9 พ.ย. เวลา 04:10 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

🚀 Product หรือ Project?

“เมื่อองค์กรใหญ่ยังติดอยู่ในชื่อ แต่ลืมสาระของคุณค่า”
====
💥 เมื่อคำว่า “Product” กลายเป็นแฟชั่น แต่ “Project” ยังเป็นความจริง?
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เราได้เห็นองค์กรขนาดใหญ่ (Corporate) พยายาม “รีแบรนด์” ตัวเองให้ดูทันสมัยขึ้นด้วยการนำศัพท์จากโลกสตาร์ทอัพเข้ามาใช้ในองค์กรเต็มไปหมด ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่ง Product Manager, มีการปรับกระบวนการทำงานในรูปแบบ Agile, ภาพการ meeting ก็อยู่บนพื้นฐานของ Scrum Ceremonies, หรือใช้คำว่า OKR ที่ฟังดูเหมือนหลุดมาจากซิลิคอนวัลเลย์เลย
แต่สิ่งที่กลับไม่เปลี่ยนเลยคือ “วิธีคิด” ที่ยังติดอยู่ในโลกของการทำ Project ที่องค์กรเหล่านี้คุ้นเคย คือ “โลกที่ทุกอย่างต้องเริ่ม ต้องจบ ต้องมี KPI ต้องรายงานผล และต้องตรวจเช็กงบประมาณอย่างละเอียดทุกขั้นตอน”  จน “คุณค่า” (Value) กลายเป็นสิ่งที่อยู่ลำดับท้ายสุดในลิสต์ความสำคัญ
“องค์กรเปลี่ยนคำศัพท์ แต่ไม่ได้เปลี่ยนความเชื่อ” และนั่นคือเหตุผลที่การทำ Transformation ส่วนใหญ่จบลงด้วย รูปแบบที่คล้ายๆ ว่าจะอยากมี/อยากเป็น แล้วก็รายงานออกมาในรูปแบบ PowerPoint มากกว่าการเปลี่ยนพฤติกรรมที่เปลี่ยนจริง
หลายองค์กรมีทีมการาร้างทีม Product แต่ก็ยังคงทำงานรูปแบบเดิมๆ คือวิ่งไล่ล่า Deadkine, รีบให้มีของส่ง User หรือผู้บริหาร, เร่งปิด KPI ที่ตัวเองไม่ได้ตั้งมาตรฐานชี้วัด แล้วก็ reset มันใหม่ทุกปีเหมือนเริ่มใหม่
เป็นโลกที่ยังวัด “ความสำเร็จของงาน” ด้วยระยะเวลา และงานที่ส่งได้ ไม่ใช่ “ผลกระทบต่อผู้ใช้” จริง
====
🤖 เพราะวิธีคิดมันต่างกันมาก (Product Thinking vs. Project Thinking) คือ ความต่างที่ไม่ใช่ “วิธีทำ” เท่านั้น
* “Project Thinking” มองงานเป็น “กิจกรรมชั่วคราว” เพื่อให้บรรลุเป้าหมายระยะสั้นในเวลาที่จำกัด
* แต่ “Product Thinking” มองงานเป็น “ระบบที่เติบโต” ซึ่งต้องเรียนรู้และพัฒนาอย่างต่อเนื่องตลอดเวลา
หลายองค์กรเข้าใจผิดว่า “Product Thinking” หมายถึงการมี Product Owner, การจัดการทำงานแบบ Sprint, หรือการมีเครื่องมือจัดการงาน เช่น พวก Jira เป็นต้น
แต่สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงแค่ “เครื่องมือ” ที่จะช่วยให้การเรียนรู้เร็วขึ้น ไม่ใช่ “หลักคิด” ที่จะเปลี่ยนวัฒนธรรมการทำงาน
“ตำรา” บอกให้ Product Manager โฟกัสที่ลูกค้า แต่ชีวิตจริงมักย้อนแย้งด้วย “ระบบ KPI” ที่เน้นวัดด้วย Deadline และรายงานงบประมาณ ผลลัพธ์คือ สุดท้ายทีมที่หมดไฟ เพราะรู้ว่าความพยายามไม่ได้เปลี่ยนชีวิตผู้ใช้จริง
“Project Thinking” คือการวางแผนเพื่อ “ส่งมอบ” แต่ “Product Thinking” คือการเรียนรู้เพื่อ “สร้างคุณค่า”  และการเปลี่ยนจาก “ส่งงาน” เป็น “สร้างงาน” คือสิ่งที่ยากที่สุดในองค์กรยุคเก่า
====
🎯 “Perform” ไม่ใช่เพราะชื่อเรียก แต่เพราะคุณค่าที่สร้างได้จริง?
“จะแคร์ทำไมว่ามันคือ Product หรือ Project ถ้ามัน Perform?” ~ ประโยคที่ครั้งหนึ่งผมเคยได้ยินจากผู้มีอิทธิพลในการตัดสินใจ
ประโยคนี้อาจฟังดูเรียบง่าย แต่ในความจริงคือ “ตัวชี้วัด” ที่แท้จริงขององค์กรที่มีวิสัยทัศน์ เพราะในโลกยุคใหม่ คำถามสำคัญไม่ใช่ว่า “คุณใช้ Framework อะไร?” แต่คือ “สิ่งที่คุณทำสร้างคุณค่าได้จริงหรือไม่?”
* ถ้าคุณใช้แนวคิดแบบสตาร์ทอัพ เพื่อแก้ Pain Point ของลูกค้าได้จริง = “นั่นคือ Perform”
* ถ้าคุณอยู่ในองค์กรใหญ่แต่สามารถปรับปรุงกระบวนการเดิมให้ดีขึ้น ลดต้นทุน หรือสร้างความพึงพอใจได้มากขึ้น = นั่นก็ยังคือ Perform
Perform ไม่ได้เกิดจากชื่อบทบาท แต่มาจาก “ความรับผิดชอบ” ที่คุณใส่ลงไปในสิ่งที่สร้าง และความกล้าที่จะยอมรับว่าสิ่งที่ทำอาจยังไม่ดีพอ และต้องเรียนรู้ซ้ำอีกครั้ง? (ไม่ใช่เพียงแค่ส่งงานให้ทัน แล้วจบๆ ไปตามช่วงเวลา)
====
⚠️ เมื่อคุณ “ทำเสร็จ” แต่ไม่ “สำเร็จ”? จะเกิดอะไรขึ้น?
องค์กรจำนวนมากยังติดกับ “ภาพสำเร็จ” มากกว่า “ผลลัพธ์จริง” เพราะสิ่งที่ระบบวัดคือสิ่งที่คนทำ และเมื่อ KPI วัดการ “ส่งมอบงาน” มากกว่าการ “สร้างคุณค่า” เราก็จะได้ทีมที่รีบส่ง ไม่ใช่ทีมที่อยากทำให้ดีที่สุด
* ลองนึกภาพบริษัทที่ประกาศความสำเร็จว่า “เราส่งระบบใหม่ได้ตรงเวลา” แต่พอเปิดใช้จริง ผู้ใช้กลับไม่เข้าใจวิธีใช้งาน และต้องเปิด Ticket แก้ไขกันทั้งเดือน
* หรืออีกกรณีคือทีมพัฒนาเร่งส่งฟีเจอร์ใหม่เพราะกลัวไม่ทัน Deadline แต่ไม่มีใครตรวจสอบเลยว่าฟีเจอร์นั้นแก้ปัญหาผู้ใช้จริงหรือไม่? ผลลัพธ์คือมีของส่ง แต่ไม่มีใครใช้ นี่คือภาพสะท้อนชัดเจนของการวัดผลที่เน้น “งานเสร็จ” มากกว่า “งานสำเร็จ”
สัญญาณเหล่านี้คืออาการเรื้อรังที่บ่งบอกว่าองค์กรของคุณกำลังทำ Product แบบ Project เช่น
1. “ทำงานตามคำสั่งโดยไม่ตั้งคำถาม เพราะกลัวถูกมองว่าขัดคำสั่ง” เช่น ทีม Product รอคำสั่งจากหัวหน้า โดยไม่กล้าถามว่าเหตุผลของฟีเจอร์นี้คืออะไร?
