Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
สงคราม story
•
ติดตาม
8 พ.ย. เวลา 00:47 • ประวัติศาสตร์
จาก Hawk III สู่ F-16 เจ้าเวหาแห่งความแข็งแกร่งจาก 2 ยุค
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่านในบทความก่อนหน้า มีการนำเสนอเรื่องของ Hawk III ที่ท่านศานิตบินเป็นเพียงน้ำจิ้ม วันนี้ก็ขอนำเสนอเรื่องราวของท่านแบบเต็มรูปแบบมาจนถึงยุคที่ F-16 เราตีกับกัมพูชา
ทำไมต้องจับ F-16 มาเล่าอีกครั้ง เนื่องจากช่วงนี้กระแส F-16 มาแรงจากการที่กองทัพอากาศกัมพูชาปั่นข่าวว่าจะซื้อเครื่องบินแบบนี้ (มือสอง) ข่าวที่กองทัพอากาศไต้หวันได้รับเครื่องบินแบบดังกล่าวล่าช้า กองทัพอากาศไทยจะจัดการแข่งขันการปฏิบัติการณ์ทางอากาศยุทธวิธีประจำปีพ.ศ.2569 หรือที่อื่นๆซึ่งไม่สามารถเอ่ยชื่อประเทศได้ก็มีข่าวเกี่ยวกับ F-16 เช่นกัน ทั้งเรื่องราวของทั้ง 2 แบบนี้จะเป็นเช่นไร ไปติดตามกันได้ครับ
ก่อนที่จะมีเสียงไอพ่นแผดคำนามจากเครื่องบินขับไล่ F-16 ที่บินลาดตระเวนเหนือน่านฟ้าอีสานใต้ในปีพ.ศ.2568 ย้อนไปในเปลวเพลิงแห่งสงครามอินโดจีน ช่วงปี พ.ศ. 2483-2484 ท้องฟ้าเหนือสยามยังคงระอุด้วยคมกระสุน ที่ไม่เป็นทางการ หลังจากการทิ้งระเบิดของฝรั่งเศสใส่จังหวัดนครพนม เรืออากาศโท ศานิต นวลมณี เสืออากาศตัวจริงแห่งกองทัพไทย ผู้ซึ่งขับเครื่องบิน ฮอว์ค III ต่อกรกับกองทัพอากาศฝรั่งเศส
Hawk III ที่พิพิธภัณฑ์ทหารอากาศ
ครั้งหนึ่ง นาวาอากาศตรี ศานิต และคู่หูได้ผละจากอาหารเช้าเพื่อรีบไปประจำเครื่อง เมื่อเสียงเครื่องบินข้าศึกที่เหนือกว่าดังกระหึมเข้าสู่เขตจังหวัดนครพนม ด้วยความกล้าหาญอย่างยิ่งยวด ท่านได้นำ ฮอว์ค III ออกบินสกัดกั้นและไล่เครื่องบินข้าศึกออกไปจากน่านฟ้า ท่านสามารถจัดการเครื่องบินฝรั่งเศสไปได้หลายลำ ส่งผลให้นักบินของเราครองน่านฟ้าได้ และเพิ่มขวัญกำลังใจให้ทหารราบที่อยู่เบื้องล่าง วีรกรรมของเหล่าทัพฟ้าไทยที่นำโดยศานิตนั้นได้ทำให้ฝรั่งเศสถึงกับต้องประหลาดใจและเกรงกลัว
แต่ชะตากรรมของนักรบนั้นโหดร้าย ในภารกิจโจมตีสนามบินเวียงจันทน์ กระสุนปืนกลจากภาคพื้นดินของฝรั่งเศสได้ระดมยิงเข้าใส่เครื่องบินของท่านอย่างหนักหน่วง ถังน้ำมันทะลุ และ เกิดไฟลุกไหม้ตัวเครื่อง ร่างของท่านศานิตถูกไฟคลอกและบาดเจ็บจากกระสุนที่หัวเข่า แต่ท่านยังคงกัดฟันสู้ นำเครื่องบินที่ไฟลุกไหม้บินกลับสู่สนามบินอุดรธานี ก่อนจะดีดตัวด้วยร่มชูชีพ ท่านศานิตได้ถึงแก่อนิจกรรมในอีก 13 วันต่อมา การเสียสละนี้คือการจารึกบทเรียนสำคัญแห่งศักดิ์ศรีของชาติ
พ.ศ.2528 หลายทศวรรษต่อมาเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนผ่านจากใบพัดสู่เครื่องบินเจ็ตความเร็วสูงกองทัพอากาศไทยได้มีการจัดหาเครื่องบินรบรบยุคใหม่ผู้สืบทอดภารกิจพิทักษ์น่านฟ้า "General Dynamics F-16 Fighting Falcon" ในชื่อโครงการ "Peace Naresuan"
