3 พ.ย. เวลา 10:34 • การศึกษา

ขยะหลังเสา เมื่อโจทย์เล็กสามารถเป็นบทเรียนใหญ่

ในรายวิชาท่องโลกวิศวกรรม นิสิตชั้นปีที่ 1 ที่ต้องทำโครงงานแบบการคิดเชิงออกแบบ (Design Thinking) ภายในเวลาเพียง 6 สัปดาห์ เพื่อจุดประกายแรงจูงใจภายใน จึงมีการเปิดโอกาสให้นิสิตเลือกหัวข้อเองในกลุ่มประเด็นใหญ่ที่เลือกเอง ทำให้มักมีปัญหาในการกำหนดประเด็นปัญหาย่อยเพื่อนำมาศึกษาต่อ
เป้าหมายของการทำโครงการคือเพื่อให้นิสิตเริ่มการเปลี่ยนผ่านจากโครงงานวิทยาศาตร์ที่คุ้นชินในสมัยมัธยม มักมีครูกำหนดหัวข้อและขั้นตอนการทำงาน มาเป็นโครงการทางวิศวกรรมที่ต้องทำความเข้าใจผู้คนผ่านการคิดเชิงออกแบบและการคิดเป็นระบบว่าปัญหาที่แท้จริงคืออะไร จะหาทางแก้ได้อย่างไร และมีปฏิสัมพันธ์กับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องได้อย่างไร
นิสิตบางส่วนอาจเป็นห่วงว่าประเด็นปัญหามีผลกระทบมากแค่ไหน รู้สึกร่วมมากหรือไม่ หรือเป็นปัญหาที่อยากแก้จริง ๆ หรือไม่ ฯลฯ แต่เนื่องจากวิชานี้เป็นรายวิชาบังคับที่นิสิตไม่ให้ความสำคัญเท่าวิชาพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ หรือวิศวกรรมศาสตร์ ที่คะแนนแย่และถอนกันเยอะ แถมยังตัดเกรดอิงเกณฑ์แบบมีเกณฑ์ชัดเจน นิสิตส่วนนี้ขอแค่สะสมคะแนนพอผ่านขั้นต่ำของเกรดก็พอใจแล้ว
ในมุมมองของผู้สอน การเลือกประเด็นปัญหาที่สำคัญที่สุดคือสามารถตอบเป้าหมายการเรียนรู้ขั้นต่ำได้และมีความปลอดภัยทางกายภาพ เหตุการณ์หรือสถานการณ์ที่ยกมาเริ่มไม่จำเป็นต้องซับซ้อน ไม่ต้องยิ่งใหญ่ หรือเปลี่ยนโลกได้ โจทย์ที่ดูเรียบง่ายเมื่อปัญหามีคนมาเกี่ยวข้องด้วย ก็จะกลายเป็นปัญหาที่มีความซับซ้อนในทันที
เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผู้เขียนได้ไปจอดรถในที่จอดรถใต้ดิน เห็นขยะพวกถุง แก้วน้ำพลาสติก และกระป๋องเครื่องดื่ม วางอยู่ด้านหลังของช่องจอดรถและที่หลังเสา ถ้าขับรถผ่านอาจมองไม่เห็น แต่ถ้าจอดใกล้ ๆ จะเห็นชัด ทั้งที่ถังขยะก็อยู่ห่างออกไปไม่กี่เมตรตรงประตูทางเข้าออก
คำถามคือ...ทำไมถึงยังมีคนวางขยะไว้ตรงนั้น?
โดยทั่วไปเมื่อเกิดปัญหาทิ้งขยะแบบนี้ โซเชียลมีเดียมักบอกว่าเป็นปัญหาด้านจิตสำนึกของคน ผู้ทิ้งขยะไม่มีความรับผิดชอบหรือสำนีกต่อสังคม แต่ในมุมของผู้ที่เริ่มเรียนรู้กระบวนการคิดเชิงออกแบบ การทำความเข้าใจ (Empathy) ต้องพยายามทำความเข้าใจปัญหาด้วยใจเป็นกลาง ไม่ด่วนตัดสินว่าใครผิด แต่ตั้งคำถามว่าเพราะอะไรถึงเกิดขึ้น
การทำความเข้าใจไม่ได้หมายถึงการเข้าไปถามตรง ๆ เสมอไป การถามผู้ใช้ลานจอดรถโดยเฉพาะที่วางขยะทิ้งไว้โดยตรงอาจนำมาซึ่งคำตอบที่ปกป้องตัวเอง หรือบางครั้งอาจกลายเป็นสถานการณ์ที่ไม่สบายใจสำหรับทั้งสองฝ่าย บางคนอาจรู้สึกถูกตำหนิหรืออาจเกิดการโต้เถียงหรือเป็นอันตรายได้
ดังนั้น นิสิตจึงต้องพิจารณาผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ เช่น ผู้ใช้ที่จอดรถ พนักงานขนส่งหรือคนส่งของ พนักงานทำความสะอาดที่จอดรถ พนักงานจอดรถ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ผู้จัดการอาคารหรือผู้ดูแลพื้นที่ พนักงานดูแลความสะอาดหรือพนักงานอาคารส่วนหน้า ฯลฯ สร้างและวิเคราะห์บุคลิกผู้ใช้จำลอง (Persona) เพื่อหาวิธีทำความเข้าใจและเก็บข้อมูลที่เหมาะสม เช่น การสังเกต การพูดคุยกับพนักงานที่ดูแลพื้นที่ หรือแม้แต่การดูถังขยะและระบบรอบข้างซึ่งอาจส่งผลต่อพฤติกรรมโดยไม่รู้ตัว
โจทย์นี้อาจดูเล็ก แต่ในการลงมือทำครั้งแรกไม่ง่าย ความเข้าใจผู้คนไม่ได้เกิดจากการเดา แต่มาจากการออกไปพบจริงๆ นิสิตหลายคนไม่มั่นใจที่จะเดินเข้าไปคุยกับคนที่ไม่รู้จัก ถามคำถามที่รู้สึกไม่มั่นใจ คำตอบที่ไม่ตรงกับความคิดของตนเอง การติดต่อเพื่อขอสัมภาษณ์หรือข้อมูล การสังเกตโดยไม่ตัดสิน ฯลฯ นั่นคือ ต้องกล้าออกจากเขตสบายของตัวเอง เพื่อมองโลกผ่านสายตาของผู้อื่น และเข้าใจปัญหาจริงจากบริบทที่ไม่คุ้นเคย
เพราะเมื่อใดที่มีคนเข้ามาเกี่ยวข้อง ปัญหานั้นย่อมซับซ้อนทันที ต้องมีการหาสาเหตุผ่านการเข้าใจระบบทั้งหมดที่หล่อหลอมพฤติกรรมนั้นขึ้นมา และเมื่อเริ่มเข้าใจรากของปัญหาจึงจะสามารถนิยามปัญหาได้อย่างถูกทิศทาง ไม่มีสมการสำเร็จรูป ไม่มีคำตอบที่ถูกต้องเพียงหนึ่งเดียว
นั่นคือ เมื่อใดที่มีคนเข้ามาเกี่ยวข้อง ปัญหานั้นย่อมไม่ใช่แค่เรื่องของเทคนิคอีกต่อไป กลายเป็นระบบที่ซับซ้อน มีอารมณ์ ความคาดหวัง ความเข้าใจผิด และแรงจูงใจที่แตกต่างกันซ่อนอยู่
สำหรับนิสิตวิศวกรรมศาสตร์ นี่เป็นบทเรียนที่ท้าทายมาก เพราะเราเคยชินกับการหาคำนวณหาคำตอบที่ถูกต้องที่สุด แต่คำตอบเดียวที่แน่นอนไม่มีอยู่จริง สิ่งที่ทำได้คือการเรียนรู้ที่จะฟังอย่างตั้งใจ สังเกตอย่างไม่ตัดสิน และยอมรับว่าความซับซ้อนของมนุษย์คือส่วนหนึ่งของการออกแบบ
โฆษณา