2. “ไม่เข้าใจลูกค้า” คิดว่างานคือการส่งมอบ Requirement ไม่ใช่การแก้ปัญหา เช่น ทีมออกแบบ UI ทำตามสเปก แต่ไม่เคยคุยกับผู้ใช้จริงเลย?
3. “ทุกอย่างด่วนหมด ไม่มีการจัดลำดับความสำคัญ (Prioritization) อย่างแท้จริง” จนสุดท้ายทีมหมดแรงแต่ไม่รู้ว่างานไหนสำคัญที่สุด
4. “ยึดติดกับความสำเร็จในอดีต” อ้างว่า “ลูกค้าก็ยังแฮปปี้” ทั้งที่โลกเปลี่ยนไปแล้ว เช่น ใช้ระบบเก่าที่ออกแบบมาเมื่อสิบปีก่อน โดยอ้างว่า “ยังใช้งานได้” แม้จะไม่ตอบโจทย์ยุค AI หรือยุคที่ tech stack พัฒนาไปถึงไหนแล้ว
5. วัดผลงานด้วย “Deadline” แทนที่จะวัดด้วย “คุณค่า” ที่เกิดขึ้นจริง จนกลายเป็นวัฒนธรรมที่ทุกคนกลัวพลาดกำหนดเวลา มากกว่ากลัวว่างานไม่เกิดผลลัพธ์จริง
“คุณอาจจะทำให้เสร็จ แต่ไม่ได้ทำให้สำเร็จ” ความต่างนี้เองคือสิ่งที่แยก “คนทำงาน” ออกจาก “เจ้าของงาน”
====
🧭 เปลี่ยนจาก “โรงงานผลิต” สู่ “พ่อแม่ของผลงาน”?
* จำไว้ในโลกที่การเปลี่ยนแปลงเร็วกว่าเดิม สิ่งที่องค์กรต้องการไม่ใช่แค่คนที่ทำงานเสร็จตามแผน แต่คือ “คนที่รักในสิ่งที่สร้าง” 
* คนที่มี “Ownership” จะไม่ปล่อยงานออกไปแบบครึ่งๆ กลางๆ พวกเขาจะปกป้องงานจากแนวคิดที่ไม่ดี ใส่ใจในรายละเอียด และทุ่มเทให้มันเติบโตอย่างมีคุณภาพ เพราะเขามองว่าสิ่งที่สร้างคือ “ลูก” ไม่ใช่ “สินค้า”
“คุณค่าของงานไม่ได้อยู่ที่ปริมาณ แต่ขึ้นอยู่กับความรักที่คุณใส่ลงไปในทุกรายละเอียด”
* องค์กรที่มีแต่คนทำงานแบบ “โรงงานผลิต” จะเต็มไปด้วยของที่ “เสร็จ” แต่ไม่มีอะไร “สำเร็จ” เพราะไม่มีใครคิดถึงคุณค่าปลายทางจริงๆ
* เพราะเมื่อคนเริ่มคิดเหมือน “พ่อแม่ของผลงาน” ทุกกระบวนการจะเปลี่ยนจาก “ส่งมอบ” เป็น “สร้างคุณภาพ”  และนั่นคือจุดเริ่มต้นของวัฒนธรรมองค์กรที่แท้จริง
====
🌍 Product vs. Project = “สะท้อนวัฒนธรรมองค์กรได้มากกว่าที่คิด?”
คำว่า Product และ Project ไม่ได้แค่ต่างกันในหลักการ แต่มันสะท้อน “ระดับของการเปลี่ยนแปลงเชิงวัฒนธรรม” ในองค์กรด้วย
ลองจินตนาการถึงสององค์กรที่ต่างกันสุดขั้ว?
