Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
aomMONEY
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
7 พ.ย. เวลา 14:00 • ไลฟ์สไตล์
โชคดีมักไม่มา 2 ครั้ง แต่โชคร้ายมักไม่มาครั้งเดียว
3 บทเรียนสู่ชัยชนะจาก 'เซียนมี่' ในโลกลงทุนของคนปานกลาง
“ตั้งแต่เด็ก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน กีฬา ความรัก รวมไปถึงความเอ็นดูของผู้ใหญ่รอบข้าง ผมไม่เคยประสบหรือได้สัมผัสกับมันเลย แทบไม่รู้ว่าความรู้สึกของการชนะหรือประสบความสำเร็จมันมีหน้าตาเป็นยังไง”
คุณทิวา ชินธาดาพงศ์ หรือที่ในโลกการลงทุนจะเรียกกันจนติดปากว่า “เซียนมี่” เขียนเอาไว้ในหนังสือ “วิถีแห่ง VI”
ถ้าไม่รู้จักหรือไม่เคยอ่านประวัติของเซียนมี่มาก่อน เราอาจจะเข้าใจเขา (หนึ่งในนักลงทุนสาย VI (Value Investor) ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในประเทศไทย) น่าจะเป็นเด็กเรียนเก่ง ท็อปของห้อง แล้วมาลงทุนจนประสบความสำเร็จ
แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจจะตรงกันข้ามกันเลยก็ได้
“ผมเองในวัยเด็กเป็นเด็กหัวไม่ดี เข้าสังคมไม่เก่ง มีความไม่เชื่อฟังผู้ใหญ่อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ทำให้ผู้ใหญ่ทุกคนเอือมระอาในการสั่งสอนเสมอ”
เขาเกิดในครอบครัวที่ “ค่อนข้างยากจน แต่ก็ไม่ได้ลำบากมาก” มีพี่น้อง 3 คน เป็นพี่คนโต ผมเรียนโรงเรียนที่ค่าเทอมประมาณ 2,000 บาท ครอบครัวมีเงินจ่ายค่าเทอม แต่อาจจะจ่ายไม่ค่อยตรงเวลาบ้าง
คุณพ่อทำอาชีพเป็นผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์กับการตลาดให้กับภัตตาคารแห่งหนึ่งซึ่งเงินเดือนตอนนั้นอยู่ที่ 20,000-30,000 บาท มีลูกน้องประมาณ 500-600 คน ก็ถือว่าไม่เลวมาก
ส่วนคุณแม่ผมชอบทำงานนู้นทำนี้ มีขายก๋วยเตี๋ยวบ้าง
เซียนมี่เล่าย้อนถึงความทรงจำในวัยเด็กตอน 5 ขวบว่าเขาเป็นเพียงคนเดียวในห้องเตรียมอนุบาลที่โรงเรียนสองภาษาที่สอบตกและต้องเรียนซ้ำชั้น
พอกลับไปบอกคุณแม่ที่บ้านแม่ก็บอกเขาด้วยท่าทางที่ไม่พอใจว่า “เรานี่โง่จริงๆ โตมาขายก๋วยเตี๋ยว ขายโจ๊กก็แล้วกัน”
โชคยังดีที่เด็กชายทิวาในตอนนั้นมีอาม่าที่เชื่อในตัวเขาอยู่เสมออยู่เคียงข้าง หลังจากที่แม่ดุ อาม่าก็เดินเข้ามาบอกกับแม่ว่า “ห้ามด่าว่าลูกเด็ดขาด คนคนนี้เป็นคนที่ฉลาดมากๆ คนเก่งอ่ะ ตอนเรียน ป.เตรียมไม่เก่ง เดี๋ยวประถมมันก็เก่งเอง”
“ตอนนั้นผมจำความรู้สึกชัดๆ ไม่ได้นะ แต่รู้สึกว่าสบายใจ วางใจ และความมั่นใจบางส่วนได้กลับมาสู่ชีวิตอีกครั้งหนึ่ง”
