังกฤษสนิทหลาย
ให้คุณพระทราบชัดอธิบาย ดูแยบคายเต็มตามความอัชฌา
แล้วว่าการเลี้ยงรักษาพวกข้าหลวง ตกกระทรวงคอเวอนเมนต์เปนผู้หา
ทั้งรับส่งคงจัดเปนอัตรา ตามทางข้าหลวงไทยเปนไมตรี
อิกบ้านช่องเกาวนาเวลาไหน จงมาไปตามสนุกเปนสุขี
อนุญาตขาดเหลือเผื่อทวี อย่าได้มีความแหนงระแวงใคร
ทั้งรถม้าสารพัดจัดสำหรับ ให้ขี่ขับตามภาษาอัชฌาไศรย
คุณพระท่านจึ่งตอบว่าขอบใจ ที่มาได้รับรองกว่าต้องการ
แล้วลามาที่พักสำนักตึก ต่างคนนึกปรีเปรมเกษมสานต์
ครั้นสิ้นแสงส่องหลักจักรวาฬ อยู่สำราญห้องหับไม่คับกาย
พอรุ่งเช้าเกาวนามาเยี่ยมตอบ ตามระบอบราชกิจสนิทหลาย
ดูเอื้อเฟื้อโอบอ้อมน้อมทุกนาย แล้วผันผายกลับบ้านสถานตน
เมื่อพวกไทยไปโฮเตลก็เปนยศ ได้ขึ้นรถเทียมคนบนถนน
ฝรั่งเรียกปู๊สปูดพูดพิกล คือเหมือนคนเรียกวิฬามาเปนนาม
น่าสงสารญวนคนพลไพร่ ดูเหมือนไม่เหนื่อยเหน็จคิดเข็ดขาม
กับคนท้ายคอยจุนวิ่งรุนตาม เหมือนสยามเรานี้ที่ขี่กัน
มีสำหรับฮานอยคอยรับจ้าง พวกขุนนางชอบขี่ดีขยัน
ลากเลี้ยวล้มลุกวิ่งไม่ทิ้งคัน ดูผ้าพันหัวปลิวเหมือนทิวธง
พวกฝรั่งนั่งไปแล้วให้อัฐ ไม่ต้องขัดรับเอาตามความประสงค์
ถ้าสมเหนื่อยหน้าชื่นค่อยคืนคง แม้นน้อยลงก็อย่าร้องไม่ต้องทวง
ยังกุลีมีหลายทั้งชายหญิง พอเช้าวิ่งเหมือนเขาขับไปทัพหลวง
ถือเชือกคานแบกหามตามกระทรวง คอยรับช่วงขนของเที่ยวมองเมียง
เสื้อกังเกงขาดวิ่นช่างสิ้นคิด แต่สุจริตซื่อมากปากไม่เถียง
จ้างแต่พอได้เซ็นเปนเสบียง เอามาเลี้ยงปากท้องรองไปวัน
ที่รุ่นสาวน้อยน้อยค่อยดูได้ ก็ต้องไปตามจนทนขยัน
สักว่าได้ไม่ว่าเอาบ่าดัน ไม่เปนอันออกสนุกขมุกขะมอม
น่าสงสารทรามเชยไม่เคยเห็น ต้องยากเย็นฝ่ากายจนผ่ายผอม
ถึงหนักเหลือเหงื่อหยดสู้อดออม ช่างมายอมแบกหามนามกุลี
อันตัวเราทุกข์เทื้อเหลือลำบาก มาพลัดพรากความรักยิ่งหนักจี๋
เข้าสองเดือนเหมือนจะดิ้นสิ้นชีวี ร้อนฤดีเหลือหนักด้วยรักรึง
อยากจะจ้างนางญวนสมควรแบก ขึ้นแสรกพอผ่อนหย่อนสลึง
ถ้าแม้นได้ไม่ว่าห้าตำลึง ขอแต่ทึ้งทุกข์ออกเสียนอกกาย
กลัวเขาจะไม่แบกด้วยแปลกเพษ สุดสังเกตในอารมณ์ไม่สมหมาย
อันการจะปลดเปลื้องเรื่องในกาย เหลือขยายที่จะจ้างกับนางญวน
แต่เดือนอ้ายให้คนึงจบถึงนี่ เข้าเดือนยี่อยู่ฮานอยละห้อยหวน
มาหยุดยั้งตังเกี๋ยจนเสียนวน กำลังอ้วนจะต้องผอมออมกมล
พอพลบค่ำสุริยาเวลาดึก อนาถนึกหนาวเย็นทุกเส้นขน
ต้องติดไฟในผนังประทังตน ยังไม่พ้นหนาวกายในอุรา
ทั้งหนาวเนื้อที่มาหน่ายคลายสวาท หนาวนิราสศรีสวัสดิ์สหัสา
หนาวในอกมิได้อุ่นทุ่นวิญญา หนาวที่มาไกลคู่ข้ามบุรี
ได้อังไฟไม่เหมือนอุ่นหนุนเขนย มาจากเชยจากชมระบมฉวี
โอ้หนาวเนื้อหนอจะได้สิ่งใดดี เพราะอัคคีไฟธาตุขาดอยู่ดวง
ถึงมีเสื้อกางเกงผ้ามาพออุ่น ถ้านึกฉุนถึงมิตรยิ่งคิดห่วง
