8 พ.ย. เวลา 06:16 • ไลฟ์สไตล์
ความมีอิสระ “ไม่เป็นไร” หรือหย่อนยานไม่เข้มงวด นั่นแหละ ที่มันเป็นข้อเสียแต่ก็เป็นข้อดีมากเหมือนกันของไทย
อย่างในญี่ปุ่นคือสังคมกดดันไปหมด ห้ามคุยโทรศัพท์ในรถไฟ ห้ามคุยกันเสียงดัง ความรู้สึกเหมือนอยู่ในคุกที่มีคนจ้องจะตำหนิตลอดเวลา (ซึ่งน่าเสียดายที่ไทยเริ่มจะเป็นแบบนั้นมากขึ้นแล้ว)
เราจำได้เลยว่าตอนเด็กสักมอต้นขึ้นรถไฟฟ้า เรามีความสุขมากที่ได้เห็นคนอื่นๆคุยกันสนุกสนาน เสียงดังพอประมาณแต่ไม่ได้ดังเว่อมาก แต่เรากลับมีความสุขที่ได้เห็นผู้คนมี ‘ชีวิตชีวา’ ทำให้เรารักประเทศไทยที่เป็นแบบนี้
แต่เมื่อไหร่ก็ไม่รุ้ที่มันกลายไปเรื่องที่ต้องมองแรงใส่คนอื่น หรือต้องกลัวว่าจะโดนเอาไปบ่นไปทัวร์ลงในโซเชียล
ผู้คนเป็นทุกข์มากขึ้น ตำหนิคนอื่นมากขึ้น จึงชี้นิ้วไปที่คนอื่นให้ต้องโดนแบบตัวเอง คุณต้องกลัวการตำหนิแบบฉันสิ
จริงๆเราอยากให้ในรถไฟฟ้ากินขนมกินน้ำได้หรือเอาสัตว์เลี้ยงขึ้นได้ ให้การเดินทางเป็นวิธีเดินทางหนึ่งในชีวิตของผู้คนจริงๆอ่ะ แต่เข้าใจว่าเรื่องความสกปรก ความแพ้สัตว์ แต่ก็ระบุโบกี้ไปเลยก็ได้นะ ว่าโบกี้นี้ให้สัตว์ขึ้นได้ไรงี้ เรื่องกินก็ไม่ต้องกินก็ได้เพราะเรื่องเล็ก
ประเทศไทยชอบไล่คนไปซื้อรถ หรือเรียกแทกซี่ เพราะขนส่งมวลชนไม่ครอบคลุมชีวิตจริงอ่ะ
สรุปเม้นนี้พูดข้อดีในอดีตและบ่นปัจจุบันจ่ะ😂
โฆษณา