เข้าใจเกมค่าเงิน ที่พลิกดีลเหมือนจะขาดทุน ให้กลายเป็นกำไร ในซีรีส์ Typhoon Family
Spoiler Alert : มีการเปิดเผยเนื้อหาบางตอนของซีรีส์
สำหรับใครที่ยังไม่ได้ดู Typhoon Family ซีรีส์นี้เล่าเรื่องราวของบริษัทการค้าเล็ก ๆ ที่ต้องหาทางเอาตัวรอดจากวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ในปี 1997
หรือที่คนไทยจะรู้จักกันดีในชื่อ “วิกฤติต้มยำกุ้ง”..
โดยในตอนหนึ่งของเรื่อง ทางตัวเอกได้มีการทำดีลธุรกิจที่ดูเหมือนจะบ้าบิ่น ด้วยการยอมจ่ายค่าธรรมเนียมคืนสินค้าเพิ่มเป็นสองเท่า เพื่อให้คู่ค้ารับสินค้าคืน
ถ้าในเวลาปกติ การทำแบบนี้ฟังดูเหมือนเป็นทางเลือกที่จะทำให้ขาดทุนมากกว่าเดิม
แต่สุดท้ายแล้วดีลนี้ กลับกลายเป็นดีลที่ทำให้บริษัท Typhoon Family ได้กำไรแทนเสียอย่างนั้น
ถ้าสงสัยว่าเพราะอะไร พระเอกถึงได้กำไรจากดีลที่เหมือนจะขาดทุนครั้งนี้ ?
MONEY LAB จะย่อยเรื่องการเงิน การลงทุน ให้เข้าใจง่าย ๆ
บริษัท Typhoon Family ของพระเอกนั้น ต้องเผชิญปัญหาจากการที่คู่ค้ารายใหญ่ที่สั่งผ้านำเข้าไว้กับบริษัทของตัวเอก ประสบปัญหาทางการเงินจากวิกฤติเศรษฐกิจเช่นเดียวกัน จนทำให้การส่งมอบสินค้าต้องหยุดชะงัก
ผ้าล็อตใหญ่ที่เตรียมจะส่งมอบเลยกลายเป็นปัญหาใหญ่ทันที เพราะจะขายต่อก็ไม่มีคนซื้อ แต่จะเก็บไว้ก็ต้องเสียค่าเช่าโกดังอีก
สุดท้ายทางบริษัท Typhoon Family จึงตัดสินใจจะ “ส่งสินค้าคืน” ทั้งที่ในสัญญาระบุว่า หากคืนจะต้องเสียค่าธรรมเนียมด้วย 15%
ถ้าคิดแบบเร็ว ๆ ของที่ซื้อมา 100 บาท แล้วต้องจ่ายค่าธรรมเนียมคืน 15 บาท ก็เท่ากับขาดทุนแน่ ๆ อยู่แล้ว
แต่ตัวเอกกลับเสนอจะจ่ายค่าธรรมเนียมเพิ่มเท่าตัว
จาก 15% เป็น 30% เพื่อให้คู่ค้าตกลงรับสินค้าคืนแน่นอน
การตัดสินใจแบบนี้ ทำให้ทุกคนในบริษัทถึงกับตกใจ
เพราะดูเหมือนกำลังยอมขาดทุนเพิ่ม ทั้งที่ตอนแรกบริษัทก็แทบจะไม่เหลืออะไรอยู่แล้ว
แต่สิ่งที่เปลี่ยนเกมในตอนนั้น ที่หลายคนมองข้ามไป
นั่นคือ อัตราแลกเปลี่ยน หรือค่าเงินนั่นเอง
ย้อนไปปี 1997 ช่วงที่หลายประเทศในเอเชียต้องเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่
ในไทย เราจำมันได้ในชื่อ “วิกฤติต้มยำกุ้ง” แต่ในเกาหลีใต้ เหตุการณ์เดียวกันนี้ ถูกจดจำในชื่อ “วิกฤติ IMF”
ในช่วงนั้นหลายประเทศในเอเชียประกาศลอยตัวค่าเงิน
ผลที่ตามมา ทำให้ค่าเงินวอนอ่อนค่าลงอย่างรวดเร็ว ไม่ต่างจากบ้านเราในตอนนั้นที่เงินบาทอ่อนค่าหนัก จนหลายธุรกิจต้องปิดตัวลง
และเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น เรามาทำความเข้าใจ พื้นฐานเรื่องค่าเงิน ผ่านเหตุการณ์นี้กัน
ตัวอย่างในเรื่อง
