6 พ.ย. เวลา 03:23 • หุ้น & เศรษฐกิจ

ทำความรู้จัก “ตราสารหนี้แบ่งตามการจ่ายดอกเบี้ย” แต่ละชนิดเหมาะกับช่วงไหนของเศรษฐกิจ?

เวลาพูดถึงการลงทุนในตราสารหนี้ หลายคนมักมองภาพรวมแค่ “ความเสี่ยงต่ำ รายได้สม่ำเสมอ” แต่ความจริงคือ ตราสารหนี้มีหลายรูปแบบ และวิธีจ่ายดอกเบี้ยก็มีผลอย่างมากต่อผลตอบแทนและความเสี่ยงของพอร์ตลงทุน
ในบทความนี้ Wealthy Thai จะพาทุกท่านมารู้จักกับตราสารหนี้ตามรูปแบบการจ่ายดอกเบี้ย 3 ประเภทหลัก
ประเภทของตราสารหนี้แบ่งตามการจ่ายดอกเบี้ย
1) ตราสารหนี้แบบดอกเบี้ยคงที่ (Fixed Coupon Bond)
ตราสารหนี้ประเภทนี้จ่ายดอกเบี้ยด้วยอัตราที่กำหนดตายตัวตลอดอายุสัญญา เช่น 3% ต่อปี ดังนั้นผู้ลงทุนจะรู้แน่นอนตั้งแต่แรกว่าเงินรับคืนจะเป็นเท่าไหร่
ข้อดีของตราสารหนี้ประเภทนี้คือมีรายได้แน่นอน เหมาะสำหรับคนที่ต้องการความมั่นคงของรายได้, กระแสเงินสดคงที่, และการวางแผนการเงินล่วงหน้าอย่างแม่นยำ เช่น ผู้เกษียณหรือผู้ต้องการดอกเบี้ยเป็นรายได้เสริมสม่ำเสมอ นอกจากนี้ หากดอกเบี้ยตลาดปรับลง ตราสารหนี้ประเภทนี้ ก็จะเป็นที่ต้องการสูง เพราะยังคงให้ดอกเบี้ยในอัตราเท่าเดิมแม้ดอกเบี้ยทั่วตลาดจะลดลง ส่งผลให้ราคาตราสารหนี้แบบคงที่ราคาขึ้นด้วย
แต่ข้อเสียคือ หากดอกเบี้ยตลาดปรับขึ้น ราคาตราสารหนี้แบบดอกเบี้ยคงที่ก็มีโอกาสปรับลดลงด้วยเช่นกัน เพราะนักลงทุนจะหันไปเลือกตราสารที่ให้ผลตอบแทนสูงกว่าในตลาด ทำให้ตราสารประเภทนี้ไม่โดดเด่นช่วงดอกเบี้ยขาขึ้น
2) ตราสารหนี้แบบดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Rate Bond)
ตราสารหนี้แบบดอกเบี้ยลอยตัวจะขยับอัตราดอกเบี้ยตามภาวะตลาด โดยจะปรับตามอัตราอ้างอิง เช่น THOR, THBFIX, หรือ MLR แปลว่าเมื่อดอกเบี้ยตลาดขยับ ผลตอบแทนของเราก็โอกาสขยับตาม
ข้อดีของตราสารหนี้แบบดอกเบี้ยลอยตัวคือ มันสามารถเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงในช่วงดอกเบี้ยขาขึ้นได้ดี เพราะการที่ดอกเบี้ยตราสารหนี้ปรับขึ้นตามดอกเบี้ยตลาด ก็ช่วยให้รายได้ยังคงสามารถแข่งขันกับระดับดอกเบี้ยอื่นๆ ในระบบได้ แถมความผันผวนของราคาตราสารหนี้ประเภทนี้ ก็จะน้อยกว่าตราสารหนี้แบบดอกเบี้ยคงที่ด้วย ในสถานการณ์ดอกเบี้ยปรับขึ้นต่อเนื่อง
แต่ข้อควรระวังคือ หากเศรษฐกิจกลับเข้าสู่รอบดอกเบี้ยขาลง รายได้ที่ได้รับก็อาจลดลงเช่นกัน นักลงทุนจึงต้องรับได้กับรายได้ที่ไม่แน่นอน
3) ตราสารหนี้อิงเงินเฟ้อ (Inflation-Linked Bond)
ตราสารประเภทนี้ออกแบบมาเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อโดยตรง โดยทั้งดอกเบี้ยหรือเงินต้นอาจปรับเพิ่มตามดัชนีเงินเฟ้อ เช่น CPI (Consumer Price Index) ทำให้ มูลค่าที่แท้จริงของเงินลงทุนไม่หายไปตามค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้น
ข้อดีคือ เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่กังวลเรื่องกำลังซื้อในระยะยาว เช่น นักลงทุนระยะยาวที่ให้ความสำคัญกับความมั่งคงของทุนมากกว่าการเก็งกำไรส่วนต่าง
แต่ก็มีข้อจำกัด เพราะช่วงที่เงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ ผลตอบแทนอาจไม่โดดเด่นเท่าตราสารหนี้แบบดอกเบี้ยคงที่ และเนื่องจากตราสารหนี้ประเภทนี้มีรายละเอียดและกลไกภายในที่ซับซ้อนกว่า เช่น การปรับตามเงินเฟ้อหรือสูตรการคำนวณผลตอบแทนที่ไม่เหมือนตราสารหนี้ทั่วไป ทำให้เหมาะกับนักลงทุนที่เข้าใจภาพเศรษฐกิจ และต้องการใช้มันเป็นเครื่องมือบริหารความเสี่ยงในพอร์ตมากกว่าซื้อไว้รับดอกเบี้ยเฉยๆ
มุมมองกลยุทธ์: แบบไหนควรใช้เมื่อไหร่
ถ้าดอกเบี้ยตลาดปรับลง: ตราสารหนี้แบบดอกเบี้ยคงที่มักทำผลงานได้ดีที่สุด เพราะนักลงทุนล็อคอัตราผลตอบแทนได้ล่วงหน้า และราคาตราสารหนี้ชนิดนี้มีโอกาสปรับขึ้นท่ามกลางดอกเบี้ยทั่วไปที่ลดลง
ถ้าดอกเบี้ยขึ้น: ตราสารหนี้แบบดอกเบี้ยลอยตัวตอบโจทย์มากกว่า เพราะรายได้มีโอกาสเพิ่มตามดอกเบี้ยตลาด ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงที่ราคาตราสารหนี้จะปรับลงท่ามกลางดอกเบี้ยตลาดที่สูงขึ้น
ถ้าเงินเฟ้อเร่งตัว: ตราสารหนี้อิงเงินเฟ้อจะช่วยรักษากำลังซื้อ ไม่ให้มูลค่าเงินลดลงตามราคาสินค้าที่แพงขึ้น
ทั้งนี้ นักลงทุนมืออาชีพมักจะจัดพอร์ตแบบ “ผสมกลยุทธ์” เพื่อให้พอร์ตสามารถรับมือได้หลายสถานการณ์ ไม่ต้องลุ้นเศรษฐกิจทิศเดียวเสมอ
สรุป
การเลือกตราสารหนี้ไม่ได้ดูแค่ “อัตราดอกเบี้ย” เท่านั้น แต่คือการเข้าใจวิธีการคำนวณดอกเบี้ย, โครงสร้างรายได้, ความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ในตราสารหนี้แต่ละชนิด และจังหวะของวัฏจักรเศรษฐกิจ ด้วย
ซึ่งถ้ามี mindset นี้ การลงทุนในตราสารหนี้จะไม่ใช่แค่ ทางเลือกที่ปลอดภัยเท่านั้น แต่จะกลายเป็นเครื่องมือวางกลยุทธ์พอร์ตที่ชาญฉลาด เพื่อสร้างสมดุลระหว่างความมั่นคงและผลตอบแทนในทุกช่วงตลาด
โฆษณา