หลังจากนั้นพอขึ้นประถมก็ยังมีสอบตกบ้าง มัธยมก็มีติด ร. (รอพิจารณาผลการเรียน) ติด มส. (ไม่มีสิทธิ์สอบ) บ้าง จนสุดท้ายที่บ้านก็ตัดสินใจว่าผมไม่ควรเรียนต่อเพราะคงไปต่อไม่ไหว
ก็เป็นอาม่าคนเดิมที่คอยบอกทุกคนว่า “คนเก่ง ตอนเรียนถึงเรียนไม่เก่งนะ แต่ตอนทำงานมันจะเก่ง”
❤️ คำพูดของอาม่าที่คอยตอกย้ำทุกคน แววตาที่มองเซียนมี่อย่างมุ่งมั่น บ่งบอกว่าอาม่าเชื่อแบบนั้นจริงๆ และเพราะแววตาคู่นั่นแหละที่ทำให้เซียนมี่อยากจะเก่ง อยากจะประสบความสำเร็จบ้างสักครั้ง
“ผมแค่อยากให้ไม่กี่ชีวิตที่ผมรัก ไม่กี่ชีวิตที่ผมรู้จัก ดีใจ สมหวังกับความสำเร็จเล็กๆ ของผมแม้สักครั้งเดียวก็ยังดี”
และนั่นก็คือจุดเริ่มต้นของการออกค้นหาชัยชนะของคนปานกลางคนหนึ่งที่ไม่ได้โดดเด่น ความสำเร็จที่ยังไม่รู้เลยว่าหน้าตาจะเป็นยังไง แต่เขาก็พร้อมที่จะลองสู้เพื่อไปถึงเป้าหมายนั้นให้ได้เพื่อใครสักคนหนึ่ง
🏍️ [ วินมอเตอร์ไซค์ ร้านขายคอมพิวเตอร์ วิกฤตต้มยำกุ้ง ร้านเกม และ 10 ล้านบาทแรกของชีวิต ]
เซียนมี่เป็นคนที่ชอบมองหาวิธีสร้างรายได้ให้ตัวเองมาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก
ช่วงมัธยมเคยไปขี่วินมอเตอร์ไซค์รับจ้าง เพราะพ่อแม่ของเพื่อนทำแล้วก็เงินดี เขาเลยตัดสินใจไปลองทำบ้าง ได้เงินวันหนึ่งก็ 300-1000 บาท สำหรับเขาแล้วก็ถือเป็นงานที่ง่ายและยังได้เงินด้วย
แต่ว่าด้วยความที่พ่อของเขาเป็นผู้จัดการภัตตาคาร มีลูกน้อยหลายร้อยคน แล้วลูกชายขับวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างเลยรู้สึกไม่ค่อยโอเค จึงแนะนำให้ไปเรียนภาษาจีนเพื่อกลับมาเป็นไกด์ทัวร์ เพราะเพื่อนของพ่อทำบริษัททัวร์อยู่ได้เงินเดือนค่อนข้างดี
เมื่อได้ยินเรื่องเงินเดือนที่ค่อนข้างดี เซียนมี่เลยตัดสินใจไปเรียนต่อที่จีนอยู่เกือบสามปี กลับมาเป็นผู้ช่วยไกด์ได้เงินเดือน 30,000 บาท ในตอนนั้นก็ถือว่าดีมาก แต่ก็รู้สึกมันยังไม่เต็มที่ เลยลองทำอย่างอื่นไปด้วย เช่น ไปเป็นเซลขายรถบ้าง ขายประกันบ้าง
จนอายุได้ประมาณ 18 ปี ไปทำงานเป็นลูกจ้างร้านขายคอมพิวเตอร์เงินผ่อน\มือถือเงินผ่อนแห่งหนึ่ง ด้วยความที่พูดเก่ง ขายเก่ง ทำให้เวลาขายของดูน่าเชื่อถือ แม้อายุยังน้อย
ทำงานไปสักพัก มองเห็นโอกาสเลยได้เปิดร้านของตัวเอง และด้วยความที่ตอนนั้นสินค้าพวกนี้ยังใหม่ กำไรจึงเยอะมากๆ มีคนแนะนำแบบปากต่อปาก พออายุ 19 ปี มีเงินกว่า 4 ล้านบาท
🍤 แต่ปีถัดมาเกิดวิกฤตต้มยำกุ้ง และด้วยความที่ธุรกิจของเซียนมี่เป็นการขายเงินผ่อน ไฟแนนซ์ต่างๆ ล้มระเนระนาด กลายเป็นว่าส่งผลมาถึงธุรกิจของเขาด้วยถึงขั้นหมดตัวเลย
หลังจากนั้นเขาก็กลับมาอยู่บ้านได้ 2 ปี ทำนู่นทำนี่ ไม่มีงานเป็นหลักแหล่ง พ่อก็ตกงานเพราะภัตตาคารปิดตัว ที่บ้านค่อนข้างวุ่นวายเลย
🖥️ จนกระทั่งวันหนึ่งเขาไปเห็นคนต่อคิวเข้าร้านเกมคอมพิวเตอร์ที่ต่อสาย LAN แล้วให้คนในร้านเล่นด้วยกัน จึงเกิดไอเดียว่า อุปกรณ์เก่าๆ ของร้านเขายังมีอยู่ แม้จะต้องมีซื้อเพิ่มบ้าง แต่ก็พอจะเปิดร้านเล็กๆ ของตัวเองได้
หลังจากเปิดร้านก็เริ่มมีรายได้เข้ามา เกมอย่าง Half Life - Counter Strike ดังเป็นพลุแตก เปลี่ยนชีวิตของเซียนมี่ไปเลย จากรายได้แรกๆ เดือนละ 20,000 - 40,000 บาท ก็เพิ่มขึ้นมาเป็นหลักแสน ต่อมามีเกม Raknarok มาอีก รายได้เพิ่มเป็น 4-5 แสน/เดือน
จนสุดท้ายก็เก็บเงินได้ราวๆ 10 ล้านบาท ในวัย 20 ปลายๆ
## 📈 เข้าสู่โลกการลงทุน โดนรับน้องขาดทุนไป 60%
หลังจากนั้นไม่นาน ตลาดของร้านเกมก็ค่อยๆ ดรอป ด้วยกระแสด้านลบต่างๆ พร้อมทั้งคนเข้าถึงพวกเทคโนโลยีเหล่านี้ได้จากบ้านของตัวเองมากขึ้น เซียนมี่เลยตัดสินใจขายธุรกิจร้านเกมของตัวเองออกไป
ต่อมาก็กลับมาวนลูปหาธุรกิจที่จะทำต่อ ไปช่วยที่บ้านทำหมูยอขายบ้าง แต่ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
วันหนึ่งได้มีโอกาสไปฟังอาจารย์นิเวศน์พูดเรื่องการลงทุนแบบ Value Investment แล้วรู้สึกว่าถูกจริต ฟังแล้วน่าจะทำได้ไม่ยาก เลยเริ่มสนใจลงทุนในตลาดหุ้นไทย
ช่วงนั้นเป็นจังหวะวิกฤตซับไพรม์พอดี ปี 2551 ตัดสินใจเข้าลงทุนด้วยเงินครึ่งหนึ่งประมาณ 5 ล้าน
😰 แต่ด้วยที่ยังขาดประสบการณ์ ไม่มีความรู้มาก เจอตลาดรับน้องไป ไม่นานครับพอร์ตติดลบไปเกือบ 3 ล้าน หรือประมาณ 60%
ถ้าเป็นคนอื่นๆ อาจจะเข็ดหลาบและหนีออกจากตลาดหุ้นไปเลย แต่เซียนมี่ไม่ได้ทำอย่างนั้น ถึงแม้เขาจะบอกว่าตัวเองเป็นทุกข์มากเพราะติดลบหนักมาก “ด้วยความที่เราเป็นคนที่ไม่กล้าใช้เงินอยู่แล้ว รถแพงๆก็ไม่เคยซื้อ มือถือแพงๆยังไม่เคยซื้อ เพราะเราเป็นคนประหยัด มาโดนทีเดียวในตลาดหุ้นหลักล้าน กินข้าวไม่ลงเลย”
แต่เขาก็บอกว่า “อีกมุมหนึ่งก็ยังมีความโชคดีที่มีเงินสดเหลืออีกครึ่งหนึ่ง ตอนนั้นผมก็เลยทำการศึกษาตลาดมากขึ้น และเริ่มเข้าใจตลาดมากขึ้น ว่าระบบเป็นยังไง ด้วยระยะเวลาเกือบ 1 ปี”
แล้วก็ตัดสินใจเอาเงินที่เหลืออีกครึ่งหนึ่ง เข้าลงทุนเพิ่ม ตอนนั้นตลาดอยู่ที่ประมาณ 400 จุด แล้วค่อยๆ ซื้อเพิ่มมาเรื่อยๆ ซึ่งนั่นก็เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต และทำให้เขากลายเป็น ‘เซียนมี่’ นักลงทุนพอร์ตหุ้นหลักพันล้านที่เรารู้จักกันในตอนนี้
## 📖 3 บทเรียนสู่ชัยชนะจาก 'เซียนมี่' ในโลกลงทุนของคนปานกลาง
หลังจากโลดแล่นมาในตลาดหุ้นกว่า 15 ปี เซียนมี่มีโอกาสได้ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ให้กับนักลงทุนรุ่นใหม่ๆ อยู่เป็นประจำผ่านการสัมภาษณ์ การพูดบนเวที หรือผ่านการเขียนของตัวเอง
ในหนังสือ “วิถี VI” เซียนมี่ได้แชร์ 3 แนวทางการลงทุนที่สำคัญที่สุดสำหรับเขาไว้ดังนี้
✅ 1. การวางแผนการลงทุน : หมายถึงการรู้ชัดว่าเป้าหมายการลงทุนในระยะยาวของเราคืออะไรกันแน่
“เราอยากจะต้องการเกษียณอย่างมีความสุข หรืออยากยกระดับมาตรฐานชีวิตของคนที่เรารัก หรือเราอาจจะอยากมีกำลังในการช่วยเหลือจุนเจือสังคมในรูปแบบต่างๆ เป้าหมายจะทำให้เรารู้ถึงผลตอบแทนที่เราต้องการในระยะยาว ว่าเราต้องการเงินเท่าไหร่อย่างชัดเจนขึ้น” เซียนมี่อธิบาย
การตั้งเป้าหมายต้องคำนึงถึงความสอดคล้องกับเงินตั้งต้นที่เรามี เวลาที่มีสำหรับการศึกษาการลงทุน และระยะเวลาที่จะลงทุนด้วย
การมีเป้ากมายทำให้เรารู้ว่า “กำลังทำอะไร เพื่อเป้าหมายใด เพราะอะไร และเพื่อใคร”
✅ 2. ความสามารถในการวิเคราะห์ธุรกิจ : “ข้อนี้เป็นสิ่งที่นักลงทุนควรให้ความใส่ใจมากที่สุด และเซียนมี่เองก็เห็นด้วยว่ามันสำคัญมากๆ อาจจะลองอ่านจากงบประจำปี ฟัง Opportunity Day หรือ Company Visit ก็ได้ เพื่อสร้างความเข้าใจในตัวธุรกิจมากขึ้น
เซียนมี่บอกว่าเราต้องขยันกับเรื่องนี้มากๆ ตัวเขาเองก็เรียนรู้จากคนอื่นเยอะมาก ติดตามอ่านจากเว็บบอร์ด เซียนมี่พูดอย่างถ่อมตัวว่า “เชื่อผมเถอะ ถ้านายกระจอกคนนี้ทำได้ ผมหาเหตุผลที่ทุกคนทำไม่ได้ไม่เจอจริงๆ”
✅ 3. ความสามารถในการควบคุมจิตใจ : เรื่องนี้สำหรับเซียนมี่ถือเป็นเรื่องที่ “ยากที่สุดเรื่องหนึ่ง” หลายครั้งเราอาจจะคิดถูก ประเมินถูกแล้ว ซื้อหุ้นได้ต่ำกว่ามูลค่า แต่จุดที่เราซื้อดันไม่ใช่จุดต่ำสุด ทำให้มีการขาดทุนชั่วคราว ส่งผลต่อแผนการลงทุนและความเชื่อต่อการวิเคราะห์หุ้นของเรา
“หากเราไม่สามารถควบคุมจิตใจในระหว่างการลงทุนที่ยอดเยี่ยม หากเราไม่สามารถควบคุมจิตใจในระหว่างการลงทุนได้อย่างเหมาะสม ก็จะทำให้เราไม่สามารถไปถึงฝั่งฝันได้”
“นักลงทุนต้องเป็นคนที่มองโลกทั้งแง่บวกเพื่อมองหาโอกาสในการลงทุน รวมถึงมองโลกในแง่ร้าย เพื่อหาความเสี่ยงของการลงทุน และที่สำคัญคือมองโลกตามความเป็นจริงเพื่อหาจังหวะใช้ประโยชน์จากนายตลาดที่หลายครั้งไม่มองโลกบวกเกินไป ก็มองโลกร้ายจนเกินไป”
## 🧧 โชคดีมักไม่มา 2 ครั้ง แต่โชคร้ายมักไม่มาครั้งเดียว
เซียนมี่บอกว่าการจะเอาชนะตลาด ต้องมีความสอดคล้องกันระหว่างสามเรื่องนี้อย่างลงตัว มีความรู้เรื่องการเงินที่ดี ควบคุมจิตใจได้ดี และมีเป้าหมายที่ชัดเจนมากๆ เพื่อให้เราสามารถลุกขึ้นมาทำไม่ได้อย่างต่อเนื่อง
สำหรับเซียนมี่แล้ว เขามองว่าตัวเองยังไม่สามารถบอกได้หรอกว่าประสบความสำเร็จแล้ว ถ้าเป็นบอลก็เหมือนเข้าใกล้ ‘ชนะ’ นำอยู่ 2:1 เพียงแต่ยังไม่หมดเวลาการแข่งขัน
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาเขาพยายามทุ่มเทเพื่ออยากเอาชนะ ประสบความสำเร็จให้คนคนหนึ่งที่รักและเมตตาในตัวเขามากที่สุดนั่นก็คืออาม่าได้ภูมิใจ แต่น่าเสียดายที่อาม่าได้จากไปแล้วตั้งแต่ช่วงวิกฤตซับไพรม์ ที่ดัชนีหุ้นไทยอยู่จุดต่ำสุดแถว 400 จุด ซึ่งเป็นวันที่เขาห่างไกลจากคำว่า ‘ชัยชนะ’ อย่างมากที่สุดวันหนึ่ง เพราะต้องสูญเสียทั้งคนที่รักและเงินลงทุนไปเยอะมากๆ
แต่เขาก็ไม่ท้อครับ มุ่งมั่นเดือนต่อ ตามเป้าหมาย เพราะเขารู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของอาม่าไม่ใช่เพราะอาม่า ‘อยากเห็นความสำเร็จของหลาน’ แต่อาม่าอยากให้หลาน ‘ประสบความสำเร็จ’ ต่างหาก
📌 “บางครั้งความรู้สึก "ชนะ" กับความรู้สึกในระหว่างทางเพื่อไปสู่เป้าหมายไม่รู้เหมือนกันว่าอันไหนทำให้เรามีความสุขได้มากกว่ากัน แต่สำหรับผมแล้ว ผมว่ามันมีความสุขทั้งสองอย่างเลยสำหรับเพื่อนๆ ท่านใดที่รู้สึกว่าท่านเป็นแค่คนธรรมดาไม่โดดเด่นแต่กำลังมองหาหนทางสู่ความสำเร็จ ผมเชื่อว่าแนวทางการลงทุนแบบเน้นคุณค่าเป็นหนึ่งในแนวทางที่เปลี่ยนคนธรรมดาแบบพวกเราให้มีความสามารถในการดูแลคนที่ท่านรักได้ดีขึ้นอย่างแน่นอน”
“หากเราทุ่มเทเพียงพอ คนเรามีเพียงแค่ชีวิตเดียว ถึงบางครั้ง สู้แล้วอาจจะแพ้ บางครั้งสู้แล้วอาจจะชนะ แต่ไม่มีใครรู้ได้ว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร ยังไงสู้ก็ดีกว่า เพราะถ้าเราไม่สู้ตั้งแต่เริ่ม เราก็แพ้อย่างถาวรไปแล้ว" เซียนมี่กล่าวปิดท้ายในบทความ
🎯 บทเรียนของชีวิตเซียนมี่คล้ายกับสุภาษิตจีนที่กล่าวว่า “โชคดีมักไม่มา 2 ครั้ง แต่โชคร้ายมักไม่มาครั้งเดียว”
เมื่อมีโอกาสเข้ามาในชีวิต ให้คว้าเอาไว้ เพราะมันอาจจะไม่เกิดขึ้นอีก ถ้าสำเร็จก็อย่าเพิ่งลิงโลดดีใจ ให้เผื่อใจผิดหวังเอาไว้ด้วย แต่ถ้าโชคร้ายซ้ำแล้วซ้ำอีก ก็อย่าเพิ่งท้อใจ เพราะในวิกฤต ก็ยังมีโอกาสที่อาจจะเกิดขึ้นเสมอ
อ้างอิง : จากหนังสือ “วิถี VI”
https://shorturl.at/QZEhc
https://shorturl.at/pbWmf
https://youtu.be/Iuy_s4Z5X0M?si=hHadEofHwKpJEKc1
#aomMONEY #MakeRichGeneration
3 บันทึก
5
2
3
5
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย