7 ชั่วโมงที่แล้ว • ธุรกิจ

เล่าเรื่องธุรกิจ Data Center และซอฟต์แวร์ เข้าใจง่าย ๆ ด้วยโมเดลธุรกิจร้านค้า เช่าที่บนศูนย์การค้า

หากพูดถึงโมเดลศูนย์การค้า อย่าง Central หรือ The Mall
แน่นอนว่าศูนย์การค้า ก็เป็นพื้นที่ที่จับต้องได้ โดยมีร้านค้าต่าง ๆ เข้ามาเช่าพื้นที่
แล้วร้านค้า ก็จะขายสินค้า และบริการกับคนทั่วไป
เพื่อหารายได้ มาจ่ายค่าเช่าพื้นที่กับเจ้าของศูนย์การค้านั้น
ซึ่งโมเดลศูนย์การค้านี้ ก็อธิบายได้ไม่ยาก ในโลกของดิจิทัล
ลองหลับตานึกภาพตามว่า
ในโลกดิจิทัล “ศูนย์การค้า” ก็เปรียบเสมือน Data Center ขนาดใหญ่มาก ๆ
ซึ่ง Data Center ก็ปล่อยพื้นที่คลาวด์ ให้กับบริษัทซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ได้เข้ามาเช่าพื้นที่
เมื่อเปรียบเทียบแบบนี้ ก็แน่นอนว่า หุ้นที่ทำชิปอย่าง NVIDIA, AMD และ Broadcom
ก็เปรียบเสมือนผู้สร้างและออกแบบระบบต่าง ๆ ภายในอาคาร ให้ศูนย์การค้าสามารถเปิดให้บริการได้
แน่นอนว่าผู้ให้บริการ Data Center หรือเปรียบเทียบง่าย ๆ ก็คือเจ้าของศูนย์การค้า ก็มีผู้ให้บริการหลัก ๆ อยู่ 4 เจ้าด้วยกันตอนนี้ นั่นก็คือ
- Amazon Web Services ครองส่วนแบ่งตลาด 30%
- Microsoft Azure ครองส่วนแบ่งตลาด 20%
- Google Cloud Platform ครองส่วนแบ่งตลาด 13%
- Oracle Cloud Infrastructure ครองส่วนแบ่งตลาด 3%
ทั้ง 4 เจ้านี้ ครองส่วนแบ่งตลาดผู้ให้บริการ Data Center ไปมากกว่า 60% แล้ว
ถ้าภายในศูนย์การค้าแต่ละแห่ง มีพื้นที่เป็นแสนตารางเมตร ไปปล่อยให้ร้านค้าต่าง ๆ ได้เช่าแล้ว
แน่นอนว่าผู้ให้บริการ Data Center แต่ละแห่ง ก็มีคอมพิวเตอร์เรียงกันเป็นแสนเครื่อง
แต่ผู้ให้บริการ Data Center จะไม่ได้นำคอมพิวเตอร์ที่มีอยู่เป็นแสนเครื่องนั้น มาใช้เองทั้งหมด
โดยผู้ให้บริการ Data Center จะปล่อยคอมพิวเตอร์และพลังประมวลผลของตัวเอง
ที่มีอยู่เป็นแสน ๆ เครื่อง ให้ธุรกิจซอฟต์แวร์ต่าง ๆ เช่าในรูปแบบของคลาวด์นั่นเอง
และธุรกิจซอฟต์แวร์ ที่เปรียบเสมือนร้านค้าภายในศูนย์การค้านั้น
ก็มีทั้งผู้ให้บริการ Software as a Service (SaaS) สำหรับองค์กร
ไปจนถึงผู้ให้บริการด้านความปลอดภัย หรือ Cybersecurity สำหรับองค์กรด้วย
เมื่อเป็นแบบนี้ ทำให้โมเดล Software as a Service
จะเป็นรูปแบบ B2B ที่มีลูกค้าหลัก ตั้งแต่องค์กรขนาดใหญ่ ไปจนถึงธุรกิจขนาดเล็ก