สำหรับ F-16 หรือที่นักบินชอบเรียกขานกันว่า "Viper" ถือกำเนิดขึ้นจากแนวคิดที่จะสร้างเครื่องบินขับไล่น้ำหนักเบา (Light Weight Fighter : LWF) ที่มีขนาดเล็ก คล่องตัว และมีราคาถูก แต่ต้องมีขีดความสามารถในการรบจริง อีกทั้งการออกแบบของมันปฏิวัติวงการการรบทางอากาศในยุคสงครามเย็นสู่สงครามยุคใหม่ได้
มันเป็นเครื่องบินลำแรกที่ใช้ระบบควบคุม Fly-by-Wire แทนสายเคเบิลกลไกแบบเก่า และมีค็อกพิตแบบ Bubble Canopy เมื่อท่านมองจากข้างบนจะเห็นว่าทรงกระจกห้องนักบินคล้ายกับหยดน้ำตา กระจกที่มีความใสนี้จะทำให้มองเห็นได้ชัดเจน 360 องศา เพื่อความได้เปรียบในการรบทางอากาศ
เพื่อให้นักบินสามารถทนต่อแรง G ได้มากขึ้น, เก้าอี้จึงถูกติดตั้งในลักษณะเอียง 30 องศา ตัวเครื่องใช้คันบังคับที่ข้างลำตัว (Side Stick) แทนการควบคุมแบบเดิมที่อยู่ตรงกลาง
F-16 ถูกออกแบบตามทฤษฎีการบริหารพลังงาน ส่งผลให้มันมีอัตราส่วนแรงขับต่อน้ำหนัก (Trust-to-Weight Ratio) มากกว่า 1 ทำให้สามารถทำการรบทางอากาศประชิด (dogfight) ได้อย่างคล่องตัวว่องไวกว่า F-5 ที่มีประจำการในสมัยนั้น มันสามารถเหวี่ยงแรง G ได้สูงสุดถึง 9G
เจ้าเวหาแห่งสมรภูมิยุคใหม่ F-16 Fighting Falcon
เครื่องบินขับไล่ F-16 ถูกออกแบบให้เป็นเครื่องบินรบที่บินได้หลายภารกิจ สามารถทำได้ทั้งการคุ้มกัน การบินสกัดกั้น การบินขับไล่ การโจมตีภาคพื้นดิน การกดดันระบบป้องกันภัยทางอากาศของศัตรู และการลาดตระเวน ซึ่งในยุคนั้นการฝึกนักบิน F-16 จะต้องใช้คนที่เคยขับ F-5 จนชำนาญมาก่อน เพราะ F-16 นั้นมีความเร็วสูงและเปรียบได้กับม้าพยศ ดังนั้นการคัดเลือกนักบินขับไล่ F-5 ไปบินจึงมีความเหมาะสมอย่างยิ่งในการเรียนรู้เทคโนโลยีใหม่จากชาติตะวันตกในยุคนั้นได้
พ.ศ.2531 ที่กองบิน 1 โคราช "ฟ้าววววววววววว! บู้มมมมมมมมมมมม!" เสียงคำรามนี้ไม่ใช่เสียงฟ้าร้อง เสียงคำรามนี้ไม่ใช่ F-5 มันคือเสียงที่พร้อมจะปกป้องอธิปไตยไทย มันคือเสียงของเครื่องบิน F-16! นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมากองทัพอากาศไทยเริ่มรับ F-16 เข้าประจำการ สำหรับแบบเครื่องบิน F-16 ของไทยส่วนใหญ่เป็นรุ่นเก่าอย่าง Block 15 ADF OCU และ MLU แม้จะเป็นรุ่นเก่า แต่ฝูงบิน F-16 กองทัพอากาศไทยก็ยังคงเข้าร่วมการฝึกผสมทางอากาศ การบินโชว์งานสำคัญและปฏิบัติภารกิจได้หลากหลาย
ตำนานของ Viper ยังไม่จบลงง่าย ๆ ปัจจุบันมันยังอยู่ในสายการผลิตอย่างต่อเนื่องไปจนถึงคริสต์ทศวรรษที่ 2030 รุ่นใหม่ล่าสุดคือ Block 70/72 หรือ F-16V Viper รุ่นนี้ติดตั้งเรดาร์แบบใหม่ที่ทรงประสิทธิภาพคือ APG-83 AESA Radar ซึ่งเป็นแบบเดียวกับที่ใช้ในเครื่องบินขับไล่ Gen 5 ระบบคอมพิวเตอร์ภารกิจใหม่จะแสดงข้อมูลสนามรบอย่างละเอียดบนจอขนาด 6x8 นิ้ว
นักบินสวมหมวก JHMCS ที่ทำให้สามารถมองไปทางใดและยิงไปทางนั้นได้ทันที (หมวกแบบนี้ใช้กับ F-16MLU ที่ตาคลี) นอกจากนี้ยังมีระบบ Auto GCAS ที่ช่วยดึงเครื่องกลับหากนักบินกำลังจะหมดสติหรือเครื่องกำลังจะตก
