7 พ.ย. เวลา 03:08 • ธุรกิจ

💸 "Meta กับเศรษฐกิจสีเทา": เมื่อแพลตฟอร์มโฆษณากลายเป็นเครื่องจักรทำเงินของมิจฉาชีพ (Scammer)

ถอดรหัสจาก Reuters "เมื่อ 10% ของรายได้ทั้งหมดของ Meta อาจมาจาก Scam และ Meta ก็รู้...แต่เลือกจะนิ่ง"
====
💥 ภาพสะท้อนที่น่ากลัวของเศรษฐกิจดิจิทัลยุคใหม่?
* หากมีข่าวหนึ่งที่เขย่าวงการเทคโนโลยีระดับโลกในปลายปี 2025 ได้มากที่สุด คงหนีไม่พ้นรายงานเชิงสืบสวนของ Reuters ที่เปิดโปงเอกสารภายในของ Meta Platforms "บริษัทแม่ของ Facebook, Instagram และ WhatsApp”  ที่ระบุอย่างชัดเจนว่า
“ราว 10% ของรายได้ทั้งหมดในปี 2024 มาจากโฆษณาที่เข้าข่ายหลอกลวง (Scam Ads) หรือสินค้าต้องห้าม”
* ตัวเลขนี้มีความหมายมหาศาลในเชิงเศรษฐกิจ เพราะหาก Meta มีรายได้ต่อปีราว 160,000 ล้านดอลลาร์ นั่นหมายถึงกว่า 16,000 ล้านดอลลาร์ มาจากโฆษณาที่ “รู้ทั้งรู้ว่าไม่ถูกต้องตามกฎหมาย” แต่ยังคงปล่อยให้หมุนเวียนอยู่บนแพลตฟอร์มของตน
* นี่ไม่ใช่เพียงความบกพร่องทางเทคนิค แต่คือ “โมเดลธุรกิจสีเทา” ที่พัฒนาอย่างเงียบๆ ภายใต้แรงกดดันทางรายได้และการแข่งขันด้าน AI ที่ต้องใช้เงินลงทุนระดับหมื่นล้านเหรียญต่อปี
ในเชิงโครงสร้าง Meta ไม่ได้เป็นเพียงผู้ให้บริการพื้นที่โฆษณา  แต่กลายเป็น “โครงสร้างพื้นฐานของเศรษฐกิจมิจฉาชีพโลก” โดยไม่รู้ตัว (หรืออาจรู้ตัวแต่ไม่กล้าแตะ เพราะแตะแล้วกระทบงบการเงินโดยตรง)
====
🧠 จาก “แพลตฟอร์มเชื่อมคน” สู่ “ฐานข้อมูลของสแกมเมอร์”
* เอกสารของ Reuters เปิดเผยว่า ภายใน Meta เองมีการวิเคราะห์และจัดหมวดหมู่โฆษณา “ที่มีความเสี่ยงสูง” (High-Risk Ads) โดยระบบอัตโนมัติสามารถตรวจจับได้ถึง 15,000 ล้านชิ้นต่อวัน ที่มีลักษณะเข้าข่ายหลอกลวง เช่น การขายของปลอม การพนันออนไลน์ หรือการลงทุนเท็จ
* และที่น่าตกใจกว่านั้นคือ แทนที่ Meta จะลบโฆษณาเหล่านี้ออก ระบบกลับเลือกใช้กลไกที่เรียกว่า “Penalty Bids”  การ ขึ้นค่าโฆษณาให้แพงขึ้น สำหรับผู้ลงโฆษณาที่ระบบ “สงสัยว่าเป็นสแกมเมอร์”
* กล่าวอีกอย่างคือ แทนที่จะบล็อกผู้ร้าย Meta กลับให้พวกเขาจ่ายแพงขึ้น เพื่อแลกกับสิทธิ์ในการโฆษณาต่อไป  กลไกที่ในเชิงเศรษฐกิจนั้นไม่ต่างจาก “การเก็บค่าคุ้มครองดิจิทัล”
นี่คือจุดที่โมเดล Ad Tech เผยด้านมืดของมันอย่างชัดเจน คือ เมื่อระบบถูกออกแบบให้ “ผลตอบแทนทางรายได้” มาก่อน “ความถูกต้องทางจริยธรรม” ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ แพลตฟอร์มที่เลี้ยงชีพด้วยความเสี่ยงของผู้ใช้เอง
====
⚙️ "วงจรอุบาทว์ของอัลกอริทึม Facebook?” เมื่อยิ่งโดนหลอก ยิ่งเห็นโฆษณาหลอกมากขึ้น
* ข้อมูลภายในของ Meta ยืนยันอีกว่า หากผู้ใช้เผลอคลิกโฆษณาหลอกลวงเพียงครั้งเดียว ระบบ “Ad Personalization” จะเข้าใจทันทีว่า นี่คือสิ่งที่คุณสนใจ และจะป้อนโฆษณาประเภทเดียวกันซ้ำอีกครั้งและอีกครั้ง
* นั่นหมายความว่า “เหยื่อ” จะกลายเป็นเหยื่อที่ลึกขึ้นเรื่อยๆ  และทุกการคลิก คือการเสริมกำไรให้ Meta โดยตรง
* ในปี 2023 เอกสารระบุว่ามีการแจ้งรายงาน Scam จากผู้ใช้กว่า 100,000 ครั้งต่อสัปดาห์ แต่ 96% ของรายงานเหล่านั้นถูกเพิกเฉยหรือปฏิเสธโดยระบบอัตโนมัติ ด้วยเหตุผลว่า “ไม่เข้าข่ายตามนโยบาย”
ผลลัพธ์คือวงจรซ้ำซ้อนของความเสียหาย "ยิ่งผู้ใช้ตกเป็นเหยื่อ ระบบยิ่งป้อนโฆษณาหลอกให้ดูมากขึ้น  และทุกการแสดงผล ก็สร้างรายได้ให้ Meta มากขึ้น"
====
💼 กลไกกำไรจากความเสี่ยง (Profit from Risk)
คำถามที่เกิดขึ้นในเชิงธุรกิจคือ "ทำไมบริษัทเทคโนโลยีระดับโลกถึงยอมเสี่ยงกับเรื่องนี้?"
* คำตอบอยู่ในตัวเลข เอกสารภายใน Meta ระบุว่า "แม้บริษัทจะถูกปรับจากหน่วยงานกำกับดูแลสูงถึง 1 พันล้านดอลลาร์ ต่อปีจากกรณีโฆษณาผิดกฎหมาย แต่รายได้จาก Scam Ads เพียงครึ่งปีแรกของ 2025 ก็สูงถึง 3.5 พันล้านดอลลาร์ แล้ว ซึ่งมากกว่าค่าปรับหลายเท่าตัว"
* ในภาษาทางเศรษฐศาสตร์ นี่คือการ “ยอมรับความเสี่ยง” (Acceptable Risk) ที่บริษัทตัดสินใจอย่างเยือกเย็นว่าความเสียหายทางจริยธรรมสามารถชดเชยได้ด้วยผลตอบแทนทางการเงิน
* Meta ไม่ได้อยู่คนเดียวในเกมนี้ แต่เป็นภาพสะท้อนของอุตสาหกรรมโฆษณาดิจิทัลทั้งหมด ที่ยังขาดการกำกับดูแลเทียบเท่ากับภาคการเงิน ทั้งที่ผลกระทบต่อประชาชนกลับมหาศาลกว่า
ลองคิดง่ายๆ "หากธนาคารรู้ว่ามีเงิน 10% มาจากการฟอกเงินแล้วเลือกจะไม่ตรวจสอบ ธนาคารนั้นคงถูกปิดทันที" แต่สำหรับบริษัทเทคO การ “ทำเงินจากการหลอกลวง” กลับยังไม่มีใครหยุดได้อย่างจริงจัง
====
🌐 เมื่อ Big Tech กลายเป็น “ธนาคารของมิจฉาชีพ”?
* สิ่งที่ Reuters เปิดเผยในเชิงเปรียบเทียบคือ Meta กลายเป็นแพลตฟอร์มที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหนึ่งในสามของการหลอกลวงออนไลน์ทั้งหมดในสหรัฐฯ มากกว่า Google ถึงสองเท่า
* สถิตินี้สะท้อนสิ่งที่เรียกว่า Digital Fraud Infrastructure หรือ โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่มิจฉาชีพทั่วโลกใช้เป็นช่องทางหลักในการเข้าถึงเหยื่อ
* องค์กรตรวจสอบความปลอดภัยในยุโรปหลายแห่งยืนยันตรงกันว่า Meta เป็น “ประตูหลัก” ของการโฆษณา Scam ไม่ว่าจะเป็นการปลอมชื่อแบรนด์ การใช้ภาพดารา หรือการขายคริปโตปลอม ซึ่งถูกพบมากกว่าในแพลตฟอร์มอื่นรวมกัน
นี่คือสัญญาณเตือนว่า “Big Tech ไม่ได้เป็นเพียงผู้สังเกตปัญหาอีกต่อไป แต่กำลังเป็นผู้เล่นโดยตรงในเศรษฐกิจมืดโลก”
====
🧩 วิวัฒนาการของโมเดล “กำไรจากการหลอกลวง”?
* เมื่อมองในเชิงโครงสร้าง Meta ไม่ได้ตั้งใจสร้างเศรษฐกิจหลอกลวง แต่ระบบของมัน ถูกจูงใจให้ทำเช่นนั้นโดยกลไกภายใน
* โมเดลโฆษณาของแพลตฟอร์มขนาดใหญ่ถูกขับเคลื่อนด้วย อัลกอริทึมที่ให้รางวัลกับ Engagement  ไม่ว่าผลลัพธ์นั้นจะมาจากเนื้อหาดีหรือเนื้อหาหลอกลวงก็ตาม
* ในเชิงพฤติกรรมศาสตร์ เนื้อหาที่ “กระตุ้นอารมณ์” (เช่น ความโลภ ความกลัว หรือความเร้าใจ) มีแนวโน้มถูกคลิกมากกว่า และนั่นคือจุดที่ Scam Ads ทำงานได้ดีที่สุด เพราะมันถูกออกแบบมาเพื่อกระตุ้นสมองในรูปแบบเดียวกับการพนัน
Meta จึงติดกับดักเชิงโครงสร้าง เพราะยิ่งเนื้อหาหลอกลวงมากเท่าไร ระบบก็ยิ่งได้ข้อมูล engagement มากขึ้น ซึ่งหมายถึงรายได้มากขึ้น
====
🔍 “Penalty Bids” = จากกลไกควบคุม สู่เครื่องมือทำกำไร?
* ในเอกสารของ Reuters พบว่า ระบบ “Penalty Bids” ถูกออกแบบให้เป็นเครื่องมือจำกัดพฤติกรรมมิจฉาชีพโดยการบังคับให้จ่ายค่าโฆษณาแพงขึ้น แต่ในทางปฏิบัติกลับกลายเป็น “ตัวเร่งกำไร”
* ผู้ลงโฆษณาที่ต้องจ่ายแพงขึ้นแต่ยังยอมจ่าย หมายถึงพวกเขามี margin จากการหลอกลวงสูงพอที่จะอยู่ในระบบต่อได้ และ Meta ก็ยังคงรับเงินจากพวกเขาอยู่ดี
* ปรากฏการณ์นี้ในทางเศรษฐศาสตร์เรียกว่า Regulatory Arbitrage คือการหาช่องโหว่ระหว่าง “กฎ” กับ “ผลประโยชน์” เพื่อสร้างกำไรสูงสุดโดยไม่ผิดกฎหมายตรงๆ
* สิ่งที่น่ากังวลคือ “Penalty Bids” กำลังกลายเป็นแบบจำลองให้แพลตฟอร์มอื่นศึกษา เพราะมันดูเหมือนเป็นกลไกที่สมดุลระหว่าง “การควบคุม” และ “รายได้” ทั้งที่จริงๆ แล้วเป็นการ แปลงปัญหาเป็นกำไร
====
🏛️ "ช่องโหว่ของระบบกำกับดูแล” ใครกันแน่ที่กำลังนอนหลับ?
* หนึ่งในเหตุผลที่ Big Tech สามารถทำเช่นนี้ได้ เพราะอุตสาหกรรมโฆษณาดิจิทัลยังอยู่ในพื้นที่ “กฎหมายสีเทา” ที่หน่วยงานกำกับยังตามไม่ทัน
* กรณีของ Meta ถูกเปรียบเทียบกับภาคธนาคารในยุโรป ที่หากพบว่ามีธุรกรรมต้องสงสัยเพียง 0.1% ก็ต้องถูกตรวจสอบทันที แต่ในกรณี Meta นั้น ระบบภายในยอมให้มีรายได้ที่มาจากโฆษณาผิดกฎหมายได้ถึง 10% ของทั้งหมด โดยไม่มีบทลงโทษชัดเจน
* หน่วยงานกำกับในสหราชอาณาจักรเคยรายงานว่าในปี 2023 กว่า 54% ของการหลอกลวงทางการเงินทั้งหมดเกิดบนผลิตภัณฑ์ของ Meta มากกว่าทุกแพลตฟอร์มรวมกันถึงสองเท่า
ในสหรัฐฯ คณะกรรมการ SEC ก็กำลังสืบสวนกรณี Meta เปิดพื้นที่โฆษณาสำหรับการลงทุนปลอม ซึ่งอาจเข้าข่าย “การร่วมกระทำความผิดทางการเงิน” หากพบหลักฐานว่า Meta รู้เห็นแต่ไม่ดำเนินการ
====
🧮 "เศรษฐกิจมืดในสมรภูมิ AI” เมื่อรายได้สีเทาเลี้ยงทุนวิจัยสีขาว
* อีกหนึ่งมิติที่ Reuters ชี้คือ การที่ Meta ต้องใช้เงินลงทุนมหาศาลในโครงสร้างพื้นฐาน AI เช่น ศูนย์ข้อมูลและโมเดล Llama ขนาดยักษ์ ทำให้บริษัทต้องพึ่งพารายได้ทุกช่องทางเพื่อรักษาแรงกดดันจากนักลงทุน
* Mark Zuckerberg เคยกล่าวว่า “เรามีเงินทุนจากธุรกิจโฆษณาที่จะพาเราเข้าสู่ยุค AI ได้”  แต่หากรายได้ 1 ใน 10 มาจากโฆษณาหลอกลวง คำถามที่ต้องถามคือ AI ที่กำลังสร้างอนาคตของโลก กำลังถูกเลี้ยงด้วยเงินจากเศรษฐกิจมืดหรือไม่?
นี่ไม่ใช่คำถามทางจริยธรรมเพียงอย่างเดียว แต่คือคำถามเชิงโครงสร้างของโลกดิจิทัล ที่ธุรกิจถูกขับเคลื่อนด้วยข้อมูลและพฤติกรรมที่อาจเป็น “พิษ” ตั้งแต่ต้นน้ำ
====
📊 "ความจริงที่น่ากังวล” เมื่อการหลอกลวงไม่ใช่ข้อผิดพลาด แต่มันคือระบบ
เอกสารของ Meta ระบุว่า ทีมตรวจสอบภายในไม่ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการใดๆ หากการลบโฆษณาจะกระทบรายได้ของบริษัทเกิน 0.15% ของรายได้รวมในช่วงครึ่งปีแรก 2025 หรือราว 135 ล้านดอลลาร์
กล่าวอีกอย่างคือ มี “เพดานขีดจำกัด” ของการทำสิ่งที่ถูกต้อง
นี่คือปรากฏการณ์ที่นักเศรษฐศาสตร์องค์กรเรียกว่า Ethical Cap  เมื่อจริยธรรมถูกกำหนดเพดานไว้ไม่ให้กระทบเป้าทางการเงิน
====
🔒 "ความรับผิดชอบในยุคดิจิทัล" จะทำอย่างไรเมื่อระบบเป็นผู้ร่วมมือ?
โลกเทคโนโลยีในปัจจุบันกำลังเข้าสู่ยุคที่คำว่า “ไม่รู้” ใช้แก้ตัวไม่ได้อีกต่อไป เพราะทุกการตัดสินใจของอัลกอริทึมล้วนถูกออกแบบโดยมนุษย์
Meta ไม่ใช่รายแรกและอาจไม่ใช่รายสุดท้าย แต่คือสัญญาณเตือนว่า “การปล่อยให้เทคโนโลยีเติบโตโดยไม่มีโครงสร้างจริยธรรมกำกับ” กำลังนำโลกเข้าสู่วิกฤตศรัทธาครั้งใหม่  เมื่อแพลตฟอร์มที่เราไว้ใจกลายเป็นเครื่องมือของผู้ร้าย
สิ่งที่ต้องเกิดขึ้นหลังจากนี้คือ 3 เส้นทางของการเปลี่ยนแปลง
1. Regulation 2.0 — หน่วยงานกำกับต้องยกระดับกฎหมายโฆษณาดิจิทัลให้เทียบเท่าภาคการเงิน กำหนดให้บริษัทต้องตรวจสอบและรายงานแหล่งรายได้ที่ผิดปกติอย่างโปร่งใส
2. Corporate Ethics Index — นักลงทุนและผู้บริโภคควรมีเครื่องมือในการประเมิน “ความโปร่งใสทางจริยธรรม” ของ Big Tech ก่อนตัดสินใจลงทุนหรือใช้บริการ
3. Algorithmic Accountability — แพลตฟอร์มต้องเปิดเผยการทำงานของระบบคัดกรองโฆษณา และให้บุคคลภายนอกสามารถตรวจสอบได้
====
✨ กำไรที่มากเกินไปอาจเป็น “ภาษีศีลธรรม” ที่รอวันต้องชำระ?
เศรษฐกิจดิจิทัลกำลังเข้าสู่ยุคที่ “ข้อมูล” คือทองคำใหม่ แต่ทองคำทุกก้อนย่อมมีต้นกำเนิด ถ้ามันถูกขุดมาจากเหมืองมืด ผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่ต่างจากคำสาปในระยะยาว
Meta คือกรณีศึกษาแห่งยุค ที่สะท้อนคำถามเชิงคุณค่าอันหนักหน่วงของธุรกิจเทคโนโลยี คุณจะเติบโตอย่างไร โดยไม่ต้องขายจิตวิญญาณของแพลตฟอร์ม?
ในวันที่อัลกอริทึมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับเรา คำถามสุดท้ายที่มนุษย์ต้องตอบคือ เราจะยังรู้จัก “ถูกผิด” อยู่ไหม?
#วันละเรื่องสองเรื่อง #Meta #ScamEconomy #DigitalEthics #ReutersInvestigation #BigTech #AdTech #CorporateGovernance
====
📚 แหล่งอ้างอิง
* Reuters. (2025, November 6). Meta is earning a fortune on a deluge of fraudulent ads, documents show. (https://www.reuters.com/investigations/meta-is-earning-fortune-deluge-fraudulent-ads-documents-show-2025-11-06/) 


#วันละเรื่องสองเรื่อง
#Meta
#Scammers
#FacebookAds
#Reuters
#DigitalFraud
#TechScandal
#เศรษฐกิจสีเทา
โฆษณา