30 ต.ค. เวลา 10:00 • การศึกษา
ประเทศไทย

#คดีพิพาทเกี่ยวกับอดีตหัวหน้าส่วนการคลัง องค์การบริหารส่วนตำบล (ผู้ฟ้องคดี)

ถูกกล่าวหาว่ากระทำการทุจริตและถูกไล่ออกจากราชการ เนื่องจากมีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณโดยทุจริต ไม่มีรายละเอียดและหลักฐานประกอบการเบิกจ่าย
" ชนใดประพฤติธรรม ในธรรมที่พระพุทธเจ้ากล่าวดีแล้ว​ ชนเหล่านั้นจักข้ามแดนมฤตยูที่ข้ามได้ยาก" (พุทธภาษิต)
#ข้อเท็จจริง
#ผู้ฟ้องคดี นายสาว ช. (ผู้ฟ้องคดี) อดีตหัวหน้าส่วนการคลัง องค์การบริหารส่วนตำบล ส. และผู้อำนวยการกองคลัง องค์การบริหารส่วนตำบล บ.
#ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 นายกองค์การบริหารส่วนตำบล บ.
#ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2 องค์การบริหารส่วนตำบล บ.
#ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 คณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัด
#ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4 คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ
1. #นาย ส. นายก อบต.ส. (ในขณะนั้น) ร้องทุกข์กล่าวโทษว่ามีการเบิกจ่ายเงินงบประมาณโดยทุจริต ไม่มีรายละเอียดและหลักฐานประกอบการเบิกจ่าย
2. #สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาค (สตง.) ได้ดำเนินการตรวจสอบการใช้จ่ายเงินงบประมาณขององค์การบริหารส่วนตำบล ส. ในช่วงเวลาตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2547 จนถึงวันที่ 10 สิงหาคม 2550
#ผลการตรวจสอบของ สตง.
#พบความผิดปกติของระบบการเงินและบัญชี โดยเฉพาะการไม่จัดทำเอกสารทางบัญชีที่สำคัญตามระเบียบ ได้แก่
#ไม่มีการบันทึกบัญชี
#ไม่มีสมุดเงินสดรับ
#ไม่มีสมุดเงินสดจ่าย
#ไม่มีใบผ่านรายการบัญชีมาตรฐาน
#ไม่มีใบผ่านระบบบัญชีทั่วไป
#ไม่จัดทำทะเบียนเงินรายรับ
#ไม่จัดทำทะเบียนเงินรายจ่ายตามงบประมาณ
#ไม่จัดทำทะเบียนเงินรับฝาก
#ไม่มีใบนำส่งเงิน
#ไม่มีรายการจัดทำเช็ค
#ไม่มีเอกสารอื่น ๆ เพื่อให้ สตง. ตรวจสอบตามระเบียบ
#ผู้ฟ้องคดีร่วมดำเนินการเบิกจ่ายเงินโดยไม่มีฎีกาประกอบ และมีการเบิกจ่ายเงินเกินมูลค่าหนี้ที่ต้องชำระ รวมถึงการนำเงินเข้าบัญชีตนเองโดยไม่มีเอกสารหลักฐานยืนยันสิทธิ
#พบว่ามีเงินขาดบัญชี จำนวน 4,988 บาท จากการนำส่งภาษีต่าง ๆ ไม่ครบถ้วน และได้มีการนำส่งคืนเรียบร้อยแล้ว
3. #ป.ป.ช. ได้ไต่สวนและมีมติชี้มูลความผิดผู้ฟ้องคดีในข้อหาปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์อันมิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ และจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ฯลฯ อันเป็นเหตุให้ราชการเสียหายอย่างร้ายแรง
4. #คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4) มีมติชี้มูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงและทางอาญาแก่ผู้ฟ้องคดี
5. #นายกองค์การบริหารส่วนตำบล บ. (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) มีคำสั่งลงโทษไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ โดยอ้างอิงมติของ ป.ป.ช.
6. #นายสาว ช. (ผู้ฟ้องคดี) อดีตหัวหน้าส่วนการคลัง องค์การบริหารส่วนตำบล ส. และผู้อำนวยการกองคลัง องค์การบริหารส่วนตำบล บ. ถูกกล่าวหาว่ากระทำการทุจริตและถูกไล่ออกจากราชการ
7. #องค์การบริหารส่วนตำบล บ. (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 2) หน่วยงานที่ผู้ฟ้องคดีสังกัดในขณะถูกลงโทษ
8. #คณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัด (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3) มีมติเห็นชอบให้ไล่ผู้ฟ้องคดีออกจากราชการ
 
9. #ข้อเท็จจริงที่ศาลรับฟัง (ส่วนใหญ่มาจากรายงานการไต่สวนของ ป.ป.ช.)