F-16MLU ฝูงบิน 403 กองบิน 4 ตาคลี (ภาพ AI)
การอัปเกรดเครื่องบินขับไล่ F-16 รุ่นเก่าให้กลายเป็นรุ่นทันสมัยนั้นมีค่าใช้จ่ายประมาณ 20-25 ล้านเหรียญสหรัฐต่อเครื่อง, ซึ่งถูกกว่าการซื้อเครื่องใหม่ในราคา 70-85 ล้านเหรียญต่อเครื่อง
F-16 คือเครื่องบินขับไล่ที่อาจจะไม่ได้ดีที่สุดในยุคนี้
แต่เป็นเครื่องบินที่คุ้มค่าที่สุดในหลายมิติ พร้อมที่จะก้าวเข้าสู่ยุคที่สามของชีวิตมัน สำหรับผู้ที่เคยได้ขึ้นบินกับเครื่องบินขับไล่แห่งกองทัพอากาศไทยแบบนี้ ประสบการณ์นั้นเปรียบเสมือนความรู้สึกที่ "หาที่สิ้นสุดไม่ได้" เมื่อเครื่องบินทะยานขึ้นไปที่ระดับความสูงเกิน 30,000 ฟุต
นับตั้งแต่เข้าประจำการในกองทัพอากาศไทยปีพ.ศ.2531 F-16 ได้เริ่มปฏิบัติการจริงทั้งภารกิจที่เป็นการรบและไม่ใช่การรบ จนกระทั่งมีปฏิบัติการยุทธบดินทร์ปีพ.ศ.2568 เครื่องบินขับไล่ F-16A จากฝูงบิน 103 กองบิน 1 โคราช และ F-16MLU ฝูงบิน 403 กองบิน 4 ตาคลี ได้ทะยานขึ้นจากกองบิน 1 โคราช
โดยการติดตั้ง KGGB (Korean GPS-Guided Bomb) ซึ่งเป็นชุดระเบิดนำวิถีร่อนความแม่นยำสูงที่ออกแบบเพื่อติดตั้งเข้ากับลูกระเบิดอากาศทำลายอเนกประสงค์ Mk 82 ให้เปลี่ยนเป็นอาวุธนำวิถีพิสัยไกลความแม่นยำสูง ในการปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2568
แม้จะเป็นมีสภาพอากาศปิดหรือบินยามราตรีนักบิน F-16 ทุกนายก็ไม่ย่อท้อ จึงสามารถโจมตีเป้าหมายสำคัญในการรบได้เช่น ที่ตั้งทางทหารของกองทัพกัมพูชารวมถึงที่กองบัญชาการ, คลังแสง, และจรวดหลายลำกล้องอัตตาจร BM-21 นี่เป็นเครื่องหมายแสดงถึงการใช้ระบบ KGGB ในปฏิบัติการรบจริงครั้งแรก
ในช่วงการรบมีสำนักข่าวกัมพูชารายงานว่ากองทัพกัมพูชายิงเครื่องบินขับไล่ F-16 ของกองทัพอากาศไทยตกได้สำเร็จ อย่างไรก็ตาม จากการตรวจสอบพบว่า ข้อมูลดังกล่าวเป็นข่าวปลอม หาใช่ข้อเท็จจริงไม่
F-16A ฝูงบิน 103 กองบิน 1 โคราช
ในช่วงเดียวกับการปะทะครั้งนี้ทหารไทยได้เข้าทำลายกระเช้าขึ้นภูมะเขือ จ.ศรีสะเกษ ของทหารกัมพูชา
ในอดีต การเข้าถึงพื้นที่ด้านบนของภูมะเขือทางฝั่งกัมพูชา ใช้วิธีการสร้างกระเช้า และบันไดเป็นทางขึ้นสู่ยอดภูเขาเนื่องจากสภาพภูมิประเทศฝั่งกัมพูชามีลักษณะลาดชัน อย่างไรก็ตาม ในระยะหลังฝ่ายกัมพูชาได้สร้างถนนโดยลัดเลาะตามไหล่เขาในเขตกัมพูชาเพื่อใช้เป็นทางขึ้นสู่ด้านบนของภูมะเขือ
สำหรับกรณีการสร้างกระเช้า และถนนขึ้นสู่ยอดภูมะเขือดังกล่าว ฝ่ายไทยเห็นว่าเข้าข่ายเป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมหรือภูมิประเทศในบริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่ที่ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างสิทธิกันอยู่ ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้ล้ำแนวเส้นปฏิบัติการของทหารไทยก็ตาม แต่ถือว่าเป็นการละเมิดข้อตกลงตาม MOU 2543 ดังนั้น ฝ่ายไทยจึงได้ดำเนินการเก็บหลักฐาน และทำการประท้วงผ่านกลไกความร่วมมือทางทหารในระดับพื้นที่มาโดยตลอดอย่างต่อเนื่อง แต่ไม่เป็นผล