มองไม่เห็นเย็นปลาบก็ทราบทรวง จะห้ามดวงใจได้ฤๅไรเรา
ครั้นเดือนยี่วันศุกร์ขึ้นสองค่ำ เวลาย่ำมืดพยับลงลับเขา
กับสี่สิบมินิตไม่คิดเดา พร้อมพวกเราทุกคนสนทนา
แผ่นดินไหวในฮานอยคอยสังเกต ไม่เห็นเหตุอัศจรรย์ขันหนักหนา
พอรู้ตัวเงงโงงโคลงกายา สามสิบห้าวินาทีแล้วดีไป
ฝ่ายบุรำตำหรับฉบับชี้ ว่าเกิดมีแปดประการบันดาลไหว
เกิดด้วยผู้เรืองอิทธิ์ฤทธิไกร เปนอยู่ในหกอย่างวางคัมภีร์
ไหวด้วยปลาอานนต์ตนขยับ ตามฉบับภูมภาคเปนสากษี
ข้างญวนจีนก็ว่าตำรามี อึ่งอ่างที่หนุนโลกมักโยกกาย
ไม่รู้ว่าจะตัดสินดินอากาศ เหลืออำนาจจะนิยมให้สมหมาย
คงจะไม่เห็นจริงทั้งหญิงชาย แล้วแต่ฝ่ายนัคเรศมีเหตุการ
ได้เห็นชัดอัศจรรย์ในวันนี้ ใคร่คดีดูอานามตามสัณฐาน
เห็นจะสิ้นเสื่อมสิ่งศฤงคาร เทวดาลดลทวีบุรีญวน
ด้วยเข้าในปกครองของฝรั่ง แต่ลำพังตามไสมยต้องไต่สวน
เหมือนหุ่นยนต์คนไม่ชักยักกระบวร ก็แลล้วนตั้งจมปุกเหมือนตุ๊กตา
แมมดรีนกินตะกางสำอางโอ่ เคยตั้งโตเต็มอำนาจวาสนา
ได้บีบคั้นกันตามความอาญา ไม่มองหน้าพลไพร่ใจทมิฬ
ทั้งกะเกณฑ์กดกันคั้นเอาทรัพย์ ราษฎร์ก็คับแค้นจิตรนิจสิน
ครั้นมีผู้ปกครองข้างตองกิน ก็เหมือนสิ้นดวงชะตาเมืองฮานอย
เขามาหัดจัดธรรมเนียมไม่เจียมทรัพย์ ข้อบังคับเสริมใสให้ใช้สอย
ต้องเดินตามความเห็นเขม้นรอย เปนผู้น้อยเขาทั้งรู้ต้องดูดาย
อันอำนาจฝรั่งเศสทั้งเดชฤทธิ เหมือนอาทิตย์เที่ยงเปล่งเมื่อเบ่งฉาย
ถ้าใครดูสุริยาแก้วตาพราย ไม่อาจกรายเกริ่นแลแพ้ตวัน
ถึงอย่างไรใจญวนเมื่อจวนอับ ได้เตรียมทัพรบเร่งเก่งขยัน
เห็นว่าเสือก็ต้องสู้คู่ประชัน เมื่อโรมรันแพ้สงครามก็ตามการ
แต่อาวุธยุทธนาเวลานั้น มีกั้นหยั่นทวนภูธนูขวาน
ด้วยนึกเห็นว่างามตามโบราณ ไม่คิดอ่านหากำลังยังเสียดาย
เก็บสินทรัพย์รับไว้ใส่กระเป๋า ที่หนักเบาไม่กลัวตัวฉิบหาย
ทั้งปืนผาออกกลาดตลาดราย เขาทำขายกันอื้อไปซื้อมา
ในสิบคนจะมีสักกระบอก ก็ต้องออกไปประชิตกับมิจฉา
จนป้อมใหญ่ยับย่อยถอยศักดา หมดปัญญาชาวบุรินทร์สิ้นอาไลย
ครั้นรุ่งเช้าแบตแวลผู้แก่นล่าม มาไต่ถามพูดจาอัชฌาไศรย
ว่ากินอยู่ชอบปากอยากอันใด จงบอกไปจะหามาทุกวัน
อันแบตแวลคนนี้ดีด้วยปาก พูดได้มากหลายชาติฉลาดขัน
ฝรั่งเศสอังกฤษก็ผิดกัน โปรตุคันเจ๊กไทยเข้าใจฟัง
ครั้นกลางคืนพาไปดูรำร้อง ที่ตึกของญวนสง่ามีหน้าถัง
ล้วนรุ่นสาวขาวขำแต่ลำพัง ดูกำลังน่าเชยไม่เคยชาย
เจ้าโพกหัวผ้าแดงแต่งเหมือนงิ้ว ช่างผ่องผิวพักตร์เหมือนกับเดือนหงาย
โคมกระดาษพาดคานปานกระทาย ดูแยบคายผูกบ่ามีท่าทาง
ยืนขึ้นรำทำมือกะดิกกะดุก แล้วนั่งคุกเข่าร้องให้ต้องอย่าง
วนเปนคู่ดูดีทั้งสี่นาง จังหวะวางขับร้องเข้ากลองซอ
แปลกกับรำโคมเราชาวสยาม เมืองอานามอย่างดีเท่านี้หนอ
ไม่เห็นมีกี่ท่าหน้าลออ วิธีก็มอญรำตามระทา
แต่ยังชวนยวนยีทีจริต ด้วยนั่งชิดลูบคลำได้ตามภาษา