#การเบิกจ่ายโดยไม่มีฎีกา/หลักฐาน ผู้ฟ้องคดีร่วมกับบุคคลอื่นลงลายมือชื่อในเช็คและใบถอนเงินเพื่อเบิกจ่ายเงินจากบัญชีเงินฝากกระแสรายวันและออมทรัพย์หลายครั้งโดยไม่มีการจัดทำฎีกาประกอบการเบิกจ่าย
#เบิกจ่ายเงินเกินมูลค่าหนี้ มีการเบิกจ่ายเงินเกินจากเงินเดือนที่ต้องจ่าย หรือเบิกเกินค่าตอบแทน โดยไม่ปรากฏหลักฐานว่าเป็นค่าใช้จ่ายประเภทใด
#เช็คสั่งจ่ายเข้าบัญชีตนเอง มีรายการเช็คสั่งจ่ายให้ผู้ฟ้องคดี 2 ครั้ง และรายการโอนเงินเกินจากเงินเดือนเข้าบัญชีผู้ฟ้องคดีหลายครั้ง โดยไม่มีฎีกา/หลักฐานประกอบ
#การไม่จัดทำเอกสารทางบัญชี ไม่มีการบันทึกบัญชี สมุดเงินสดรับ-จ่าย ใบผ่านรายการบัญชีมาตรฐาน ทะเบียนเงินรายรับ-จ่าย ฯลฯ ตามระเบียบ
#ผลสอบสวนความรับผิดทางละเมิด คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดเห็นว่าผู้ฟ้องคดีไม่ดำเนินการปิดบัญชีตามระเบียบ และมีการเบิกจ่ายเงินโดยไม่มีฎีกาและเอกสารประกอบ รวม 14 รายการ เป็นเงิน 2,039,574.67 บาท และให้ผู้ฟ้องคดีคืนเงิน 1,923,657.19 บาท
#บทวิเคราะห์คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อบ. 240/2567.
1. #อำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้ฟ้องคดี
 
#ในฐานะหัวหน้าส่วนการคลัง ผู้ฟ้องคดีมีอำนาจหน้าที่สำคัญในการตรวจสอบความถูกต้องครบถ้วนของเอกสารประกอบฎีกา และพิจารณาให้ความเห็นชอบในการอนุมัติเบิกจ่ายให้เป็นไปตามกฎหมายและระเบียบราชการ รวมถึงการลงลายมือชื่อถอนเงินจากบัญชีของ อบต. ร่วมกับบุคคลอื่น
#ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน ฯลฯ พ.ศ. 2547 กำหนดชัดเจนว่าต้องจัดทำฎีกาการเบิกจ่ายเงินพร้อมเอกสารประกอบให้ครบถ้วนถูกต้อง และได้รับอนุมัติจากผู้มีอำนาจ หากไม่มีฎีกา จะเบิกจ่ายเงินงบประมาณไม่ได้
2. #พฤติการณ์ที่ถูกกล่าวหาและข้อเท็จจริงที่ศาลรับฟัง
 
#การเบิกจ่ายโดยไม่มีฎีกา/หลักฐาน ผู้ฟ้องคดีร่วมกับบุคคลอื่นลงลายมือชื่อในเช็คและใบถอนเงินเพื่อเบิกจ่ายเงินจากบัญชีเงินฝากหลายครั้ง (ทั้งบัญชีกระแสรายวันและออมทรัพย์) โดยไม่มีการจัดทำฎีกาประกอบการเบิกจ่าย
#เช็คสั่งจ่ายเข้าบัญชีตนเอง มีเช็ค 2 ฉบับ รวม 17,313.04 บาท ระบุสั่งจ่ายเงินให้ผู้ฟ้องคดี โดยไม่มีฎีกาประกอบ
#การโอนเงินเกินจากเงินเดือน มีการโอนเงินเกินจากเงินเดือนที่ต้องจ่ายให้ผู้ฟ้องคดีและบุคคลอื่นอีกหลายครั้ง โดยไม่ปรากฏหลักฐานว่าเป็นค่าใช้จ่ายประเภทใด (เช่น ก.ค. 48 จำนวน 12,884.67 บาท, ส.ค. 48 จำนวน 14,801.66 บาท, ก.ย. 48 จำนวน 12,537.69 บาท)
#การไม่จัดทำเอกสารทางบัญชี รายงานของสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินภูมิภาค (สตง.) พบว่าไม่มีการบันทึกบัญชี สมุดเงินสดรับ-จ่าย ใบผ่านรายการบัญชีมาตรฐาน ทะเบียนเงินรายรับ-จ่าย ฯลฯ ตามระเบียบ ซึ่งเป็นข้อบกพร่องร้ายแรงในระบบการควบคุมภายใน
#ผลสอบสวนความรับผิดทางละเมิด คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดระบุว่าผู้ฟ้องคดีไม่ดำเนินการปิดบัญชีตามระเบียบ และมีการเบิกจ่ายเงินโดยไม่มีฎีกาและเอกสารประกอบรวม 14 รายการ เป็นเงิน 2,039,574.67 บาท และกำหนดให้ผู้ฟ้องคดีคืนเงิน 1,923,657.19 บาท
3. #ข้อต่อสู้ของผู้ฟ้องคดีและการพิจารณาของศาลปกครอง
 
#ข้ออ้างว่า สตง. ไม่พบการทุจริต ผู้ฟ้องคดีอ้างว่า สตง. เพียงแต่พบการไม่จัดทำบัญชี แต่ไม่พบการทุจริต ศาลปกครองเห็นว่า แม้ สตง. จะไม่ได้ระบุว่าเป็นการทุจริตโดยตรง แต่พฤติการณ์ที่ปรากฏ (การเบิกจ่ายโดยไม่มีหลักฐาน การโอนเงินเข้าบัญชีตนเองโดยไม่มีสิทธิ) ประกอบกับหน้าที่ของผู้ฟ้องคดี ย่อมแสดงถึงการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
#ข้ออ้างปริมาณงานมาก ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าปริมาณงานมาก งานถ่ายโอนหลายโครงการ และมีเจ้าหน้าที่น้อย ทำให้จัดทำเอกสารบัญชีไม่ทัน ศาลปกครองวินิจฉัยว่าข้ออ้างนี้ฟังไม่ขึ้น เนื่องจากเป็นความรับผิดชอบในตำแหน่งหน้าที่ที่ต้องดำเนินการให้ถูกต้องตามระเบียบ
#ข้ออ้างคำสั่งไม่ชอบด้วยกฎหมาย (เนื่องจากยังรอผลทบทวนมติ ป.ป.ช.) ผู้ฟ้องคดีอ้างว่าการออกคำสั่งลงโทษโดยไม่รอผลการทบทวนมติ ป.ป.ช. เป็นคำสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ศาลปกครองวินิจฉัยว่า แม้ผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิขอทบทวนมติ แต่ไม่มีบทบัญญัติใดกำหนดให้ผู้มีอำนาจสั่งลงโทษต้องชะลอการมีคำสั่งลงโทษไว้
#พยานหลักฐานใหม่ในชั้นอุทธรณ์ ผู้ฟ้องคดีนำเสนอพยานหลักฐานใหม่เพื่อแสดงความเสียหายที่ลดลง ศาลปกครองเห็นว่าเป็นพยานหลักฐานที่จัดทำขึ้นเองและไม่ได้รับการรับรอง จึงฟังไม่ขึ้น
4. #การวินิจฉัยของศาลปกครองในประเด็นการทุจริตและความผิดวินัยร้ายแรง
 
#ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า การที่ผู้ฟ้องคดีนำเงินตามจำนวนที่ระบุในเช็คเข้าบัญชีเงินฝากของตนเองโดยไม่มีเอกสารหลักฐาน และไม่มีข้อเท็จจริงยืนยันว่ามีสิทธิได้รับเงินดังกล่าวโดยชอบ ถือเป็นการแสวงหาประโยชน์ที่ไม่ควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย ทำให้ตนได้รับประโยชน์จากทางราชการ ซึ่งเป็นเหตุให้เสียหายแก่ทางราชการและ อบต.ส.