* บริษัท A ยังคงวัดผลด้วยระยะเวลาและการส่งมอบงานตรงตามแผน ทีมประชุมกันทุกสัปดาห์เพื่ออัปเดต Gantt Chart และเช็กสถานะว่าทันเดดไลน์หรือไม่? ใครทำงานเสร็จตามแผนถือว่าผลงานดี แต่แทบไม่มีใครถามเลยว่าผู้ใช้พอใจหรือไม่?
* บริษัท B กลับเลือกวัดผลด้วยคุณค่าที่สร้างได้จริง เช่น ยอดการใช้งานของลูกค้าเพิ่มขึ้นหรือไม่? ทีมพัฒนาอาจพลาดเดดไลน์เล็กน้อย แต่กลับได้รับ Feedback เชิงบวกจากผู้ใช้และนำมาปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
สองภาพนี้คือ “กระจกสะท้อนวัฒนธรรมองค์กร”?
* องค์กรที่ยังวัดผลด้วยเวลา จะหมุนอยู่ในวงจรของ Project Thinking  = ทุกอย่างมุ่งไปที่การส่งมอบตามกำหนด แต่ขาดการเรียนรู้
* องค์กรที่วัดผลด้วยคุณค่า จะค่อยๆ เติบโตสู่ Product Thinking อย่างแท้จริง เพราะพวกเขาเข้าใจว่าการเรียนรู้จากผู้ใช้คือการลงทุนระยะยาว
* และองค์กรที่ผสมผสานทั้งสองอย่างได้ คือองค์กรที่มี “วินัยของ Project” เพื่อให้เกิดความต่อเนื่อง และ “หัวใจของ Product” เพื่อให้เกิดการเติบโต
ตัวอย่างเช่น Spotify ใช้จังหวะการทำงานที่ชัดเจนแบบ Project ในการวางจังหวะการปล่อยฟีเจอร์ใหม่ แต่ในเวลาเดียวกัน ทุกทีมย่อย (Squad) มีอิสระและความรับผิดชอบเหมือนเจ้าของผลิตภัณฑ์ (Product Owner) ซึ่งเป็นตัวอย่างของการใช้วินัยและหัวใจควบคู่กันอย่างลงตัว
เพราะสุดท้ายแล้ว Product Thinking ไม่ได้แปลว่าไร้โครงสร้าง แต่มันหมายถึงการใช้โครงสร้างอย่างยืดหยุ่น เพื่อสร้างคุณค่าที่เติบโตได้จริง  เหมือนต้นไม้ที่ต้องมีรากแข็งแรง แต่ก็ต้องยืดหยุ่นพอที่จะเติบโตตามแสงแดดแห่งการเปลี่ยนแปลง
====
✨ ดังนั้น แนะนำให้หยุดเถียงเรื่อง “ชื่อ” แล้วลงมือ Perform จริงๆ
Product หรือ Project ไม่ได้สำคัญเท่ากับคำถามง่ายๆ ข้อเดียว
“วันนี้ สิ่งที่คุณสร้าง มันสร้างคุณค่าให้ผู้ใช้และองค์กรได้จริงหรือยัง?”
ในยุคที่เครื่องมือ Framework และชื่อเรียกเปลี่ยนได้ตลอดเวลา สิ่งเดียวที่ยังไม่เปลี่ยนคือ “หัวใจของคนทำงาน” หัวใจที่อยากสร้างสิ่งที่ดีให้ผู้ใช้ และภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองทำ
และบางที คำว่า “Product” หรือ “Project” อาจไม่สำคัญเลย ถ้า “Performance” ของคุณพูดแทนทุกอย่างได้ชัดเจนกว่า
#วันละเรื่องสองเรื่อง
#ProductVsProject
#Leadership
#OrganizationalCulture
#Agile
#Innovation
#Performance
โฆษณา