แม้นจะให้ปรองดองต้องวิวาห์ เรียกราคาพอสมควรญวนฮานอย
มีหัวหน้าถ้าจะดูไม่ใช่ง่าย ต้องใช้สายคนสนิทให้ติดสอย
ด้วยกลัวฝรั่งรังแกมาแส่รอย เปนผู้น้อยพูดไม่ออกเขาบอกตรง
หากินตามความสำรวยทั้งสวยสาว อยู่ตึกราวนางนาฎราชหงส์
แต่เขาว่าสุจริตจิตรมั่นคง ไม่น่าปลงใจเชื่อเหลือประมาณ ฯ
๏ วันหนึ่งได้ไปดูเทพารักษ์ ที่เปนหลักบุรีมีเปนศาล
อยู่ตึกตั้งครั้งปฐมบุรมบุราณ ทางประมาณชั่วโมงดูโล่งตา
มีประตูเปนช่องอยู่สองชั้น ถัดไปนั้นตึกว่างทั้งซ้ายขวา
กลางเปนลายปูหินล้วนศิลา แล้วถึงหน้าศาลเจ้าเข้าข้างใน
มีรูปเซียนเปนสง่าท่าต่างๆ ยืนเงื้อง้างทวนหอกออกไสว
ที่เปนหลวงจีนนั่งอย่างพระไทย ครองผ้าไตรเหลืองเรื่อเสื้อกางเกง
ข้างหลังมีรูปใหญ่กายมหันต์ ดูมั่นตั้นโตทลึ่งบึ้งเขมง
นั่งบนแท่นห้อยขากายาเกรง ลืมตาเป๋งดังเปนเขม้นมอง
สูงเจ็ดศอกออกดำเหมือนสำฤทธิ์ ว่าศักดิ์สิทธิสุรพลคนสยอง
มือซ้ายถือกฤชยาวเท่ากระบอง ปักขนองหลังเต่าริมเท้ายัน
แต่มือขวาทอดศอกบอกนิ้วชี้ ในวิธีเหมือนให้ยลบนสวรรค์
ห่มภูษาย้อมสิ้นขมิ้นชัน ทั้งมีพันโพกเศียรคาดเคียนกาย
ได้ถามญวนผู้เถ้าที่เฝ้าศาล ว่านมนานครั้งไหนน่าใจหาย
แกแจ้งว่าตาหล่อขอบรรยาย อธิบายแรกเริ่มแต่เดิมที
เมื่อจีนมาสร้างกรุงให้ฟุ้งเฟื่อง เปนบ้านเมืองโอ่โถ่งทั้งโกงษี
เวลานั้นหลวงจีนนึกยินดี จะให้มีของบูชาสาธุชน
จึ่งหล่อรูปสำฤทธิสถิตย์ไว้ แต่พอให้เข้าเส้นเปนกุศล
ให้ชื่อถั่นจิ้นผูดูวิกล เปนที่คนมัสการนมนานมา
เขากำหนดจดฉนำจำกันได้ นับมาได้พันปีเข้านี่หนา
แล้วแจ้งความตามฤทธิอิศรา ใครไม่ปรามาทกลัวทั่วนคร
เมื่อปีกลายมีฝรั่งหวังจะผลาญ ขนเอาถ่านกองหุ้มเหมือนสุมขอน
แล้วติดไฟใส่สูบจนรูปปอน หมายว่าร้อนคงละลายต้องคายทอง
อัศจรรย์บันดาลการประหลาด มีน้ำหยาดซึมออกมาน่าสยอง
อัคคีดับทั้งสุมจนชุ่มกอง ไม่ได้ทองต่อยหูชูไปอัน
ได้ทราบคำอำลาจากตาเถ้า แล้วเลยเข้าป้อมสังเกตทั่วเขตรขันธ์
ขุดคูรอบขอบปราการตระหง่านครัน กำแพงนั้นสูงทำถึงสามวา
สร้างแต่ครั้งบุรียังมีสุข ครั้นเกิดยุคเแพ้ริปูหมู่มิจฉา
ทวารที่เข้าไปในชะลา มีอยู่ห้าแห่งทำประจำการ
ประเดี๋ยวนี้ฝรั่งพังเสียสอง ก่อจำลองเปนกำแพงแปลงสถาน
แล้วมีตึกยาวขวางอยู่กลางลาน วัดประมาณสี่เส้นดูเปนแนว
สำหรับฝรั่งตั้งทหารการรักษา ทุกเวลาฝึกหัดจัดเข้าแถว
ไม่ไว้ใจชาวบุรีจะวี่แวว ให้คล่องแคล่วอยู่สำหรับกับนคร
มีโรงหมอก่อตึกอยู่ในป้อม ตั้งเปนหย่อมรีขวางเหมือนวางขอน
หลังละสามเส้นกว่าสถาวร น่านั่งนอนแลหลามงามลออ
ด้านหนึ่งออฟฟิเซอกับไปรเวต ปันเปนเขตรห้องสลับกันกับหมอ
ด้านหนึ่งมีคนเจ็บเก็บชะลอ นั่งงอนหง่อนอนเตียงออกเรียงราย
แต่คนญวนสามร้อยก็พลอยป่วย มีหมอช่วยรักษามันน่าหาย
พวกฝรั่งแปดสิบหยิบบรรยาย ทั้งสองฝ่ายอยู่ด้วยกันปันเปนตอน