ทำให้การใช้กำลังทางทหารเข้าคลี่คลายสถานการณ์จึงจำเป็นอย่างยิ่ง นอกจากการทำลายกระเช้าด้วยทหารบกแล้วเรายังใช้ F-16 บินจากโคราชไปหย่อนไข่เหล็กทำลายกระเช้าไปพร้อมกับสิ่งก่อสร้างทางทหารของกัมพูชาบนภูมะเขือ ทำให้เครื่องบินขับไล่ F-16 กลายเป็นวีรบุรุษที่ถูกกล่าวถึงไม่แพ้ Gripen
วันที่ 6-7 ตุลาคม พ.ศ.2568 หลังการรบครั้งแรกผ่านไป 2 เดือน ได้มีการตรวจเยี่ยมความพร้อมปฏิบัติการ ณ กองบิน1 โคราช ของพลอากาศเอก เสกสรร คันธา ผู้บัญชาการทหารอากาศไทยท่านใหม่ ได้ปรากฎให้เห็นภาพของเครื่องบินขับไล่ F-16A/B Block 15 OCU ฝูงบิน 103 กองบิน 1 โคราช จำนวน 9 เครื่องจัดแสดงการติดตั้งอาวุธต่างๆหลากหลายแบบ
F-16A ฝูงบิน 103 กองบิน 1 โคราช กับลายพรางช่วงแรกๆ
อาวุธต่างๆเหล่านี้มีตั้งแต่กระสุนปืนใหญ่อากาศ M61 Vulcan ขีปนาวุธนำวิถีอากาศสู่อากาศพิสัยใกล้ AIM-9M Sidewinder ขีปนาวุธนำวิถีอากาศสู่พื้น AGM-65 Maverick ระเบิดนำวิถีร่อนดาวเทียม KGGB ระเบิดนำวิถี Laser แบบ GBU-12 Pavaway II ขนาด 500lbs ระเบิดนำวิถี Laser แบบ GBU-10 Pavaway II ขนาด 2,000lbs ลูกระเบิดไม่นำวิถี Mk 82 ขนาด 500lbs ในรางอาวุธแฝดสาม Triple Ejector Rack(TER) และแบบ high-drag Mk 82 Snake Eye เป็นต้น
ซึ่งอาวุธอากาศสู่พื้นหลายแบบเหล่านี้ได้ถูกติดตั้งกับเครื่องบินขับไล่ F-16A ใช้ในการรบจริงระหว่างการปะทะตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2568 มาแล้ว
นี่คือเรื่องราวการรบจากรุ่นต่อรุ่น F-16 ในวันนี้คือเหยี่ยวพิฆาตผู้พิทักษ์น่านฟ้าไทย คือผู้สืบทอดเจตนารมณ์อันกล้าหาญจากเสืออากาศศานิต คือเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 4 ที่เหนือชั้นกว่ายุคของมัน แม้จะต้องรอ F-35A ที่กองทัพอากาศไทยจะมีการจัดหาในอนาคต F-16 ยังคงบินลาดตระเวนอย่างต่อเนื่องในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา
เพื่อเป็นการรับประกันให้แก่พี่น้องประชาชนทุกท่านว่าแม้ในยามสงบเราใช้ชีวิตประจำวันกันตามปกติได้ แต่หากเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดฝันเราก็ต้องรับมือและตอบโต้ตามหลักกฎหมายสากล ด้วยกำลังที่เหนือกว่านั่นคือ F-16 แห่งกองทัพอากาศไทย สำหรับวันนี้ผู้เขียนขอลาไปก่อน สวัสดีครับ
Credit บทความและภาพประกอบ
นิตยสารแทงโก้
Palle Nørby Christensen
Royal Thai Air Force
Google AI Studio
PAE iHERB
Courseblue
เรื่องเล่าบันเทิง CHANNEL
Wartime Asia เอเชียยามสงคราม
AAG_TH บันทึกประจำวัน
เรียบเรียงโดย : จ่าหวาน เกรียงไกร
บันทึก
1
1
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย