1 พ.ย. เวลา 06:39 • ความคิดเห็น
คำว่า "อริย (ariya) " ไทยเรายืมมาจากทั้งภาษาสันสกฤต และภาษาบาลี ซึ่งทั้งสองภาษา แม้จะเขียนไม่เหมือนกัน แต่มีความหมายตรงกัน คือหมายถึงความสูงส่ง เมื่อนำมาสมาสกับคำว่า "บุคคล" พจนานุกรมไทยจึงให้หมายถึง บุคคลผู้ประพฤติธรรม จนบรรลุความจริงอันสูงส่ง และมีความหลุดพ้นจากกิเลสในระดับต่างๆ
คำว่าหลุดพ้นกิเลสในระดับต่างๆ ของบุคคลที่ได้ชื่อว่าเป็น "อริยบุคคล" ไล่ตั้งแต่ต่ำสุด คือพระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ซึ่งหากบรรลุขั้นสุดคือพระอรหันต์ จะไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก, พระอนาคามี ยังกลับมาเกิดได้อีก แต่จะไมกลับมาเกิดบนโลกมนุษย์ จะได้ไปเกิดในพรหมโลกเท่านั้น ภาษาบ้านๆ คือพระอนาคามี ติดลมบนไปแล้ว พวกเราที่ยังเป็นมนุษย์ไม่มีทางได้เห็น หรือสัมผัสท่านหรอกค่ะ
ส่วนพระสกิทาคามี และพระโสดาบัน ยังจะต้องกลับมาเกิดในโลกมนุษย์ เพื่อกระทำความเพียรอีกครั้ง พระสกิทาคามี จะต้องเพียรตัดตัณหาและความยึดติด ก่อนจะไต่ระดับ แต่พระโสดาบัน จะต้องเหนื่อยกว่าพระสกิทาคามีหลายเท่าตัว แต่จะได้อานิสงส์ คือได้เกิดในสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการปฏิบัติธรรม ภาษาบ้านๆ คือ จะได้เกิดเป็นมนุษย์ นักบวช พระ พรหมณ์ นักพรต ฤาษีชีไพร บาสหลวง หรืออิมาม มุฟตี ซุเลาะห์ etc. ได้หมด ไม่จำกัดว่าจะนับถือศาสนาใด ขอแค่ให้อยู่ในสภาพแวดล้อมที่เอื้อ ต่อการปฏิบัติความเพียรที่จะละ ตัณหา โลภ และโทสะ
แต่ละมื้อแต่ละเดย์
ระเบิดก็ลง ไรเฟิลก็ปุ๊งๆ
เสียงล้อรถพาไปทุ่งสังหารก็ฮึ่มๆ
แต่เหล่านี้ก็คือ "ธรรมะตามคำสอนพระสัมมาล้วนๆ"
จึงตัดสินไม่ได้ว่าสภาพแวดล้อมที่กล่าวมา
มันเอื้อต่อการปฏิบัติไหม
...........................
แต่หากท่านเป็นอริยบุคคลจริงๆ
เป็นพระสกิทาคามี หรือพระโสดาบัน
ท่านก็เพียงใช้สติปัญญากระทำความเพียรไป
ไม่ติดเพียงความสงบ ฉันจะนั่งสมาธิในป่าทั้งวันทั้งคืน
ก็ไม่น่าจะใช่ของจริง หรือเปล่า?
โฆษณา