8 พ.ย. เวลา 04:56

ทองคำไม่เคยเคลื่อนไหวเช่นนี้มาก่อน

จากยุคทองคำถูกทิ้ง → สู่ยุคทองคำกลับมา
Miles Franklin Media
Gold Has Never Moved Like This Before
เรื่องจริงของทองคำ: จากยุคปี 1970s …จนถึงการรีเซ็ต
.....แล้วราคาทองจะร่วงแบบปี 1982 หรือเปล่า?
..."ตอนนั้น ถ้าใครซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีในปี 1981 ก็ได้ผลตอบแทน 15.8% ต่อปี — แค่ถือไว้ 5 ปี..ก็ได้เงินเกือบเท่าตัวแล้ว แถมมีรัฐบาลสหรัฐค้ำประกันอีก ...ราคาทองคำจึงร่วงไป 65% ในปี 1982"...
Michelle Makori Nov 7, 2025
ทองคำเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ best performing ของปีนี้ ราคาทำ all-time-high ต่อเนื่อง ท่ามกลางความผันผวนที่เห็นกันชัด ผู้คนเลยมักย้อนกลับไปพูดถึง “ฟองสบู่ทองคำ” แบบในยุค 1970s และการพังทลายอันโหดร้ายในช่วงต้นทศวรรษ 1980 เป็นบทเรียนเตือนใจว่า อย่าหวังสูงเกินไป
แต่จริง ๆ แล้ว ยุคนั้นมีเรื่องที่คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดกันเยอะ แต่ตอนนี้ ถ้าเราจะเปิดดูให้ลึก มันจะให้บทเรียนสำคัญมากกับสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น และอธิบายได้ว่า ทำไมทองคำรอบนี้ ....ถึงไม่เหมือนตอนนั้น
นั่นเป็นยุคที่ระบบการเงินโลก ยังผูกกับทองคำ
ในปี 1970s ราคาทองคำยังถูกผูกตรึงไว้ที่ $35 ต่อออนซ์ โดยรัฐบาลสหรัฐ ภายใต้ระบบ Bretton Woods .....ตอนนั้น ดอลลาร์ยังผูกกับทองคำอย่างเป็นทางการ ความเชื่อมั่นต่อระบบการเงินหลังสงครามโลกครั้งที่สองก็ยังแข็งแกร่ง ..แต่ความมั่นคงนั้นก็อยู่ได้ไม่นาน...
ปี 1971 ประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน ประกาศ “ยกเลิกมาตรฐานทองคำ” (Gold Standard) ประเทศอื่น ๆ ไม่สามารถนำดอลลาร์มาแลกคืนทองได้อีกต่อไป เหตุการณ์นี้รู้จักกันในชื่อ “Nixon Shock” และถือเป็นจุดเริ่มต้นของยุค “เงินกระดาษ” หรือ Fiat Money อย่างเต็มตัว
คำประกาศของประธานาธิบดีนิกสัน (นาทีที่ 1:25)
---“ข้าพเจ้าได้สั่งให้รัฐมนตรีคลังดำเนินมาตรการที่จำเป็น เพื่อปกป้องเงินดอลลาร์จากพวกนักเก็งกำไร
ข้าพเจ้าได้สั่งให้รัฐมนตรี Connally ‘ระงับการแปลงค่าเงินดอลลาร์เป็นทองคำชั่วคราว’
หรือสินทรัพย์สำรองอื่น ๆ ยกเว้นในกรณีและปริมาณที่เห็นว่าเป็นประโยชน์ต่อเสถียรภาพทางการเงิน
และต่อผลประโยชน์สูงสุดของสหรัฐอเมริกา”---
คำพูดนั้นจบลงพร้อมกับการเปิดประตูสู่โลกของ “เงินที่ไม่มีทองหนุนหลัง” — เงินที่มีค่า..เพียงเพราะรัฐบาลบอกว่ามันมีค่า
เมื่อความเชื่อมั่นเริ่มสั่นคลอน
ปี 1972 ราคาทองคำเฉลี่ยขยับขึ้นเป็น $58 ต่อออนซ์ คราวนี้ไม่ใช่รัฐบาลที่กำหนดราคาอีกต่อไป แต่เป็นกลไก "ดีมานด์และซัพพลาย" ล้วน ๆ
ความกลัวเรื่องเงินเฟ้อเริ่มคืบคลานเข้ามา
