31 ต.ค. เวลา 02:30 • หุ้น & เศรษฐกิจ

“Day of the Dead” เทศกาลแห่งความตาย ที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ของชาวเม็กซิโก

พอสิ้นสุดเดือนตุลาคม ก็เหมือนหมดฤดูกาลของเทศกาลปล่อยผี อย่างฮาโลวีน
แต่รู้หรือไม่ สำหรับในบางประเทศ กลับเป็นช่วงเวลาที่เทศกาลของโลกหลังความตาย กำลังจะเริ่มต้นขึ้น..
โดยเทศกาลที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี้ ก็คือ “Day of the Dead” เทศกาลสำคัญในประเทศเม็กซิโก ที่ UNESCO ได้ขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกทางวัฒนธรรมที่จับต้องไม่ได้ของมนุษยชาติ
และถึงแม้จะเป็นวันปล่อยผีคล้าย ๆ กับเทศกาลฮาโลวีน แต่ Day of the Dead กลับถ่ายทอดความรู้สึกที่ระลึกถึงวิญญาณที่ล่วงลับได้อย่างอบอุ่น
ที่สำคัญ ยังเป็นหนึ่งในเทศกาลที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และสร้างรายได้ให้กับคนในชุมชนอีกด้วย
แล้ว Day of the Dead มีความสำคัญอย่างไรกับประเทศเม็กซิโก ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
Day of the Dead หรือ El Día de los Muertos มีความหมายว่า “วันแห่งความตาย”
เป็นเทศกาลของชาวเม็กซิโก ที่ว่ากันว่าสานต่อกันมานานกว่า 3,000 ปี เพื่อเป็นการให้เกียรติ และระลึกถึงวิญญาณของบรรพบุรุษ หรือบุคคลที่ล่วงลับไปแล้ว
แต่นอกจากประเทศเม็กซิโกที่เป็นถิ่นกำเนิดแล้ว ประเทศบางส่วนในแถบอเมริกากลางและใต้ รวมทั้งกลุ่มคนชาวละตินในต่างประเทศก็ให้ความสนใจเทศกาลนี้เช่นกัน
ส่วนสำหรับแฟน ๆ ดิสนีย์ก็อาจจะคุ้นภาพเทศกาลนี้ ผ่านแอนิเมชันเรื่อง Coco ที่สตูดิโอ Pixar ได้นำเรื่องราวของโลกหลังความตายมาถ่ายทอด ที่สามารถกวาดรายได้จากทั่วโลกได้สูงราว 26,500 ล้านบาท
จนเรียกได้ว่า Coco มีส่วนช่วยทำให้วัฒนธรรม Day of the Dead เป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม พอพูดถึงโลกแห่งความตาย บางคนอาจสับสนว่า Day of the Dead และเทศกาลปล่อยผีในวันฮาโลวีน มีความเกี่ยวเนื่องกัน
แต่จริง ๆ แล้ว ทั้งสองเทศกาลนี้มีความแตกต่างทางวัฒนธรรมโดยสิ้นเชิง
เพราะแม้ว่าเทศกาลวันฮาโลวีน และ Day of the Dead จะมีความเชื่อที่คล้าย ๆ กันในเรื่อง “โลกหลังความตาย” หรือเป็นวันที่วิญญาณทั้งหลายจะได้หวนคืนสู่โลกมนุษย์
แต่สำหรับเทศกาล Day of the Dead จะแตกต่างตรงที่ชาวเม็กซิโกจะต้อนรับวิญญาณเหล่านั้นอย่างอบอุ่น ราวกับคนในครอบครัวที่ไม่ได้เจอกันนานแสนนาน
ซึ่งการเฉลิมฉลองนี้จะรายล้อมไปด้วยความสุข เต็มไปด้วยสีสัน เพื่อเฉลิมฉลองชีวิตของผู้ที่จากไป
โดยจะจัดแท่นบูชาที่ประดับประดาไปด้วยดอกไม้, รูปภาพ, ของที่ระลึก, เทียนหอม และเครื่องหอมที่ส่งกลิ่นไม้หอม ประจำท้องถิ่นของชาวเม็กซิโก
นอกจากนั้น ยังเริ่มมีงานพาเหรดที่ผู้คนจะแต่งหน้าเป็นรูปหัวกะโหลก และแต่งตัวให้เหมือนกับโครงกระดูกเดินได้
ที่น่าสนใจคือ การแต่งกายลักษณะนี้ ได้แรงบันดาลใจมาจาก ผลงานศิลปะในประวัติศาสตร์ของชาวเม็กซิโก ที่รู้จักกันในชื่อ “La Calavera Catrina” ผลงานของคุณ José Guadalupe Posada ศิลปินผู้มีชื่อเสียงในยุค 1900
โดยผลงานชิ้นนี้ถูกวาดขึ้นมาเป็นโครงกะโหลกใส่หมวกหรูหรา เพื่อเสียดสีคนเม็กซิโก ที่ลืมรากเหง้าของตัวเอง ซึ่งเป็นอารยธรรมดั้งเดิม อย่างแอซเท็กและมายา จากการรุกล้ำด้วยอารยธรรมใหม่จากทางแถบยุโรป
และผลงานนี้ ยังถูกนำมาดัดแปลงอีกหลายครั้ง ซึ่งหนึ่งชิ้นที่โด่งดังมาก ๆ ก็คือ “ลา กาตรินา” หญิงสาวโครงกระดูกในชุดสไตล์วิกตอเรียนที่หรูหรา โดยคุณ Diego Rivera จิตรกรฝาผนังชาวเม็กซิโก
ดังนั้นเทศกาลนี้จึงไม่ได้จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองอย่างสนุกสนานเท่านั้น
แต่ยังเป็นการสืบสานประเพณีที่ทรงคุณค่ามาอย่างยาวนาน และยังผสมผสานงานศิลปะที่เสียดสีสังคมในประวัติศาสตร์ของชาวเม็กซิโก
สำหรับเทศกาล Day of the Dead นี้ จะเริ่มต้นตั้งแต่เที่ยงคืนวันที่ 31 ตุลาคม ไปจนถึงวันที่ 2 พฤศจิกายน
โดยวันที่ 1 พฤศจิกายน จะระลึกถึงเด็ก ๆ ที่จากโลกไปก่อนวัยอันควร
ส่วนวันที่ 2 พฤศจิกายน จะเป็นการให้เกียรติแด่ผู้ใหญ่
และที่น่าสนใจอีกอย่างก็คือ เทศกาล Day of the Dead นี้ ก็ยังเป็นส่วนช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจในชุมชนให้กับคนเม็กซิโกอีกด้วย
เนื่องจากดอกไม้, ผีเสื้อ และหัวกะโหลก เป็นสัญลักษณ์ของเทศกาล Day of the Dead
โดยเฉพาะ “ดอกไม้” ที่เป็นตัวแทนของดอกไม้แห่งความตาย ก็คือ “Cempasuchil” หรือ “ดอกดาวเรืองเม็กซิโก” เพราะถูกใช้กันอย่างแพร่หลายในเทศกาลนี้
โดยจะโรยดอกดาวเรืองไปทั่วตามทางเดิน, หน้าหลุมศพ และแท่นบูชา ตามความเชื่อที่ว่ากลิ่นหอมฟุ้งกรุ่นและสีสันที่สดใสของดอกไม้ชนิดนี้ จะช่วยนำทางเหล่าวิญญาณไปยังแท่นบูชา
ดังนั้นในช่วงก่อนถึงงานเทศกาล Day of the Dead ดอกดาวเรืองจำนวนมหาศาลจะถูกปลูกขึ้น และขายกันอย่างครึกครื้น
เกษตรกรในเม็กซิโกจึงทำการเพาะปลูกดอกดาวเรือง ในปริมาณที่สูงมากเพื่อรองรับความต้องการในช่วงเทศกาลนี้โดยเฉพาะ
อย่างในปี 2018 มีการปลูกต้นดาวเรืองมากถึง 72,000 ตัน ซึ่งเติบโตจากปี 2016 ถึง 437% และในปี 2019 ดอกดาวเรืองกว่า 300,000 ดอกจาก Teléforo ฟาร์มดอกไม้ในประเทศเม็กซิโกถูกขายหมดภายในเวลาเพียง 3 วัน
เรียกได้ว่า นอกจาก เทศกาล Day of the Dead จะสร้างคุณค่าทางจิตใจแล้ว ยังสร้างรายได้ให้กับชุมชนอีกด้วย..
References :
- Unesco, Businessinsider, Surfandsunshine, Afar, Forbes, Peoplesworld
โฆษณา