ตอนทำสัญญา 1 ดอลลาร์ ประมาณ 1,000 วอน
ตอนจะส่งคืน 1 ดอลลาร์ ประมาณ 1,800 วอน
การที่ 1 ดอลลาร์ แลกเป็นเงินวอนได้มากขึ้น แปลว่า เงินวอนอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์
หรือในทางกลับกันก็แปลว่า เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับเงินวอน
คิดเลขกลม ๆ สมมติถ้าบริษัท Typhoon Family ซื้อผ้ามา 100 ดอลลาร์
อัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์ เท่ากับ 1,000 วอน
ก็เท่ากับซื้อมา 100 x 1,000 = 100,000 วอน
ตอนจะส่งคืนของ บริษัท Typhoon Family ก็จะได้เงินคืน 100 ดอลลาร์เท่าเดิม
เพียงแต่เมื่อตอนส่งคืน 1 ดอลลาร์กลับแลกได้ถึง 1,800 วอน เงินก้อนเดิมจึงมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเป็น 180,000 วอนทันที
เท่ากับว่า ถ้าส่งของคืนกลับไปได้ บริษัท Typhoon Family จะได้เงินเพิ่มกลับมา 80,000 วอนโดยไม่ต้องทำอะไรเลย
ทีนี้แม้จะต้องเสียค่าธรรมเนียม 30% ของมูลค่าผ้า
หรือคิดเป็นเงินวอนเท่ากับ 54,000 วอน
สุดท้าย เมื่อได้เงินคืน 180,000 วอน หักค่าธรรมเนียมการส่งคืนไป 54,000 วอน ก็เท่ากับว่ายังมีเงินเหลือ 126,000 วอน
ทำให้เมื่อเทียบกับต้นทุนเดิม ก็จะได้กำไร = 126,000 - 100,000 = 26,000 วอน อยู่ดี
นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า ทำไมการแข็งหรืออ่อนค่าของค่าเงิน ถึงสามารถเปลี่ยนผลลัพธ์ของดีลทางธุรกิจได้เลย
โดยเฉพาะในช่วงเวลาไม่ปกติ อย่างวิกฤติเศรษฐกิจที่ทำให้ค่าเงินผันผวนอย่างรุนแรง
และถ้ามองในแง่เศรษฐกิจจริง เหตุการณ์นี้คือภาพสะท้อนของกลไกที่เกิดขึ้นซ้ำ ๆ เพราะทุกครั้งที่ค่าเงินขยับ จะมีบางธุรกิจเสียประโยชน์ และบางธุรกิจได้ประโยชน์เสมอ
ในมุมของบริษัท Typhoon Family ที่กำลังจะส่งสินค้ากลับไปต่างประเทศพอดี แม้จะได้เงินสกุลต่างประเทศกลับมาเท่าเดิม
แต่ประโยชน์จากค่าเงินวอนที่อ่อนค่า ก็ทำให้มูลค่าเงินก้อนนั้นที่แลกกลับมาเป็นเงินวอนเพิ่มขึ้นทันที
สุดท้ายแล้ว การทำธุรกิจจึงไม่ใช่แค่เรื่องของการซื้อขายสินค้า แต่คือการเข้าใจกลไกทางเศรษฐกิจรอบตัว ทั้งเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน ต้นทุน และจังหวะการต่อรอง
เพราะบางครั้งสิ่งที่ดูเหมือนเป็นการยอมเสียในระยะสั้น อาจกลายเป็นการได้เปรียบในระยะยาว ถ้าเรามองเกมการเงินให้ขาด
นี่จึงเป็นบทเรียนสำคัญของเรื่องนี้ ว่าในยุคที่เศรษฐกิจไม่แน่นอน คนที่มีไหวพริบ มองเห็นโอกาสท่ามกลางวิกฤติ มักจะเป็นคนที่อยู่รอดและเติบโตได้เสมอ..
#ธุรกิจ
#โมเดลธุรกิจ
#TyphoonFamily
- 18
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