เห็นคนเจ็บอนิจจังน่าสังเวช ลืมตาเนตรนอนหงายเหมือนไม้ขอน
ที่แขนขาดเพียงข้อก็ต้องทอน ที่เนื้อล่อนเห็นกระดูกเพราะถูกปืน
ที่หักพอต่อได้ก็ใส่เฝือก สำลีเกลือกน้ำมันเย็นไม่เหม็นหืน
ที่ตัดโคนแขนทิ้งต้องนิ่งกลืน ช่างข่มขืนทำกันน่าบรรไลย
บางคนผ่าหน้าแข้งแคะกระดูก ควักเอาลูกปืนที่ยิงออกทิ้งได้
ที่เย็บผ่ายาปิดสนิทใน ที่ขาดไปเพียงเข่าไม่เท่ากัน
ที่กระหม่อมหลุดเหลือแต่เยื่อเผยิบ ไม่กำเริบแทบชีวาจะอาสัญ
ลุกขึ้นนั่งพูดพลอดหยอดน้ำมัน หมอก็ผันแปรรักษาพยาบาล
หนังสือพิมพ์มีวางข้างเฉลียง เปนของเคียงเหมือนหนึ่งว่ายาสมาน
ได้พลิกดูรู้คำแก้รำคาญ พอเบิกบานใจเจ็บที่เหน็บชา
อิกด้านหนึ่งเครื่องมือที่ถือใช้ มีดตะไกรเหล็กงัดตัดมังสา
มีหลายอย่างต่างพรรณอนันตา จะพรรณนาไม่หมดเหลือจดจำ
อีกด้านหนึ่งเก็บยาสารพัด ที่เขาจัดมาไว้ใช้ออกสำ
ใส่ขวดมิดปิดผนึกจาฤกคำ สำหรับนำแนะฉบับสรรพยา
ที่ทหารพลอยป่วยด้วยเหล่านี้ เพราะราวีพวกขบถถือยศถา
ที่ลุกลามตามหักด้วยศักดา ให้ภาราราบเตียนเสี้ยนอานาม
อันป้อมใหญ่นี้ตั้งอยู่ข้างเผิน วิถีเดินได้รอบขอบสนาม
หนทางชั่วโมงเศษสังเกตตาม ได้ทาบทามออกเดินประเมินดู
ถนนนั้นใหญ่กว้างหนทางเหยียด เปนแนวเรียดจดแม่น้ำตามผลู
กว้างสักสี่วามองลอองฟู มีตึกอยู่ห้างโฮเตลยังเปนตอน
ชื่อถนนปอรแบแลสอ้าน ปลูกโรงร้านแซกซอกออกสลอน
คอเวอนเมนต์เซนประกาศราษฎร ให้รื้อถอนเรือนกระบุงที่รุงรัง
เพราะกลัวไฟไหม้ฝอยพลอยเอาตึก สินค้าคึกเงินทองของฝรั่ง
จะได้ให้อินชุรันกันระวัง เปนผู้รั้งเรียกราคาสัญญากัน
มีถนนแยกไปก็หลายสิบ แลออกลิบญวนอยู่ดูคับขัน
เปนเรือนแตะฝาจากมากอนันต์ ถ้านานวันก็คงอยู่ไม่สู้สบาย
มีสระใหญ่ยาวได้สักแปดเส้น มองกันเห็นไม่รู้ว่าหน้าสหาย
กว้างสี่เส้นเปนเกาะละเมาะทราย ก่อเก๋งลายเขียนทาน้ำยาญวน
ข้างด้านเหนือมีตลาดออกกลาดกลุ้ม ผู้คนชุมเดินสลับออกสับสวน
มีทางแยกหลายสิบหยิบประมวญ เปนตึกล้วนอยู่มากสองฟากทาง
ในแถวนี้ไม่มีฝรั่งเศส ด้วยเปนเขตรของเก่าที่เขาสร้าง
นั่งร้านขายภูษาผ้าแพรบาง สีต่างๆออกดื่นกว่าหมื่นพัน
เห็นสีโศกสิ้นสติดำริห์คิด มาจนจิตรเสียเพราะแพรแลกระสัน
ทั้งเจ้าของฤๅก็สวยไปด้วยกัน ให้หวาดหวั่นคิดถึงแพรแล้วแลคน
น่าจะซื้อทำสะไบไปให้น้อง ฤๅจะหมองวรกายระคายขน
แต่ให้เห็นเปนพยานเหมือนทานบน ว่าทุกข์ทนโศกถึงคนึงนาง
ด้วยจากไปไกลบุรีทวีรัก ถึงเห็นพักตร์เจ้าของแพรก็แลหมาง
จะว่าพี่นี้กระไรน้ำใจจาง ไปแรมร้างตังเกี๋ยให้เสียที
แล้วเลยเมินเดินดูไปตามร้าน ออกรำคาญเพราะนัยตาน่าบัดสี
แต่ใจจิตรตั้งมั่นเหมือนขันตี นัยตามีชวนแลชะแง้มอง
ที่ลางนางน่าคิดพิสมัย นึกอยากได้เนื้อเย็นเปนเจ้าของ
แม้นมีผู้หยิบยกให้ปกครอง จะหาช้องเกล้ามวยไม่ขวยใจ
เอาใบคล้อมาสานบานบ้าร่า ครอบเกศาทั้งพวกเปนหมวกใหญ่
สัณฐานเท่ากระด้งเปนวงใน เวลาใส่ทวนลมต้องก้มเดิน
เห็นคนไทยใช้ตามาออกปราด น่าสวาทฤๅเจ้าอายระคายเขิน
เหมือนเคร่งครัดทัศนาในตาเมิน น่าจะเชิญก่องก๊ายด้วยรายงาม
มีเกือกใส่ปลายงอนค่อนหน้าแข้ง ช่างคิดแผลงกว่าของเราชาวสยาม
แต่ผิวเนื้อเหลือสอาดชาติอานาม ดูนวนงามทีท่าน่านิยม
ฟันก็ดำเหมือนนิลชอบกินหมาก น่ากระชากเชือดแก้มแกล้มขนม
ยอมให้เชยแล้วจะเสยลูกคางชม มิให้ระบมบิดเบือนกระเทือนปราง
แต่ขยาดโฉมตรูเมื่อดูเห็น กลัวจะเหม็นสาบสวยมวยที่หาง
ไม่เหมือนญวนเมืองเราชาวโพงพาง เจ้าเคียนอย่างเจ๊กจีนสิ้นทุกคน
รวบกะบิดยาวเลื้อยเปลือยตลอด เอาผ้าสอดต่อซ้ำร่ำอีกหน
พันกระหม่อมเปนกระบังตั้งอยู่บน ผู้ดีจนเหมือนกันดูขันตา
เสื้อกางเกงรุ่มร่ามว่างามยศ รัดประคตพันพุงยุ่งนักหนา
ชมผู้หญิงตังเกี๋ยเสียเวลา ก็รีบมาตามทางกลางนคร
มีของขายหลายถนนไม่ปนสิ่ง ช่างดีจริงดูเปนตับสลับสลอน
เครื่องลายครามชามกระถางอ่างมังกร เย็บที่นอนฟูกนวมรวมตำบล
ฆ้องระฆังช่างเหล็กหล่อทองเหลือง ทองเดงเครื่องหม้อไหไขว่ถนน
ทำกระดาษพัดพับสัปทน ไม่ปะปนเปนแผนกแยกหนทาง
ที่ทำหีบตั้งโครงต่อโลงผี ทอมู่ลี่ตามถนัดไม่ขัดขวาง
พวกสดึงขึงผังตั้งอยู่กลาง ล้วนแต่นางรุ่นสาวชาวนคร
ที่ช่างมุกฝังไม้ได้หลายอย่าง มีลูกจ้างทำคล่องไม่ต้องสอน
ที่ช่างกลึงนั่งดึงแต่ภมร ถักเปลนอนฟั่นเชือกเลือกซื้อปอ
ร้านขายยาสารพัดกำจัดโรค เมื่อลมโบกหอมระรื่นไม่ขื่นสอ
ขายปลาเค็มหอมกะเทียมเปี่ยมกะทอ อีกทั้งหม้อน้ำปลาตำราแกง
กะปิญวนกลิ่นร้ายมิใช่เล่น เดินมาเห็นแต่กระถางก็คางแขง
แมงดานาเมืองนี้มิเสียแรง ไม่สู้แพงสามสิบหยิบให้ไพ
ที่ทำตู้ต่อเตียงเสียงแต่ขวาน ขยันงานที่จะหามาใส่ไส้
มีกังวลเต็มตัวทั่วกันไป ชั้นไม้ไผ่ก็เจ้ากำไม่ทำแพ
เอาขึ้นบกยกตั้งเหมือนนั่งร้าน แผ่นกระดานท่อนยางวางบนแคร่
ใส่ตะเฆ่ลากดังฟังเหมือนแตร เสียงเซงแซ่เดินไขว่อยู่ไปมา
ที่จักสานก็เปนพวกยิ่งหนวกหู เอารักถูชุบคลุกสมุกฝา
ทั้งห้างจีนก็หลายได้ภรรยา เหมือนเขาว่าเจ๊กเข้าต้มผสมญวน ฯ
๏ ขอหยุดยั้งฟังจะรกหนกหูเหือง ในราวเรื่องภาชนะเขาจะสรวล
ที่ขาดเหลือเจือกันปันจำนวน เอาเปนถ้วนพอดีอย่ามีไภย
แต่เมืองนี้มีขุนพัฒนนัดบ่อนเบี้ย เล่นได้เสียตามสัญญาน่าสงไสย
มีกั๊กเดียวเท่านั้นขันเหลือใจ วัดยาวได้สามวาเขียนตาโต
ออกแต่หน่วยกับสองของคู่ขี้ เจ้ามือมีแจงมาครอบฝาโถ
ไม่คลาดเคลื่อนเหมือนทำที่กำโป เจ๊กญวนโซเพราะเล่นเห็นทยาน
ขอเสมอถือพลองยืนมองกั๊ก สำหรับทักถามไถ่จะได้ขาน
ออกหน่วยสองร้องดังมี่กังวาล หัวเบี้ยขานเสียงใสอยูไกลวง
คอยจับปิดคิดบาญชีมีห้องหับ ฟังเหมือนกับสวดมนตร์บนอาก๋ง
แทงกับเขาไม่เปนเล่นเอางง เหมือนกับลงคู่ขี้มีอากร
อีกทั้งฝิ่นโรงจำนำตามบังคับ ฝรั่งรับเก็บภาษีมีขนอน
ที่กินโดยสุจริตติดจนพลอน มีทุนรอนไม่คะนองถึงย่องเบา
ธรรมเนียมเก็บภาษีมีขึ้นใหม่ แต่ชักใจลูกค้าให้หน้าเหงา
เมื่อจีนกับฝรั่งกำลังเมา ต่างรบเร้าคักคึกเปนศึกกัน
พวกเจ๊กในตังเกี๋ยไม่เสียหาย ก็ค้าขายเต็มที่ดีขยัน
จนสิ้นศึกมีสุขถึงทุกวัน พวกจีนนั้นยิ่งเพิ่มเติมเข้ามา
แต่เดี๋ยวนี้คับใจไปเสียมาก กลัวจะยากด้วยพิกัดขัดหนักหนา
ทั้งภาษีปากลำธรรมดา ถ้าแม้นขาจะเข้าเรียกเอาแรง
เหมือนตัดการค้าขายลงหลายร้อย เปนที่พลอยกดจีนให้กินแหนง
ทั้งภาษีมนุษย์ก็สุดแรง เรียกแฟรงก์ต่อเจ๊กเหมือนเก๊กกัน
ถ้าอย่างน้อยเพียงปีละสี่พวด กระทั่งรวดสามตำลึงถึงสวรรค์
พวกเจ๊กออกกลอกหางเปียละเหี่ยครัน ทุกคืนวันบนซ้ำอยู่ร่ำไป
แต่เงินค่าตัวจีนเปนสินทรัพย์ ผู้กำกับตังเกี๋ยไม่เกลี่ยไกล่
เก็บเอามาตวงถังเข้าคลังใน ถ้านานไปเจ๊กจีนคงสิ้นเมือง
จนสำเภาเข้ามาต้องล่าหนี เห็นภาษีร้ายเหลือเหมือนเสือเหลือง
ถึงจะเปนเจ้าสัวก็กลัวเปลือง มันเข้าเรื่องเสียเปรียบเหยียบนคร
ฝรั่งเศสแสนฉลาดคนชาติเขา ก็ผ่อนเบาภิญโญสโมสร
แต่ชาติอื่นตามถนัดคิดตัดทอน ยิ่งเดือดร้อนกับจีนสิ้นปัญญา
อันเมืองนี้ก็ใหญ่ไม่มีเจ้า ตั้งแต่ท้าวตามบทสืบยศถา
แต่ไปขออนุญาตอำนาจตรา ยังภารากรุงเว้เอกะนาม
อันที่ตั้งก็ฝรั่งเขาตบแต่ง เลือกตำแหน่งแต่พอทั่วเปนรั้วหนาม
หวังจะให้เปนสุขไม่ลุกลาม พองดงามมีประจำเหมือนค้ำชู
ได้มาเห็นญวนขุนนางกลางถนน ขึ้นนอนบนเปลงามเหมือนหามหมู
เอาเสื้อผ้าคลุมมิดปิดประตู เราแลดูนึกว่าศพเมื่อพบพาน
ได้ไต่ถามขุนปราบที่ทราบพจน์ แกรู้หมดบอกแจ้งแถลงสาร
ว่าเปนยศของขุนนางครั้งบุราณ คือองค์กวานนอนไปที่ในเปล
ตัวเจ้าเมืองฮานอยค่อยสง่า เมื่อยาตรางามดีไม่ขี้เหร่
ทำหลังคาเหมือนชิ้นลิ้นทเล คลุมหลังเปลมีม่านคานเขียนลาย
เปนยอดยศกลดมีถึงสี่เล่ม คนกางเต็มข้อล้าจนหน้าหงาย
มีคนถือม่อละกู่ดูแยบคาย แต่งตัวคล้ายพวกกุลีที่นคร
ตำรวจถือดาบแดงแซงไปหน้า เสื้อคร่ำคร่าเดินถนนคนขยอน
มองไม่เห็นตัวท้าวเจ้านคร เหมือนหนึ่งซ่อนอยู่ในเปลเอ้เตตน
แต่ไม่สู้ไปไหนให้ใครเห็น ต่อเมื่อเปนราชการนานๆหน
ฝรั่งเชิญมาเปนหุ่นพอทุ่นคน ในกังวลคอเวอนเมนต์เปนประธาน
นั่นแหละจึ่งได้พบประสบปะ ด้วยธุระสำคัญสันนิษฐาน
ไม่ให้เสียแบบอย่างทางบุราณ แต่กิจการแล้วแต่เขาพวกเคาน์ซิล ฯ
๏ ฝรั่งเศสนั้นอยู่เขตรข้างทิศใต้ สบไถงทุกตำบลถนนหิน
ไม่ปนเปกับเหล่าชาวบุรินทร์ แล้วเปนถิ่นริมน้ำตามสบาย
อันตึกท่านเกาวนาพออาไศรย ไม่สู้ใหญ่โตเหมือนเรือนทั้งหลาย
ที่พื้นบ้านลานถนนกรวดปนทราย พอสบายตัวท้าวเกาวนา
เมืองฮานอยนี้ประเสริฐน่าเกิดผล อยู่ตำบลแม่น้ำตามภาษา
ที่เขาเรียกน้ำแดงแปลงวาจา มีพงศาดารกล่าวยืดยาวความ
ว่าเดิมราชธานีมีกระษัตร ครองสมบัติเรืองเดชทุกเขตรขาม
คือเคโซกรุงใหญ่ในอานาม มีใจความว่าพระโอษฐโชตนา