ปี 1973 สหรัฐลดค่าเงินดอลลาร์อย่างเป็นทางการ เหลือ $42.22 ต่อออนซ์ทองคำ แต่ระบบที่ชื่อว่า “Smithsonian Agreement” ก็พังลงในเวลาไม่นาน แล้วก็เกิด “วิกฤตน้ำมันของโอเปก” ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นถึง 4 เท่า เศรษฐกิจชะงัก เงินเฟ้อพุ่งแรง และโลกก็ได้รู้จักคำใหม่ว่า “stagflation” (เศรษฐกิจชะงักงัน) เงินเฟ้อสูงแต่เศรษฐกิจไม่โต
ทองคำกลายเป็นตัวเลือกหลักในการป้องกันเงินเฟ้อ ราคาทองคำทะลุ $150 ในปี 1974 เพราะชาวอเมริกัน “กลับมาซื้อทองคำได้เป็นครั้งแรกในรอบ 40 ปี”
ความต้องการที่อัดอั้นระเบิดออกมา
ปีต่อมา 1975 ตลาด สัญญาซื้อขายล่วงหน้าทองคำ (COMEX) เปิดตัว นักลงทุนทั้งรายใหญ่และรายย่อยแห่เข้ามาเก็งกำไร ทำให้ทองคำกลายเป็นสินทรัพย์การเงินเต็มรูปแบบ
เงินเฟ้อกลับมาอีกครั้ง – และดอลลาร์เริ่มสั่น
ปี 1976 ราคาทองคำอ่อนกลับมาราว $125 เพราะดอลลาร์แข็งขึ้นช่วงสั้น ๆ นักลงทุนเทขายทำกำไร แต่พอถึงปี 1977 เงินเฟ้อกลับมาอีก
Fed ภายใต้ Arthur Burns ยังคงดอกเบี้ยต่ำเกินไปนานเกินไป อัตราผลตอบแทนที่แท้จริงติดลบ ทองคำเลยเริ่มไต่กลับขึ้นอีกครั้ง
ปี 1978 วิกฤตค่าเงินดอลลาร์เต็มรูปแบบ ปัญหาการขาดดุลการค้าของอเมริกาพุ่ง ต่างชาติเทขายดอลลาร์ แล้วหันไปซื้อทองคำ
ปีแห่งความปั่นป่วน: 1979 – 1980
ปี 1979 โลกเจอทั้ง การปฏิวัติอิหร่าน, วิกฤตตัวประกันสถานทูตสหรัฐในเตหะราน, และ โซเวียตรุกรานอัฟกานิสถาน ราคาน้ำมันพุ่งไปถึง $39 ต่อบาร์เรล เงินเฟ้อในสหรัฐแตะ 13.5% ความตื่นตระหนกเกิดขึ้น
ทองคำระเบิดขึ้นแตะ $850 ต่อออนซ์ในเดือนมกราคม 1980 ..แต่นักลงทุนก็แห่เข้าซื้อ ...ทองคำ
Paul Volker: ผู้ “ฆ่าเงินเฟ้อ”
ปี 1979 Paul Volcker ได้รับแต่งตั้งเป็นประธาน Fed เขาประกาศอย่างแข็งกร้าวว่าจะ ...ปราบเงินเฟ้อไม่ว่าต้องแลกด้วยอะไร
เขาดันดอกเบี้ยขึ้นเกือบ 20% ถือเป็นการขึ้นดอกเบี้ยที่รุนแรงที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐ ถึงขั้นทำให้ดอกเบี้ยสินเชื่อบ้านระยะยาว 30 ปี ขึ้นไปถึง 18.63% ในปี 1981 .......(ของไทย 21% ..ทำให้ผมซื้อบ้านได้ในราคาลดกระหน่ำในปี 1981 ..ตาสา)
มาตรการนี้ได้ผล — เงินเฟ้อร่วงจาก 13.5% ในปี 1980 เหลือแค่ 3% ภายในปี 1983 ดอลลาร์กลับมามีความน่าเชื่อถืออีกครั้ง อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงกลับมาเป็นบวก แต่ทั้งหมดนี้ “ไม่ดีต่อทองคำ” เพราะทองคำไม่ได้ให้ดอกเบี้ย
ตอนนั้น ถ้าใครซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอายุ 10 ปีในปี 1981 ก็ได้ผลตอบแทน 15.8% ต่อปี — แค่ถือไว้ 5 ปีก็เกือบได้เงินเท่าตัวแล้ว แถมมีรัฐบาลสหรัฐค้ำประกันอีก ...ราคาทองคำจึงร่วงไป 65% ในปี 1982
เมื่อดอกเบี้ยสูงขนาดนั้น เงินก็ไหลออกจากทองคำและสินค้าโภคภัณฑ์ ไปอยู่ในพันธบัตรและตราสารหนี้แทน ...Fed ในยุคนั้น ทำให้เงินดอลลาร์กลับมามีค่าอีกครั้ง
เข้าสู่ยุค โรนัลด์ เรแกน
เมื่อเงินเฟ้อถูกกดได้ เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ยุคใหม่ของ “ความมั่นใจ” ภายใต้ประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกน
อเมริกากลับมาสว่างอีกครั้ง (It’s morning again in America) กลายเป็นคำโฆษณาชวนเชื่อของยุคนั้น
รัฐบาลเรแกนลดภาษี เปิดเสรีภาคอุตสาหกรรม ปลุกความมั่นใจทางเศรษฐกิจให้กลับมา Fed ก็เปลี่ยนโหมดจาก “สู้เงินเฟ้อ” มาเป็น “กระตุ้นการเติบโต”
เงินที่เคยไหลเข้าทองคำ กลับไหลเข้าสู่ตลาดหุ้น ดัชนี Dow Jones พุ่งจากต่ำกว่า 800 จุดในปี 1982 ไปเกือบ 2,700 จุดในปี 1987 ส่วน S&P 500 ก็เพิ่มขึ้นกว่า 230% ภายใน 5 ปี
ขณะที่ทองคำร่วงจาก $850 เหลือราว $300 ในปี 1982 มูลค่าหายไปถึง 65%
อเมริกาเปลี่ยนจาก “เก็บทอง” มาเป็น “เล่นหุ้น” แทน ความโลภบนวอลสตรีทกลายเป็นวัฒนธรรมหลักของยุค 80
ปี 1987 ตลาดหุ้นสหรัฐพังในวันเดียว “Black Monday” ดัชนี Dow Jones ดิ่ง 22% ..ส่วน S&P 500 ร่วง 20%
ทองคำดีดขึ้นชั่วคราว แต่ก็ดับลงอีก เพราะ Fed เข้ามาอุ้มตลาด ....เป็นครั้งแรก
พวกเขาอัดสภาพคล่องเข้าระบบ ฟื้นความเชื่อมั่นกลับมาได้สำเร็จ
ตั้งแต่นั้นมา โลกก็รู้ว่า Fed จะไม่มีวันปล่อยให้ตลาดพังอีกแล้ว สิ่งนี้เองคือจุดเริ่มต้นของยุค Fed Put ...(ความเชื่อที่ว่า Fed จะอุ้มตลาดหุ้น ...ถ้าตลาดร่วง Fed จะลดดอกเบี้ยทันที)
นับแต่นั้น นักลงทุนไม่ต้องถือทองคำเพื่อป้องกันความเสี่ยงอีกต่อไป ...ไม่ต้องกลัวว่าหุ้นจะร่วงแรง ไม่เสี่ยงแล้ว
จากยุคทองคำถูกทิ้ง → สู่ยุคทองคำกลับมา
ยุค 1980s คือ “ทศวรรษที่ทองคำถูกลืม” แต่ขณะเดียวกัน มันก็เป็นรากฐานของระบบการเงินโลกที่เรากำลังอยู่ในตอนนี้
ตอนนั้นทองคำร่วง เพราะ คนกลับมาเชื่อในระบบ แต่ตอนนี้ทองคำขึ้น เพราะคนเห็นว่า ระบบกำลังพัง
ในยุค Volcker ...Fed ยังมีเครดิตและพลังในการปราบเงินเฟ้อได้จริง แต่ปัจจุบัน Fed กำลังติดอยู่ในหลุมโคลน ....มีหนี้รัฐบาลกว่า $38 ล้านล้าน และมีรัฐบาลที่นิสัยเสียเรื่องการใช้จ่าย
จะขึ้นดอกเบี้ยสูงต่อไปไม่ได้ ...เพราะจะทำให้ระบบพัง ดังนั้น “การลดดอกเบี้ย” และ “อัดเงินเพิ่ม” คือทางเดียวที่เหลืออยู่
ต่างจากยุค 1980 ที่เงินทุนทั่วโลกไหลเข้า “พันธบัตรสหรัฐ” ตอนนี้มันกำลัง “ไหลออก”
ธนาคารกลางทั่วโลกซื้อทองคำแทนที่จะซื้อพันธบัตร การค้าระหว่างประเทศเริ่มชำระด้วยสกุลอื่นมากขึ้น
การครองโลกของดอลลาร์กำลังถูกท้าทายจากทุกทิศทาง
และแม้ตอนนี้เราจะมีผู้นำที่พยายามฟื้นความแข็งแกร่งของอเมริกา — อย่างโดนัลด์ ทรัมป์ — แต่ “ความเชื่อมั่นในเงินกระดาษ” ไม่ได้กลับมาพร้อมกันด้วย
สรุป: ทำไมรอบทองคำครั้งนี้ “ไม่เหมือนเดิม”
หลายคนชอบพูดว่า “นี่มันเหมือนยุค 1970s อีกแล้ว ทองคำจะขึ้นแล้วก็ร่วงเหมือนเดิม”
แต่พวกเขากำลังมองข้ามสิ่งสำคัญที่สุด — ตอนนั้น Fed กล้าขึ้นดอกเบี้ยเกือบ 20%
ตอนนี้ Fed ทำแบบนั้นไม่ได้อีกแล้ว
สิ่งที่เรากำลังเห็นไม่ใช่ “ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย”
แต่มันคือ “ประวัติศาสตร์ที่เขียนขึ้นใหม่”
เครดิต : สายัณห์ รุจิรโมรา
โฆษณา