#การกระทำนี้เข้าข่าย "ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ" และยังเข้าข่าย "ปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยจงใจไม่ปฏิบัติตามกฎหมาย ระเบียบ ฯลฯ อันเป็นเหตุให้เสียหายแก่ทางราชการอย่างร้ายแรง" ซึ่งทั้งสองกรณีเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงตามประกาศคณะกรรมการพนักงานส่วนตำบลจังหวัด
#มติชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช. และคำสั่งลงโทษไล่ออกจากราชการของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1 โดยความเห็นชอบของผู้ถูกฟ้องคดีที่ 3 จึงชอบด้วยกฎหมายแล้ว
#คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดนี้ แสดงให้เห็นถึงการพิจารณาอย่างถี่ถ้วนในเรื่องความรับผิดทางวินัยของเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่เกี่ยวข้องกับการเงินและการบัญชี ซึ่งต้องปฏิบัติตามระเบียบอย่างเคร่งครัด
ศาลเน้นย้ำถึงอำนาจหน้าที่และความรับผิดชอบของผู้ฟ้องคดีในฐานะหัวหน้าส่วนการคลัง และเห็นว่าการกระทำของผู้ฟ้องคดีที่เบิกจ่ายเงินโดยไม่มีเอกสารหลักฐานครบถ้วน มีการนำเงินเข้าบัญชีตนเองโดยไม่มีสิทธิ และการไม่จัดทำเอกสารทางบัญชีที่ถูกต้องตามระเบียบ
ถือเป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการและเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง แม้ผู้ฟ้องคดีจะอ้างเหตุผลเรื่องปริมาณงานที่มาก แต่ศาลเห็นว่าไม่สามารถนำมาอ้างเพื่อละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบได้ การที่ศาลยืนยันคำพิพากษาศาลปกครองชั้นต้นที่ยกฟ้อง แสดงให้เห็นว่าคำสั่งไล่ออกจากราชการเป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมายแล้ว
#ข้อสังเกตคำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อบ. 240/2567.
1. #การชี้มูลความผิดของ ป.ป.ช. และผลผูกพัน
#บทบาทของ ป.ป.ช. (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 4) ศาลปกครองสูงสุดให้ความสำคัญกับบทบาทของ ป.ป.ช. ในการไต่สวนและมีมติชี้มูลความผิดทางวินัยอย่างร้ายแรงและทางอาญา คำวินิจฉัยของ ป.ป.ช. ถือเป็นสำนวนการสอบสวนทางวินัยที่ผูกพันผู้บังคับบัญชา (ผู้ถูกฟ้องคดีที่ 1) ให้ดำเนินการลงโทษทางวินัยตามที่ ป.ป.ช. ชี้มูล โดยไม่ต้องแต่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนวินัยอีกตาม พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2542 มาตรา 92 วรรคหนึ่ง
#การไม่รอผลการทบทวนมติ ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยยืนยันว่า แม้ผู้ถูกกล่าวหามีสิทธิร้องขอให้ ป.ป.ช. ทบทวนมติ แต่ไม่มีบทบัญญัติใดกำหนดให้ผู้มีอำนาจสั่งลงโทษทางวินัยต้องชะลอการมีคำสั่งลงโทษไว้ก่อน สะท้อนถึงหลักการที่ต้องการให้กระบวนการลงโทษทางวินัยดำเนินไปอย่างรวดเร็วและเด็ดขาด เมื่อมีหลักฐานชัดเจน
2. #พฤติการณ์ที่เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง (ฐานทุจริต)
#การเบิกจ่ายโดยไม่มีหลักฐาน/ฎีกา การที่ผู้ฟ้องคดีร่วมกับบุคคลอื่นลงลายมือชื่อในเช็คและใบถอนเงินเพื่อเบิกจ่ายเงินจากบัญชีของ อบต. โดยไม่มีการจัดทำฎีกาประกอบการเบิกจ่ายหลายครั้ง เป็นพฤติการณ์ที่ร้ายแรงและขัดต่อระเบียบการเงินการคลังของท้องถิ่นอย่างชัดเจน (ระเบียบกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยการรับเงิน การเบิกจ่ายเงิน ฯลฯ พ.ศ. 2547 ข้อ 40 และ 41)
#การนำเงินเข้าบัญชีตนเองโดยไม่มีสิทธิ ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับกรณีที่มีเช็คสั่งจ่ายให้ผู้ฟ้องคดี 2 ครั้ง และการโอนเงินเกินจากเงินเดือนเข้าบัญชีผู้ฟ้องคดีหลายครั้ง โดยไม่มีเอกสารหลักฐานยืนยันสิทธิในการได้รับเงินนั้น ถือเป็นการ "แสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบด้วยกฎหมาย เพื่อให้ตนได้รับประโยชน์จากทางราชการ" ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ
#ความเชื่อมโยงกับความเสียหายของราชการ ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยเน้นย้ำว่า การกระทำของผู้ฟ้องคดีเป็น "เหตุให้เสียหายแก่ทางราชการและองค์การบริหารส่วนตำบล ส." และความเสียหายดังกล่าวเป็นผลโดยตรงจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ
3. #การตีความ "ทุจริตต่อหน้าที่" ในกฎหมาย ป.ป.ช.
#ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยอ้างอิง พ.ร.บ. ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ. 2561 มาตรา 4 ซึ่งนิยามคำว่า "ทุจริตต่อหน้าที่" ว่าหมายถึง "ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติอย่างใดในตำแหน่งหรือหน้าที่ ... เพื่อแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้โดยชอบสำหรับตนเองหรือผู้อื่น" การวินิจฉัยของศาลสอดคล้องกับนิยามนี้อย่างเคร่งครัด โดยพิจารณาจากพฤติการณ์ที่ผู้ฟ้องคดีได้ประโยชน์จากการไม่ปฏิบัติตามระเบียบ
4. #ข้ออ้าง "ปริมาณงานมาก" ฟังไม่ขึ้น
#ผู้ฟ้องคดีพยายามต่อสู้ โดยอ้างว่าปริมาณงานในส่วนการคลังมีมาก มีงานถ่ายโอนหลายโครงการ และเจ้าหน้าที่ไม่เพียงพอ ทำให้ไม่สามารถจัดทำเอกสารทางบัญชีได้ทัน แต่ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า "ไม่อาจรับฟังได้" สะท้อนให้เห็นว่าหน้าที่ความรับผิดชอบของหัวหน้าส่วนการคลังในการควบคุมดูแลการเงินการบัญชีเป็นเรื่องสำคัญและต้องปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ไม่สามารถอ้างเหตุผลดังกล่าวเพื่อละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามระเบียบได้
5. #สถานะของรายงาน สตง. และผลสอบสวนความรับผิดทางละเมิด
#สตง. ตรวจสอบพบความผิดปกติ ไม่ใช่การรับรองว่าไม่ทุจริตผู้ฟ้องคดีอ้างว่า สตง. ไม่ได้รายงานว่ามีการทุจริต แต่ศาลชี้แจงว่าการตรวจสอบของ สตง. เป็นการตรวจพบ "ความผิดปกติของระบบการเงินและบัญชี" และ "การไม่จัดทำเอกสารทางบัญชี" ซึ่งเป็นข้อมูลที่สนับสนุนว่ามีการกระทำที่ไม่ถูกต้อง และไม่ได้แปลว่าไม่มีการทุจริต
#ผลสอบสวนความรับผิดทางละเมิด ศาลปกครองสูงสุดยังนำรายงานผลการสอบสวนของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิดมาประกอบการพิจารณา ซึ่งสรุปว่าผู้ฟ้องคดีไม่ดำเนินการปิดบัญชีและมีการเบิกจ่ายเงินโดยไม่มีหลักฐาน ทำให้เกิดความเสียหายและต้องคืนเงินจำนวนมาก ซึ่งตอกย้ำถึงพฤติการณ์ที่ผิดปกติและเข้าข่ายทุจริต
6. #การนำเสนอพยานหลักฐานใหม่ในชั้นอุทธรณ์
#ผู้ฟ้องคดีพยายามนำเสนอ พยานหลักฐานใหม่ในชั้นอุทธรณ์เพื่อแสดงว่าความเสียหายลดลง แต่ศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยว่า "เป็นพยานหลักฐานที่จัดทำขึ้นเองและไม่ได้มีการรับรองจากผู้มีหน้าที่รับผิดชอบ จึงฟังไม่ขึ้น" แสดงให้เห็นว่าศาลปกครองสูงสุดวินิจฉัยให้ความสำคัญกับความน่าเชื่อถือและความสมบูรณ์ของพยานหลักฐานที่นำเสนอ
#คำพิพากษาฉบับนี้ เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าศาลปกครองพิจารณาการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐอย่างเข้มข้นในประเด็นการทุจริต โดยพิจารณาจากอำนาจหน้าที่ ความรับผิดชอบ พฤติการณ์การกระทำ การแสวงหาประโยชน์ที่มิควรได้ และผลกระทบต่อทางราชการ โดยไม่รับฟังข้ออ้างที่ไม่สามารถพิสูจน์หรือรับรองได้ตามระเบียบกฎหมาย การไม่ปฏิบัติตามระเบียบทางการเงินการคลัง แม้จะอ้างเหตุผลใด ๆ หากนำไปสู่การได้ประโยชน์ส่วนตนหรือทำให้ราชการเสียหาย ก็อาจถูกวินิจฉัยว่าเป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรงฐานทุจริตได้
ที่มา : คำพิพากษาศาลปกครองสูงสุดที่ อบ. 240/2567.
ผู้เรียบเรียง รศ.ดร.เศรษฐวัฒน์ โชควรกุล ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่ได้รับจากการเผยแพร่บทความวิชาการทุกบทความอันเป็นวิทยาทานและธรรมทานให้แด่ดวงจิตคุณพ่อศักดา โชควรกุล (บิดาผู้ล่วงลับของผู้เรียบเรียง)
โฆษณา