ตรัสสิ่งใดเปนนั่นพลันเหมือนตรัส จึงดำรัสปราบแม่น้ำตามภาษา
เพราะมีแก่งเกาะดินทั้งศิลา เหลือปัญญาแลอำนาจราษฎร
นิมิตรเปนดินประสิวกำมะถัน ใช้ให้มันไประเบิดเปิดสิงขร
แต่ว่าเลยรับสั่งถูกมังกร ที่ขดนอนอยู่ในวนชลธี
อุทรแตกทำลายวายชีวิต จนโลหิตมันไหลไปเปนสี
กับน้ำท่าปนกันตั้งพันปี ถึงเดี๋ยวนี้ยังไม่หายเปนสายจาง
คนจึงเรียกน้ำแดงให้แจ้งอรรถ มาทราบชัดจำเพาะได้เสาะสาง
ดินประสิวกำมะถันนั้นเปนกลาง มีตัวอย่างมาทุกวันนั่นเปนไร
จะจริงเท็จเด็ดศกศักราช ที่จะอาจรับประกันนั้นไปไหว
ขอตัดทอนแต่ย่อพอเข้าใจ จะกล่าวในประจุบันสู่กันฟัง
เมื่อเจ็ดสิบปีกว่ามาแล้วนั้น ญวนแยกกันสองฝ่ายเมื่อภายหลัง
ข้างใต้เรียกอานัมแต่ลำพัง ข้างเหนือตังเกี๋ยเมืองรุ่งเรืองครัน
เจ้างูเยนเปนกระษัตรอานัมใต้ เกิดมีใจมานะโลภมหันต์
อยากรวบรวมตังเกี๋ยเสียด้วยกัน ให้เปนคันปัถพินแผ่นดินเดียว
จึงยกโยธีคณมารณยุทธ ได้ไว้ดุจดังอำนาจฉลาดเฉลียว
แล้วแตกแยกอีกเล่าไม่เข้าเกลียว เพราะจะเรียวหมดอำนาจขาดชะตา
จนกระทั่งฝรั่งเศสได้เขตรใต้ แล้วอยากได้ตังเกี๋ยเสียด้วยหนา
ด้วยทวีปไม่พอต่อปัญญา จึงเอื้อมมาเอาบุรินทร์ถิ่นฮานอย
หมายจะเปิดน้ำแดงกับแขวงฮ่อ เปนทางพอค้าขายได้ใช้สอย
จึงยกเรือรบนิกรกลับคอนวอย ตีฮานอยไฮฟองสองนคร
ในสี่ห้าพรรษากาลไม่นานเนื่อง เมื่อเสียเมืองหมดอำนาจราษฎร์ขยอน
ฝรั่งตั้งรักษาส่วยอากร ว่าดับร้อนช่วยยกมาปกครอง
จึ่งจัดการตามชอบครอบเอาหมด อำนาจยศฝ่ายเขาเปนเจ้าของ
ต้องเพิ่มทรัพย์คอเวอนเมนต์ลงเปนกอง จ่ายเงินทองเลี้ยงทหารการทั้งปวง ฯ
๏ ครั้นรุ่งขึ้นจะไปเมืองไลเจา ตัวท่านเกาวนาเชิญข้าหลวง
ไปนั่งโต๊ะที่บ้านพอบานทรวง เปนที่หน่วงจิตรสบายข้างฝ่ายไทย
พอสองทุ่มถึงพร้อมน้อมคำนับ เขาก็รับถ้วนหน้าอัชฌาไศรย
กับออฟฟิเซอมีชื่อที่ซื่อใจ ถัดลงไปนงเยาวเกาวนา
เมื่อนั่งโต๊ะรับประทานอาหารนั้น ต่างจำนรรไต่ถามตามภาษา
แต่คุณพระขุนปราบทราบสารา อาตมาสามคนนั่งจนกลอน
แลดูตาเขาปริบๆแล้วหยิบกับ พยักรับพูดไม่ออกเหมือนหลอกหลอน
เสื้อกางเกงที่เราใส่มิใช่ปอน เหมือนอาภรณ์ของพวกมองซิเออ
แต่ต้องเปนมองซิอำพนำอยู่ มีแต่หูก็ได้ยินกินเสมอ
เขาพูดจาตามชอบออฟฟิเซอ เมื่อดิเนอกับท้าวเกาวนา
เราจะพูดออกไปข้างไทยบ้าง อ้าปากค้างตามกันขันนักหนา
ช่างหนักอกหนักใจในปัญญา สักแต่ว่าอิ่มท้องไม่ต้องฟัง
พอเสร็จเลี้ยงในกมลว่าพ้นทุกข์ มีความสุขด้วยสมอารมณ์หวัง
แล้วท่านเกาวนาเชิญตรามัง กรของตังเกี๋ยท้าวเจ้าอานาม
ดวงหนึ่งนั้นยื่นให้พระไพรัช ท่านน้อมหัดถรับตำแหน่งแห่งสยาม
แล้วกล่าวคำปราไสยเปนใจงาม ว่าตรานามนี้ชั้นคอมมันเดอ
แล้วยื่นให้หลวงคำณวนควรขนาน น้อมประสานมือรับคำนับเสมอ
ในตรานั้นชื่อชั้นออฟฟิเซอ ได้เสมอกับขุนปราบเปนลาภยศ