ซึ่งในตอนนี้ ก็มีบริษัทซอฟต์แวร์ขนาดใหญ่หลายแห่ง ที่มีมูลค่าบริษัทระดับล้านล้านบาท ไม่ว่าจะเป็น
1. Palo Alto Networks ผู้นำด้าน Cybersecurity ที่องค์กรระดับโลกจำเป็นต้องใช้ อย่างรัฐบาล ธนาคาร ไปจนถึงบริษัทห้างร้านต่าง ๆ
2. Intuit ผู้นำด้านซอฟต์แวร์ทางการเงิน เคียงคู่ชาวอเมริกัน ไว้สำหรับทำบัญชีและคิดภาษีเงินได้
โดยเน้นกลุ่มธุรกิจ SME และบุคคลทั่วไป
3. Salesforce ผู้นำด้านซอฟต์แวร์ CRM สำหรับการดูแลลูกค้า บริหารการขาย การตลาด และบริการหลังการขายต่าง ๆ ที่ทั้งบริษัทขนาดใหญ่หรือขนาดเล็กจำเป็นต้องใช้
4. ServiceNow เป็นซอฟต์แวร์ ที่เก่งเรื่อง Workflow Automation หรือการบริหารจัดการงาน หรือปัญหาต่าง ๆ ภายในองค์กร
5. Adobe ซอฟต์แวร์เจ้าของโปรแกรมกราฟิก ที่เรารู้จักดี อย่าง Photoshop, Illustrator, Acrobat และ Premiere Pro โดย Adobe ได้เปลี่ยนโมเดลธุรกิจขายซอฟต์แวร์ จากเดิมที่ขายขาดโปรแกรม ไปเป็นการปล่อยเช่าบนคลาวด์แทน
6. CrowdStrike อีกหนึ่งผู้นำด้าน Cybersecurity ที่เก่งกาจด้านการใช้ AI ตรวจจับภัยคุกคามแบบเรียลไทม์
7. AppLovin บริษัทซอฟต์แวร์ ที่เข้ามาช่วยให้แอปพลิเคชันต่าง ๆ มีรายได้จากการโฆษณา
AppLovin จะเป็นตัวกลางและโซลูชันให้ผู้ที่ลงโฆษณา สามารถยิงแอดให้เข้าถึงลูกค้าได้ตรงกลุ่มเป้าหมาย กับช่วยให้นักพัฒนาแอปพลิเคชัน มีรายได้จากโฆษณาบนแอปพลิเคชัน
8. Microsoft นอกจากจะเป็นผู้ให้บริการ Data Center รายใหญ่แล้ว
Microsoft ก็ยังมีโซลูชันซอฟต์แวร์องค์กรแบบครบวงจร อย่าง Microsoft Office และ Dynamics 365 ที่บริษัท หรือธุรกิจต่าง ๆ จำเป็นต้องใช้
9. Oracle หนึ่งในผู้นำด้านซอฟต์แวร์ ERP และระบบ HR สำหรับบริหารจัดการหลังบ้านของธุรกิจขนาดใหญ่
แถม Oracle ยังเป็นผู้ให้บริการ Data Center ที่มีลูกค้ารายใหญ่อย่าง OpenAI ใช้งานอยู่ด้วย
10. Cadence Design Systems เป็นซอฟต์แวร์ ผู้อยู่เบื้องหลังชิป GPU หรือชิปบนสมาร์ตโฟน
ซึ่งบริษัทผู้ออกแบบชิปอย่าง NVIDIA, Intel หรือ AMD จำเป็นต้องใช้
เพื่อช่วยให้นักพัฒนาชิป สามารถออกแบบชิปได้รวดเร็วและแม่นยำมากขึ้น
1
โดยธุรกิจ Software as a Service จะมีความได้เปรียบอยู่ 2 อย่าง
 
- ความได้เปรียบแรก คือ
ธุรกิจซอฟต์แวร์ มีรายได้จากค่า Subscription เป็นรายแพ็กเกจให้กับผู้ใช้งาน ตั้งแต่องค์กรขนาดใหญ่ ไปจนถึงลูกค้ารายย่อย ซึ่งค่า Subscription ก็จะเป็นรายเดือน หรือรายปี ตามที่ตกลงกัน
เมื่อเป็นแบบนี้ ก็จะทำให้ธุรกิจซอฟต์แวร์มีรายได้ หรือ Recurring Revenue เข้ามาสม่ำเสมอทุกปี
ส่วนต้นทุนค่าใช้จ่ายหลัก ๆ ก็จะเป็นต้นทุนค่าเช่าคลาวด์ กับผู้ให้บริการ Data Center รายต่าง ๆ
ไปจนถึงค่าใช้จ่าย R&D และค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร
ซึ่งต้นทุนค่าเช่าคลาวด์ ธุรกิจซอฟต์แวร์ ก็จะจ่ายให้กับผู้ให้บริการ Data Center เป็นงวด ๆ ไป
เหมือนกับร้านค้าที่จ่ายค่าเช่าที่ให้กับศูนย์การค้าเป็นรายเดือน หรือรายปี
ดังนั้นต้นทุนค่าเช่าคลาวด์ โดยส่วนใหญ่ก็ถือเป็นต้นทุนคงที่
ที่ถึงแม้ว่า จะมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการซอฟต์แวร์บนคลาวด์มากขึ้น ค่าใช้จ่ายส่วนนี้ก็คงไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเท่าไรนัก เพราะธุรกิจซอฟต์แวร์ส่วนใหญ่ มักจะสำรองพื้นที่เช่าบนคลาวด์ เพื่อให้กับลูกค้าองค์กรเยอะ ๆ อยู่แล้ว
ส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหาร หรือ R&D ก็จะเพิ่มขึ้นตามโปรเจกต์ต่าง ๆ ที่ได้พัฒนาขึ้นมานั่นเอง
ดังนั้นต้นทุนส่วนใหญ่เหล่านี้ ส่วนมากก็จะเป็นต้นทุนคงที่ ที่เพิ่มขึ้นตามรายได้ไม่มากเท่าไร
แถมไม่มีต้นทุนในการสต๊อกสินค้า และวัตถุดิบ เหมือนร้านค้าปลีกและร้านอาหาร ที่เช่าพื้นที่บนศูนย์การค้า
ยิ่งองค์กรใช้บริการซอฟต์แวร์มากขึ้น รายได้ก็จะขยายแบบทวีคูณ
ซึ่งโมเดลแบบนี้ ก็จะทำให้บริษัทซอฟต์แวร์ กลายเป็นเครื่องจักรผลิตกำไรได้ในระยะยาว
 
- ความได้เปรียบที่สอง คือ
มี Switching Cost สูง ลูกค้าเปลี่ยนไปใช้เจ้าอื่นได้ยาก
เมื่อลูกค้าองค์กรใช้ซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ไปสักระยะหนึ่ง
ข้อมูล วิธีการใช้งาน และ Workflow ทั้งหมดก็จะถูกผูกอยู่กับระบบนั้น
- โดยข้อมูล ก็จะมีลักษณะเฉพาะที่ผูกติดกับซอฟต์แวร์นั้น
- Workflow ต่าง ๆ ของซอฟต์แวร์แต่ละอันก็ไม่เหมือนกัน
ดังนั้น ถ้าหากว่าองค์กรใหญ่ ๆ คิดอยากจะเปลี่ยนไปใช้ซอฟต์แวร์เจ้าอื่น
องค์กรนั้นก็จะต้องเสียเวลาทำการย้ายข้อมูลใหม่, เรียนรู้ Workflow ใหม่, วางโครงสร้างทีมงานใหม่ และต้องเทรนพนักงานใหม่ทั้งหมด
ซึ่งทั้งหมดนี้ ก็ทำให้ธุรกิจเสียค่าใช้จ่ายเพื่อเปลี่ยนซอฟต์แวร์
นอกจากนี้ ธุรกิจซอฟต์แวร์ต่าง ๆ ก็เริ่มหันมาผนวก AI ให้เข้าไปอยู่ในซอฟต์แวร์ของตัวเอง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งาน
ยกตัวอย่างเช่น
- Microsoft Office และ Dynamics 365
ที่เอา Copilot ซึ่งเป็นผู้ช่วย AI ไปฝังอยู่กับโปรแกรมต่าง ๆ ของ Microsoft ซึ่งจะช่วยสรุปอีเมล เขียนเอกสาร และวิเคราะห์ข้อมูลได้อัตโนมัติ
- Salesforce ได้พัฒนา Agentforce ซึ่งเป็น Agentic AI
ที่จะเข้ามาช่วยรับเรื่องจากลูกค้า เขียนอีเมล และนำมาใช้ประสานงานกันภายในทีม ซึ่งทำให้สามารถลีนองค์กรให้มีขนาดเล็กลง และประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น
- Intuit ที่ได้พัฒนา Intuit Assist
AI ผู้ช่วยส่วนตัวด้านการเงินและภาษี ที่ฝังอยู่ใน QuickBooks, TurboTax และ Credit Karma
สามารถช่วยเจ้าของกิจการทำบัญชี คาดการณ์รายรับ-รายจ่าย และยื่นภาษีได้อัตโนมัติ
- Adobe ที่ได้พัฒนา Firefly และ Sensei GenAI
ใช้ AI เพื่อสร้างภาพ วิดีโอ และคอนเทนต์จากข้อความ (Text-to-Image/Video)
ช่วยให้กราฟิกครีเอเตอร์ และนักการตลาดทำงานได้เร็วขึ้นหลายเท่า
แน่นอนว่าหลาย ๆ บริษัทซอฟต์แวร์ที่เริ่มเอา AI เข้ามาใช้
เมื่อลูกค้าองค์กรส่วนใหญ่นิยมใช้งาน เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน สามารถลีนองค์กร
และลดต้นทุนได้มากขึ้น
ทำให้หลาย ๆ บริษัทซอฟต์แวร์ สามารถขึ้นราคาค่า Subscription ให้แพงขึ้นได้อีก
ทั้งหมดนี้ ก็คือเรื่องของโมเดลธุรกิจ Software as a Service
ที่ไปเช่าพื้นที่คลาวด์ ของผู้ให้บริการ Data Center
ไม่ต่างจากร้านค้า หรือร้านอาหาร ที่ไปเช่าพื้นที่ขายบนศูนย์การค้า
แต่ธุรกิจซอฟต์แวร์ กลับไม่ได้ขายสินค้าต่าง ๆ ให้คนที่มาเดินเหมือนร้านค้าทั่ว ๆ ไป
แต่ขายสิทธิ์ในการใช้งานซอฟต์แวร์ ที่เปรียบเสมือนระบบประสาท ของธุรกิจขนาดใหญ่และขนาดเล็ก
ยิ่งระบบประสาทดี และรวดเร็วเท่าไร
องค์กรต่าง ๆ ก็ยิ่งทำงานได้มีประสิทธิภาพ ตัดสินใจได้แม่นยำ เคลื่อนไหวได้รวดเร็ว
และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันเหนือคู่แข่งด้วยนั่นเอง..
ซึ่งล่าสุด ก็มีกองทุน MEGA10CYBER ซึ่งเป็นกองทุนหุ้นเทคโนโลยี
ทางด้านซอฟต์แวร์องค์กร (Software Enterprise)
และระบบรักษาความปลอดภัยทางไซเบอร์ในระดับองค์กร (Cybersecurity)
ที่มีมูลค่าตลาดขนาดใหญ่ และมีสภาพคล่องสูงสุด 10 อันดับแรก
และเป็นบริษัทเจ้าของซอฟต์แวร์ ที่องค์กรหรือธุรกิจขนาดใหญ่จำเป็นต้องใช้..
โฆษณา