เมื่อวาน เวลา 13:03

ปฏิบัติการโลก กวาดล้างอาณาจักร 'เฉิน จื้อ -Prince Group' โยงสแกมเมอร์กัมพูชา

  • นานาชาติ นำโดยสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักร เปิดปฏิบัติการกวาดล้างเครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติของ "เฉิน จื้อ" และ Prince Group ในกัมพูชา
  • Prince Group ถูกระบุว่าเป็นองค์กรอาชญากรรมที่อยู่เบื้องหลังศูนย์สแกมเมอร์ มีส่วนเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์และบังคับใช้แรงงานเพื่อหลอกลวงเหยื่อ (Pig Butchering)
  • ทางการหลายประเทศ เช่น สหรัฐฯ สิงคโปร์ ไต้หวัน และฮ่องกง ได้ร่วมกันอายัดและยึดทรัพย์สินของเครือข่ายเฉิน จื้อ ทั้ง Bitcoin, อสังหาริมทรัพย์ และบัญชีธนาคาร มูลค่ามหาศาล
ในช่วงเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ ปฏิบัติการประสานงานของนานาชาติได้ส่งคลื่นแห่งความสั่นสะเทือนเข้าสู่เครือข่ายอาชญากรรมข้ามชาติที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้ฉากหน้าของธุรกิจยักษ์ใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เป้าหมายคือการรื้อถอนจักรวรรดิที่สร้างขึ้นบนการค้ามนุษย์ สแกมเมอร์ และการหลอกลวงทางไซเบอร์
โดยมีแกนนำหลักคือ "เฉิน จื้อ" ประธาน Prince Group ในกัมพูชา และ "ตระกูลไป๋" ผู้ทรงอิทธิพลในเมียนมา ซึ่งเผชิญหน้ากับมาตรการลงโทษที่เด็ดขาดที่สุดเท่าที่เคยมีมา
ฐานเศรษฐกิจ รวบรวมเรื่องราวของไทม์ไลน์ที่แสดงให้เห็นว่า เมื่อประชาคมโลกผนึกกำลังกัน แม้แต่กำแพงแห่งการฟอกเงินที่ซับซ้อนที่สุดก็มิอาจต้านทานได้
จุดเริ่มต้นของมาตรการกดดัน
14 ตุลาคม 2568 เรื่องราวเริ่มต้นขึ้นอย่างดุดันเมื่อ เฉิน จื้อ (Chen Zhi) นักธุรกิจหนุ่มวัย 37-38 ปี ประธานและผู้ก่อตั้งกลุ่มธุรกิจ Prince Group ที่มีฐานในกัมพูชา ถูกกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ (DOJ) ดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันกระทำความผิดฐานฉ้อโกงทางอินเทอร์เน็ต (wire fraud) และสมคบคิดฟอกเงิน
ทางการสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรได้ประกาศคว่ำบาตรครั้งใหญ่ต่อเฉิน จื้อ และผู้ที่เกี่ยวข้องรวม 146 ราย และบริษัทกว่า 100 แห่ง โดยระบุให้ Prince Group เป็น "องค์กรอาชญากรรมข้ามชาติ"
ข้อกล่าวหาที่น่าตกใจคือ Prince Group มีส่วนในการพัฒนาและบริหาร "ศูนย์สแกมเมอร์" ในกัมพูชา ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผู้คนถูกคุมขัง ทารุณกรรม และถูกบังคับใช้แรงงานเพื่อทำการหลอกลวงให้เหยื่อลงทุนในคริปโต หรือที่รู้จักกันในนาม “Pig Butchering” หรือที่เรียกกันว่า 'กลลวงแบบเชือดหมู' "
อาชญากรรมเหล่านี้ได้ทำลายชีวิตผู้คนหลายพันคนและสร้างความเสียหายหลายพันล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ เฉินยังเผชิญข้อกล่าวหาว่าติดสินบนเจ้าหน้าที่รัฐกัมพูชาด้วยเรือยอชต์มูลค่า 3 ล้านดอลลาร์ (ราว 98 ล้านบาท) เพื่อปกป้องสิ่งปลูกสร้างที่ใช้ในการสแกม
ปฏิบัติการที่สั่นสะเทือนวงการเงินดิจิทัล
17 ตุลาคม 2568 ทางการสหรัฐฯ ได้ส่งสัญญาณเตือนด้วย การริบทรัพย์ Bitcoin (BTC) จากนายเฉินไปกว่า 127,000 เหรียญ ซึ่งมีมูลค่าสูงถึง 15,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 490,000 ล้านบาท) การยึดทรัพย์สินทางดิจิทัลในครั้งนี้ได้รับการบันทึกว่าเป็น ครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ
การคว่ำบาตรนี้ส่งผลกระทบถึงสถาบันการเงินในเอเชียทันที โดย สส. เกาหลีใต้เปิดเผยเมื่อวันที่ 20 ตุลาคม 2568 ว่า Prince Group ได้ ซุกเงินฝาก ในธนาคารสัญชาติเกาหลีใต้ 5 แห่งในสาขากัมพูชา มากกว่า 90,000 ล้านวอน (ราว 2,000 ล้านบาท)
ธนาคารเกาหลีใต้ทั้ง 5 แห่ง (รวมถึง KB Kookmin, Jeonbuk, Woori, และ Shinhan Bank) ต้องทำการ อายัดบัญชี ของ Prince Group ในกัมพูชาตามมาตรการคว่ำบาตรระหว่างประเทศ
ขณะที่ในกัมพูชาเอง คณะกรรมการบริหารการพนันเชิงพาณิชย์แห่งกัมพูชา (CGMC) ได้เริ่มดำเนินการ เมื่อกลางเดือนตุลาคมได้มีการ ระงับใบอนุญาต กาสิโน Silver Star ในเมืองบาเวต หลังบุกเข้าตรวจค้นและ จับกุมชาวต่างชาติ 23 คน ที่ถูกระบุว่าเป็นหัวหน้าศูนย์สแกม
ปิดล้อมทางเศรษฐกิจ
ขณะที่เฉิน จื้อ และผู้ร่วมขบวนการถูกตั้งข้อหาและฟ้องร้องแบบไม่ปรากฏตัวในศาลนิวยอร์ก แต่เครื่องจักรทางกฎหมายและการเงินทั่วโลกได้เริ่มไล่ล่าทรัพย์สินของพวกเขาอย่างจริงจัง
30 ตุลาคม 2568 การยึดทรัพย์ครั้งใหญ่ เมื่อตำรวจสิงคโปร์ประกาศ ยึดและออกคำสั่งห้ามจำหน่ายทรัพย์สิน รวมมูลค่ากว่า 150 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ (ราว 115 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) ที่เชื่อมโยงกับเฉิน จื้อ ทรัพย์สินที่ถูกอายัดนี้ครอบคลุม อสังหาริมทรัพย์ 6 แห่ง, เรือยอชต์, รถยนต์ 11 คัน และสุราหรู
2 พฤศจิกายน 2568 สำนักงานตำรวจแห่งชาติกัมพูชาได้สั่ง ปิดคาสิโน 4 แห่ง ของ Jin Bei Group (ซึ่งมีความเชื่อมโยงใกล้ชิดกับ Prince Group) เนื่องจากต้องสงสัยลักลอบกระทำการฉ้อโกงทางออนไลน์
5 พฤศจิกายน 2568 รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาแห่งชาติและรองประธานธนาคารกลางสิงคโปร์ (MAS) ฉี ฮ้อง ตัด ยืนยันต่อรัฐสภาว่า เฉิน จื้อ และผู้เกี่ยวข้อง กำลังถูกตำรวจสิงคโปร์สอบสวนในคดีฟอกเงิน พร้อมประกาศ เพิกถอนสิทธิประโยชน์ทางภาษี ของสำนักงานบริหารสินทรัพย์ครอบครัว (Single Family Office) สองแห่งที่เชื่อมโยงกับบุคคลในเครือ Prince Group
โทษประหารสำหรับตระกูลมาเฟีย
ในขณะที่โลกกำลังไล่ล่าเครือข่ายในกัมพูชา การปราบปรามเครือข่ายสแกมเมอร์อีกกลุ่มที่ทรงอิทธิพลในเมียนมาก็ถึงจุดแตกหัก
เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 ศาลประชาชนกลางในเมืองเซินเจิ้น มณฑลกวางตุ้งของจีน ได้ตัดสิน ประหารชีวิต 5 สมาชิกระดับสูงของ "มาเฟียตระกูลไป๋" ซึ่งเป็นแก๊งอาชญากรรมที่อยู่เบื้องหลัง ศูนย์สแกมเมอร์หลายสิบแห่งในภูมิภาคโกก้าง (Kokang) ทางตอนเหนือของเมียนมา
ตระกูลไป๋ได้หันมาทำธุรกิจหลอกลวงในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยตั้ง ศูนย์ปฏิบัติการหลอกลวง 41 แห่ง ในโกก้าง ซึ่งเกี่ยวข้องกับเม็ดเงินมูลค่ามหาศาลกว่า 29,000 ล้านหยวน หรือกว่า 1.32 แสนล้านบาท
สมาชิกตระกูลไป๋และพวกพ้อง 21 คน ถูกตัดสินว่ามีความผิดในอาชญากรรมมากมาย เช่น ฉ้อโกง, ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา, และทำร้ายร่างกาย โดยการกระทำของพวกเขาเป็นเหตุให้พลเมืองชาวจีนเสียชีวิต 6 ศพ และตัดสินใจจบชีวิตตัวเองอีก 1 ราย
โดย "ไป๋ ซั่วเฉิง" หัวหน้าแก๊ง และ "ไป๋ อิงชาง" ผู้เป็นลูกชาย เป็นสองในห้าผู้ที่ถูกตัดสินประหารชีวิต
การไล่ล่าทรัพย์สินทั่วเอเชีย
การประสานงานของนานาชาติยืนยันว่าไม่มีที่ใดในโลกที่ปลอดภัยสำหรับเงินที่ได้มาอย่างผิดกฎหมายจากเครือข่าย Prince Group
4 พฤศจิกายน 2568 สำนักงานอัยการเขตไทเปได้บุกจู่โจม 47 จุด, จับกุมผู้ต้องสงสัย 25 คน และยึดทรัพย์สินที่เชื่อมโยงกับ Prince Group มูลค่ารวมกว่า 4.5 พันล้านดอลลาร์ไต้หวัน (ราว 5.4 พันล้านบาท)
ทรัพย์สินที่ถูกยึดถูกระบุว่ารวมถึง อสังหาริมทรัพย์ 18 แห่ง (มูลค่า 4,010 ล้านบาท) รวมถึงห้องชุดสุดหรู 11 ห้อง ในโครงการ Peace Palace และ รถยนต์หรู 26 คัน อาทิ Rolls-Royce, Ferrari, และ Lamborghini อัยการระบุว่าเครือข่ายนี้ใช้บริษัทบังหน้าในหลายประเทศในการฟอกเงินก่อนจะนำมาซื้อทรัพย์สินเหล่านี้
ในวันเดียวกัน ทางการฮ่องกงได้ประกาศ อายัดทรัพย์สิน มูลค่ารวม 2,750 ล้านดอลลาร์ฮ่องกง (ประมาณ 11,500 ล้านบาท) ที่เชื่อมโยงกับกลุ่มอาชญากรข้ามชาติ ซึ่งสื่อท้องถิ่นระบุว่าเป็น Prince Group
ทรัพย์สินที่ถูกอายัดประกอบด้วย เงินสด, หุ้น, และกองทุน สหรัฐฯ ยังได้ขึ้นบัญชีดำบริษัทในฮ่องกงอย่างน้อย 18 แห่ง ที่เชื่อมโยงกับเครือข่ายนี้ ซึ่งรวมถึงบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สองแห่ง คือ Khoon Group และ Geotech Holdings
ด้าน สำนักงานสรรพากรแห่งชาติเกาหลีใต้ (NTS) เริ่ม สอบสวนภาษี บริษัทสาขาของ Prince Group ในกรุงโซล เนื่องจากถูกสงสัยว่าจัดตั้งบริษัทที่ปรึกษาอสังหาริมทรัพย์เพื่อระดมทุนจากนักลงทุนเกาหลีใต้ และ โอนเงินไปยังกัมพูชาเพื่ออำพรางรายได้จากอาชญากรรมออนไลน์
การสอบสวนนี้เกิดขึ้นหลังมีการส่งตัวชาวเกาหลีใต้ 64 คน ที่ถูกควบคุมตัวในกัมพูชาในข้อหามีส่วนร่วมในขบวนการหลอกลวงทางออนไลน์กลับประเทศ
จะเห็นได้ว่าการปฏิบัติการดำเนินไปอย่างรวดเร็วและเป็นวงกว้างตั้งแต่กลางเดือนตุลาคมถึงต้นเดือนพฤศจิกายน 2568 ได้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประเทศต่าง ๆ ทั้งสหรัฐฯ, สหราชอาณาจักร, สิงคโปร์, เกาหลีใต้, ไต้หวัน, ฮ่องกง และจีน ในการปกป้องพลเมืองและระบบการเงินของตน
การดำเนินการเหล่านี้ส่งสารที่ชัดเจนว่า "การรื้อถอนจักรวรรดิอาชญากรรมที่สร้างขึ้นบนการบังคับใช้แรงงานและการหลอกลวง" ได้เริ่มต้นขึ้นแล้วในระดับโลก เพื่อเจาะทำลายเครือข่ายใยแมงมุมที่เชื่อมต่อกันระหว่างธุรกิจที่ถูกกฎหมายกับอาชญากรรมไซเบอร์ที่ซับซ้อน ไม่ให้สามารถดำรงอยู่ได้อีกต่อไป
โฆษณา