แต่ตัวเรากับฝ่ายนายบรรหาร ก็เทียมฐานศักดิ์ศรีมีกำหนด
ในชั้นเชอวะเลียตังเกี๋ยลด น้อมประนตเปนคำนับลำดับกัน
เขาปราไสยว่าฝ่ายเขตรสยาม กับอานามให้เปนเฉกเอกฉันท์
จงตั้งอยู่ตามฉบับชั่วกัปกัลป์ ทั้งสัมพันธมิตรสนิทเนา
ยังซ้ำว่าถ้าขึ้นไปปลายตังเกี๋ย การส่งเสียขัดขวางทางอับเฉา
จงบอกมาให้ประจักษ์สำนักเรา ด้วยมีเสาสายลิขิตทุกทิคทาง
แล้วต่างคนต่างลาด้วยปรารภ ข้าหลวงครบพร้อมหน้าเวลาสาง
กับเซนเยมแบตแวลแสนสำอาง ผู้นำทางขึ้นป่ามหาวัน
ลงเรือรบมาตามแม่น้ำใหญ่ ดูทิวไม้สองฝั่งเหมือนรังสรรค์
ล้วนทุ่งนาเตียนลาดสอาดครัน ทางจรัลริมแม่น้ำตามสบาย
ทั้งเรือกสวนลิ้นจี่มีเหมือนป่า เข้าโภชสาลีก็ถูกเขาปลูกขาย
มีตึกเทพารักษ์หักทำลาย บ้างจมทรายพังลงในคงคา ฯ
๏ ครั้นถึงเมืองซองไทพอบ่ายบด ตามกำหนดจอดพักสำนักท่า
ได้ขึ้นเยี่ยมเรซิเดนเปนเวลา กำลังอาพาธอยู่ไม่สู้สบาย
เขาก็รับเปนแพนกแขกมาถึง ไม่มึนตึงบิดเยือนเหมือนสหาย
ทั้งเหล้าเบียชาถ้ำน้ำตาลทราย ตั้งโต๊ะลายเชิญคำนับรับประทาน
ในตึกท่านเรซิเดนเปนสง่า มีปืนผาสำหรับเมืองเครื่องทหาร
กับของจีนครั้งปฐมบุรมบุราณ เกาทัณฑ์ขวานหอกง้าวเหลาฉะโอน
ทั้งหน้าไม้ปืนยาสารพัด เขาตั้งจัดโอ่โถงเหมือนโรงโขน
เปนของพวกธงดำที่ทำโจร ไม่อ่อนโอนกับอาวุธต้องยุทธนา
เมื่อในสองสามปีกลียุค ฝรั่งรุกขึ้นมาราญหาญนักหนา
ทั้งเจ๊กญวนพร้อมพรักมีศักดา มรณาลงด้วยกันอนันตัง
แต่พวกจีนบรรไลยลงไปมาก ถึงแก่ลากเอาศพไปกลบฝัง
ครั้นจะอยู่สู้เสือเหลือกำลัง หนีฝรั่งออกวิ่งทิ้งนคร
เรซิเดนจึ่งเอาเปนโรงทหาร สร้างตึกบ้านอยู่สบายไม่ถ่ายถอน
กว้างยาวสักสี่เส้นเปนที่ดอน ถางหญ้าบอนเตียนดีไม่มีรก
มีหอคอยเปนหลักสูงสักเส้น สำหรับเห็นคาดคะเนทำเลบก
เปนของเก่าเกือบจะพังเหมือนรังนก กิ่งไม้ปกปิดคลุมชุ่มตะไคร
อันป้อมนี้แข็งแรงหินแลงล้วน ก่อประมวญหนาแน่นแผ่นก็ใหญ่
ทั้งเชิงเทินถมซ้อนอยู่ตอนใน ขุดคูไว้จนขอบรอบปราการ
ไม่น่าจะพ่ายแพ้แก่ข้าศึก ช่างมานึกหมดมานะของทหาร
ฤๅเหลือจะประทังกำลังทาน ไม่เชี่ยวชาญปืนผาสิ้นท่าทาง
ข้างนอกป้อมมีถนนผู้คนน้อย เครื่องใช้สอยทั้งหลายมีขายบ้าง
หากินตามชาวบ้านเปนปานกลาง มีหอห้างนิดหน่อยค่อยเจริญ
โรงทหารตึกตั้งสิบหลังกว่า คอยรักษากลียุคเมื่อฉุกเฉิน
ดินขึ้นเปนถนนบนเชิงเทิน ผู้คนเดินไม่สู้ต่ำเหมือนกำแพง
ได้พักอยู่พอรุ่งอรุณไข แล่นต่อไปตามย่านเปนบ้านแขวง
พอถึงแม่น้ำดำคำแสดง เปนที่แห่งพวกจีนถิ่นอุดร
ยังตั้งอยู่มากมายกว่าหลายหมื่น ไกลลูกปืนฝรั่งเศสเขตรสิงขร
หนทางเรือเหลือยากลำบากจร เปนแก่งก้อนหินซัดเหมือนอัฒจันท์
แต่น้ำนั้นดำขลับเหมือนกับกล่าว สืบเรื่องราวไม่รู้ดูก็ขัน
เห็นจะมีของประจำอยู่สำคัญ เขาพูดกันแร่เหล็กข้างเจ๊กชุม ฯ
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย