Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Scorpio.K | ปรัชญาและจิตวิเคราะห์สังคม
•
ติดตาม
10 พ.ย. เวลา 14:17 • การศึกษา
"บันทึกจากห้องเรียน ป.เอก"
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 5 ปีก่อน...
ตอนที่เรากำลังเรียนปริญญาเอก โจทย์ที่ได้รับคือ "เขียนบทความเรื่องอะไรก็ได้" แต่ในขณะนั้นเอง บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วย ความขัดแย้งทางอารมณ์ และ วิกฤตความไว้ใจ ที่เริ่มก่อตัวขึ้นในสังคม
ในขณะที่ศึกษาเรื่องของความขัดแย้งทางสังคม เราได้เห็นคนหลายกลุ่ม ต่างคนต่างมีความภาคภูมิใจ ในสิ่งที่รักและภักดี ต่างถูกหล่อหลอมให้รู้สึกหวงแหนในถิ่นกำเนิด แต่ทำไมวันนี้ ความรักเหล่านั้นกลับนำไปสู่ ความไม่เห็นด้วย และ ความแตกแยก?
จากสิ่งที่เราคิดและได้เห็นในขณะนั้น จึงเป็นจุดเริ่มต้นการนำไปสู่การตัดสินใจครั้งสำคัญที่จะเลือกเขียนบทความ เรื่อง "รักชาติ" โดยใช้ "ทฤษฎีความรัก" (Philia & Agape) เป็นกุญแจไขปม
ตอนที่ 2
🧐 บันทึกจากห้องเรียน ป.เอก: ปริศนา "รักชาติ" ที่ต้องใช้ "ความรัก" ไขปม
หลังจากที่เราตัดสินใจเลือกเขียนบทความ เรื่อง "รักชาติ" โดยใช้ "ทฤษฎีความรัก" (Philia & Agape) เป็นกุญแจไขปม
เราก็เริ่มวางแผนว่า เราจะเริ่มต้นอย่างไร เลือกวิธีการที่จะศึกษาอะไรก่อน สัมภาษณ์บุคคลประเภทใด เลือกที่ไหน คือในขณะนั้น ในสมองก็มีแต่ คิด ๆๆๆๆๆๆ คิดแล้วคิดอีก "เอาไงละเนี่ยะ" ในความคิดขณะนั้น เราน่าจะเลือก ประเด็นหัวข้อที่ต้องการเขียนเพื่อเป็นการวางกรอบ แนวทางไม่ให้ออกทะเล ซึ่งนำไปสู่การได้คำตอบตรงประเด็นที่เราตั้งใจ แต่....ไม่ใช่สิ่งที่เราควรทำเป็น Step สิ่งที่เราทำก็คือ
อันดับแรกที่เริ่มปฏิบัติการคือ ไปหาญาติพี่น้อง ลุงป้าน้าอา คนรอบตัว ถามเขาตรงๆว่า รักชาติไหม ต่างก็ให้คำตอบว่า รักชาติ กันทุกคน ใครๆ ก็รักชาติทั้งนั้น อยู่ในบ้านก็รักชาติได้
สิ่งที่คิดในใจคือ "จะได้งานตรงประเด็นไหมเนี่ยกับการศึกษาระดับนี้ "
ความจริง "ในใจคิด ก็จริง ใครๆ ก็รักชาติกันทั้งนั้น"
....แต่ทำไมสังคมถึงได้วุ่นวาย สรุปว่า สิ่งที่เราดำเนินการปฏิบัติการเขียนบทความ รักชาติ ไม่ได้เริ่มจากตรงนี้ละ เอาใหม่ กลับไปวางแผนใหม่ แล้วลงมืออีกครั้ง
เริ่มต้นใหม่
การกลับเข้าสู้เส้นทางวิชาการ
จากการวางแผนใหม่และลงมืออีกครั้ง! เรานำขั้นตอนของการเป็นนักวิจัยมาใช้เพื่อหา “ความจริง” ใน "เชิงประจักษ์"
ขั้นตอนแรก
1) อ่านเยอะๆ ในสิ่งที่เราสนใจ
2) ศึกษาเอกสารที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นบทความที่เคยตีพิมพ์มาแล้ว และงานวิจัยทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ
3) ศึกษาทฤษฎีความรัก ของ Philia และ Agape ให้ละเอียดและตีความอย่างเข้าใจ
4) ความหมายของคำว่า "ชาติ" และ "ชาตินิยม"
ขั้นตอนที่สอง
กำหนดแกนหลักของบทความคือ เราต้องมี "คำตอบ" ให้คนฟังได้เข้าใจในสิ่งที่เราต้องการเสนอ จึงได้จับประเด็นขึ้นมา 2 ข้อ คือ
1) ความรักชาติที่ยั่งยืนและสร้างสรรค์ ไม่ใช่เพียงรักจนบ้าคลั่ง แต่ต้องตั้งบนพื้นฐานของความผูกพันและผลประโยชน์ร่วมกันในฐานะเพื่อนร่วมชาติ (Philia) และ การเสียสละและปรารถนาดีอย่างบริสุทธิ์ต่อพลเมืองทุกคนอย่างเท่าเทียม (Agape) เนื้อหานี้จะเน้นว่าทั้ง Philia และ Agape ต้องไปด้วยกัน
*** ถ้ามีแต่ Philia จะเป็นชาตินิยมที่ไม่ยอมใคร
*** ถ้ามีแต่ Agape จะมีแต่อุดมการณ์แต่ไร้สิ่งจูงใจ
2) ความรักชาติจาก Philia ไปสู่ Agape ที่จะยกระดับ 'ความเป็นชาติ' ที่ล้อมรอบไปด้วยความหลากหลายให้มีใจยึดมั่นในความเมตตา เน้นที่ กระบวนการที่ทำให้เกิดความรักชาติในรูปแบบที่สูงขึ้น
ขั้นตอนที่ 3
- หาบุคคลที่ควรสัมภาษณ์ ที่เราคิดว่าน่าจะให้คำตอบได้
กลุ่มที่ 1 นักประวัติศาสตร์ / โบราณคดี / สังคมศาสตร์
กลุ่มที่ 2 ทหารผ่านศึก / ตำรวจ / ครู / หมอ / พยาบาล
กลุ่มที่ 3 นักกิจกรรมทางสังคม
- หาข้อมูลจากสื่อข่าวที่ให้สัมภาษณ์ / พฤติกรรมที่แสดงให้เห็น / แหล่งข่าวให้ติดตามประจำวัน / เอกสารที่มีการอ้างอิง
ขั้นตอนที่ 4
1) กำหนดหัวข้อสัมภาษณ์ ใช้หัวข้อหลักว่า "ชาติในอุดมคติ" จะมีคำถามย่อย
หลาย ๆ ข้อ
2) วิจารณ์การกระทำอันก่อเหตุทำให้สังคมเกิดความไม่สงบอย่างสร้างสรร โดยไม่ระบุชื่อบุคคล แต่มองโดยภาพรวม (ปรากฎว่าจากให้สัมภาษณ์ใน 10 คนแรก จาก 3 กลุ่ม ใช้อารมณ์ในการตัดสิน เป็นหลัก แล้วแต่มีมากมีน้อยในภาวะทางอารมณ์)
ขั้นตอนที่ 5
รวบรวมข้อมูลทั้งหมด สรุปได้ว่า......????
จากคำตอบโดยรวมทั้ง 3 กลุ่ม สรุปได้ว่า
กลุ่มที่ 1 นักประวัติศาสตร์ / โบราณคดี / สังคมศาสตร์ มีความ "รักชาติ" เพราะ
- ถูกปลูกฝังจากครอบครัว และพูดเน้นย้ำบ่อย ๆ ต้องมีความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ในบ้านมีรูปภาพพระมหากษัตริย์ ต้องไหว้พระพุทธรูปเมื่อไปวัด ไปโรงเรียนต้องยืนตรงเคารพร้องเพลงชาติ
- อยู่ในแผ่นดินไทยได้ เพราะเกิดจากการต่อสู้ของพระมหากษัตริย์ บรรพบุรุษ คืนกลับมา เรียนรู้ได้จากวิชาประวัติศาสตร์
- ได้มีการค้นพบซากโบราณคดี การเรียนรู้ประเพณีวัฒนธรรมที่สืบทอดกันมานับ 100 ปี
ความคิดเห็นกลุ่มนี้จะเน้นเกี่ยวกับการวิเคราะห์ ความเป็นมาของความเป็นชาติ การมีจิตสำนึกที่เกิดการเรียนรู้ด้านประวัติศาสตร์ กลุ่มนี้จะมองว่า การรักชาติเกิดจากสิ่งที่ประดิษฐ์ขึ้นมา ไม่ใช่เกิดจากธรรมชาติ แต่ถูกสร้างขึ้นผ่านการศึกษาประวัติศาสตร์ ชาติเกิดมาได้อย่างไร ใครเป็นคนสร้าง บรรพบุรุษคือใคร ซึ่งจะเชื่อมโยงไปสู่แหล่งที่มาของโบราณคดีสำคัญๆ ที่ค้นพบด้วยความจริง ซึ่งที่เป็นสิ่งที่ภาคภูมิใจในความเป็นเจ้าของในดินแดนนั้น ๆ
โบราณคดี
เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับทฤษฎีความรัก (Philia & Agape)
ความรักแบบ Philia มุ่งเน้นที่การสร้าง ความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมและอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เชื่อว่าการรักเพื่อนร่วมชาติอย่างแท้จริงคือการพยายามแก้ไขระบบหรือโครงสร้างให้สามารถอยู่ร่วมกันในสังคมได้ ส่วนนักประวัติศาสตร์และนักโบราณคดีพยายามค้นหาความจริง ส่งเสริมให้เกิดการยอมรับ อัตลักษณ์ที่หลากหลายในชาติ ไม่ผูกขาดความรักชาติไว้กับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
ความรักแบบ Agape เน้นความเสียสละและความเมตตา มุ่งเน้นไปที่การยกระดับจิตสำนึกที่มีต่อความรักชาติ เข้าใจปัญหาทางสังคม นักโบราณคดีค้นหาความจริงเพื่อรักษาหลักฐานทางวัฒนธรรม และประวัติศาสตร์เพื่อเป็นบทเรียน ซึ่งเป็นการแสดงออกซึ่งความรักต่อ คนรุ่นหลัง และ อนาคตของชาติ
กลุ่มที่ 2 ทหารผ่านศึก / ตำรวจ / ครู / หมอ / พยาบาล ......เพราะ
อาชีพเหล่านี้เกิดมาด้วยการประกอบอาชีพและการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละ คำตอบที่เกิดจากคำถาม ..... เพราะเหตุใดที่ต้องการมาทำอาชีพทหาร/ตำรวจนี้
- ชีวิตได้ถูกปรับเปลี่ยนความรู้สึกที่เป็นลูกผู้ชาย ใจหึกเหิม จากที่ไม่เคยมีระเบียบวินัย การฝึกทำให้ถูกหล่อหลอมและปลูกฝังให้ตัวเองมีวินัยมากขึ้น
- พ่อ แม่ สุขสบายขึ้น ตัวที่ตนเองเป็นข้าราชการ สามารถเบิกค่าใช้จ่ายให้บุตร และค่ารักษาพยาบาลให้กับครอบครัว ซึ่งเป็นสวัสดิการที่ตนเองได้รับ
เพื่อชาติ ศาสน์ กษัริย์และประชาชน
- มีความภาคภูมิใจได้เป็นข้าราชของแผ่นดิน ในหลวง ร.9 ที่ตนเทิดทูน เป็นความใฝ่ฝันอันสูงสุด "ครั้งหนึ่งในชีวิตของการรับราชการเป็นทหารของพระราชา"
- บรรพบุรุษ มีอาชีพนี้มา จึงได้ปลูกฝังสู่ลูกหลาน
- ต้องการความสงบสุข เป็นผู้พิทักษ์รักษาแผ่นดิน และประชาชน
สำหรับ "ทหารและตำรวจ" ความเสียสละและเกียรติยศ มักจะกล่าวถึงความรู้สึกภูมิใจสูงสุดที่ได้ "รับใช้ชาติ" (ทหาร) หรือ "บำบัดทุกข์ บำรุงสุข" (ตำรวจ) และการได้พลีชีพเพื่อประเทศชาติถือเป็นเกียรติสูงสุด ถึงการได้เป็นผู้ปกป้องจึงเป็นแรงจูงใจอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดความภาคภูมิใจ
แต่ก็ยังมีอีกด้านหนึ่งที่แสดงถึงความท้าทายและอุปสรรคที่ได้พบ
- ความเสี่ยงและความเครียดสูงที่ต้องเผชิญกับภารกิจที่เสี่ยงอันตรายถึงชีวิต โดยเฉพาะในพื้นที่ความไม่สงบ
- ปัญหาจากระบบงาน/ผู้บังคับบัญชา มีการพูดถึงอุปสรรคจากระเบียบราชการที่ยุ่งยาก การขาดความพร้อมของอุปกรณ์ หรือปัญหาความสัมพันธ์และการดูแลเอาใจใส่จากผู้บังคับบัญชาชั้นสูง
- แรงกดดันจากสังคมที่ถูกสังคมคาดหวังและวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก ทำให้การทำงานต้องอยู่ภายใต้ความกดดันมหาศาล
จากการสัมภาษณ์ อาชีพ ครู ของการเป็นผู้สร้างและผู้ให้
- พ่อแม่ประกอบอาชีพเป็นครู จึงเจริญรอยตาม
- เป็นอาชีพท้าทาย ได้นำความรู้ไปพัฒนา และถ่ายทอดให้กับเด็ก
- ต้องการความสุขสบายในชีวิต ในฐานะที่ตนเองเคยยากจน พ่อแม่ไม่ต้องลำบาก และได้ตอบแทนด้วยการได้รับใช้ประเทศชาติของการเป็นผู้ให้ความรู้ สร้างลูกศิษย์ให้เป็นคนดีในสังคม ประสบความสำเร็จในชีวิต ซึ่งในความเป็นครูแล้ว "มันไม่ใช่แค่การสอน คือการสร้างอนาคตของชาติ"
ครูสร้างเยาวชน คนสร้างชาติ
ส่วนหนึ่งที่ทำให้อาชีพครูมีความท้อ ถึงจะมีใจรักชาติเพียงใดแต่เกิดความท้อแท้ใจกับสิ่งที่ได้รับ
- ภาระงานที่ไม่ใช่การสอนซึ่งเป็นปัญหาหลักที่ครูทั่วประเทศพูดถึงคือ งานธุรการ งานเอกสาร งานประเมิน และงานอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับการสอนโดยตรง ทำให้สูญเสียเวลาและพลังงานในการเตรียมการสอน
- การรับมือกับปัญหาครอบครัว สังคม และพฤติกรรมของนักเรียนที่ซับซ้อนขึ้น รวมถึงแรงกดดันจากผู้ปกครอง
- ความไม่พร้อมของระบบ/ค่าตอบแทน การขาดแคลนสื่อการสอน งบประมาณ หรือความเหลื่อมล้ำในการดูแลสวัสดิการเมื่อเทียบกับภาระงาน
ส่วนอาชีพหมอและพยาบาล ซึ่งเป็นอาชีพที่ต้องแข่งขันกับเวลาและความตาย ความรู้สึกที่ต่อชีวิต ต่อลมหายใจ ให้กับเพื่อนมนุษย์ เป็นหน้าที่ในการของผู้ให้บริการ การดูแลรักษา ชีวิตมนุษย์ร่วมโลก ไม่ว่าจะเป็นญาติพี่น้อง พ่อแม่ รวมถึงคนรอบข้าง และการได้ใช้ทักษะเฉพาะทางที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างหนัก จึงเป็นแรงจูงใจอย่างหนึ่งที่ทำให้ต้องการทุ่มเทให้กับสังคม ชนในชาติ
อาชีพการให้บริการ
แต่ถึงอย่างไรความเป็นหมอและพยาบาลก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ยังแฝงไปด้วยอุปสรรคมากมายที่แบกภาระคือ การไม่มีข้อผิดพลาดต่อชีวิต ซึ่งมักจะไม่มีใครเข้าใจความรู้สึกถึงความเข้าใจ มีแต่คิดกันว่า ผู้ป่วยถึงมือหมอแล้วต้องปลอดภัย รักษาได้ ไม่เกิดความสูญเสีย มันเป็นสิ่งที่ถูกคาดหวังด้วยมีชีวิตเป็นเดิมพัน
- สำหรับการได้นอนแค่ 3-4 ชั่วโมงต่อวันเป็นเรื่องปกติ หรือ เวลาส่วนตัวหายไป
- ต้องรับมือกับความกดดันจากการถูกฟ้องร้องและความคาดหวังจากผู้ป่วยและญาติ
- การขาดแคลนเครื่องมือ ยา ทำให้การทำงานยากลำบากขึ้น
ซึ่งเห็นได้ว่า ทั้ง 5 อาชีพนี้ที่มีความเหมือนกันที่พวกเขาทำงานด้วย "อุดมการณ์และความเสียสละ" เน้นย้ำถึงการมี "จิตวิญญาณ" ในอาชีพ ดังคำกล่าวที่ "ถ้าใจไม่เกิดความรัก มักจะไม่ทำ หรือทำไม่ได้"
เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับทฤษฎีความรักของ Philia & Agape แล้วจะเห็นว่า
1.อาชีพทหาร/ตำรวจ จะมีความเป็น Agape ชัดเจนในเรื่องของความเสียสละสูงสุด การพร้อมพลีชีพเพื่อปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หรือประชาชนที่ตนไม่เคยรู้จัก เป็นการทำเพื่อผลประโยชน์ส่วนรวมโดยไม่มีเงื่อนไขใด ๆ และไม่ต้องการการตอบแทนส่วนตัว
ความเป็น Philia เป็นความรู้สึกรองลงมา ซึ่งเป็นความรักต่อเพื่อนร่วมงาน/พี่น้องร่วมอาชีพ มีความผูกพันที่แน่นแฟ้นในหน่วยงานหรือสนามรบ ที่เกิดจากการร่วมทุกข์ร่วมสุขและต่อสู้เพื่อคุณค่า/ภารกิจเดียวกัน
2.อาชีพครู จะมีความเป็น Agape ที่โดดเด่นในเรื่องความเมตตาและอุทิศตน การทุ่มเทดูแลลูกศิษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียม แม้จะเป็นเด็กที่มีปัญหา พฤติกรรมไม่พึงประสงค์ หรือมาจากพื้นเพที่ยากลำบาก เป็นการ "ให้" ความรู้และโอกาสโดยไม่หวังผลตอบแทนจากตัวเด็กโดยตรง แต่จะมีความเป็น Philia ที่สำคัญที่สุดคือ ความรักในวิชาชีพ ความรักในปัญญา และความชื่นชอบในการถ่ายทอดความรู้ รวมถึงการได้เห็นและชื่นชมในศักยภาพที่ดีงามของลูกศิษย์
3.อาชีพหมอ/พยาบาล จะมีความเป็น Agape ที่เด่นชัดเช่นเดียวกัน การดูแลโดยไร้เงื่อนไข การให้การรักษาพยาบาลแก่ผู้ป่วยทุกคนอย่างเท่าเทียมและเร่งด่วน โดยไม่คำนึงถึงสถานะ เชื้อชาติ หรือภูมิหลัง และพร้อมทำงานในสภาวะวิกฤต (เช่น การเกิดโรคระบาด) แม้จะเสี่ยงต่อตัวเอง แลจะมีความรักในมนุษย์และเพื่อนร่วมงานที่เห็นถึงความสำคัญมากในความรัก แบบ Philia ที่เป็นรูปธรรม คือความชื่นชอบในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์และบรรเทาความเจ็บปวด รวมถึงความผูกพันและเชื่อใจระหว่างทีมแพทย์
จากการผสมผสานการนำเอาทั้ง 5 อาชีพนี้เป็นตัวอย่างในเรื่องของความรักสรุปได้ว่า
1.จุดเริ่มต้น มักจะมาจาก Philia ในความชื่นชอบในอาชีพ ความสนใจในความรู้ และความรักในสิ่งที่ตนเองต้องการ
2.การปฏิบัติหน้าที่ เมื่อเผชิญหน้ากับความเป็นจริงของการทำงาน โดยเฉพาะในสถานการณ์วิกฤต ความเหนื่อยล้า หรือการไม่ได้รับความยุติธรรม การทำงานจะถูกขับเคลื่อนด้วย Agape คือ ความรับผิดชอบและจิตสำนึก ในการให้โดยไม่หวังผลตอบแทนส่วนตัว แต่ทำเพื่อ "คุณค่า" ของมนุษย์และสังคม
กลุ่มที่ 3 นักกิจกรรทางสังคม จากการสัมภาษณ์กลุ่มนี้ จะได้คำตอบที่คล้ายๆกันคือ
- ความรู้สึกที่คล้ายกับความรัก แต่แยกไม่ออกว่า รักหรือไม่ แต่มีความภาคภูมิใจในสิ่งที่ทำเพื่อสังคม ก็ได้ทำเพื่อชาติเหมือนกัน
- ความรักที่เกิดจากความชอบในสิ่งที่ตนเองทำ ได้เดินทาง ผจญภัยได้จัดกิจกรรม ทำเพื่อสังคม อยากเป็นส่วนหนึ่งในสังคมที่ได้ช่วยเหลือมนุษย์ด้วยกัน
- ต้องการสร้างคุณค่าในตนเอง ได้พบปะบุคคลหลากหลาย รู้ถึงแก่นแท้ของใจคน
- รักในธรรมชาติ ให้คงอยู่ตลอดไป ไม่ว่าจะเป็นแม่น้ำ ภูเขา ป่าไม้ ต้องสงวนไม่ให้สญูหายไป
ในประเด็นของความรักชาติ : เกิดจากการกระทำของพระมหากษัตริย์ การทำนุบำรุง นำเอาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต ซึ่งเป็นความรักที่เกิดจากความภาคภูมิใจสุ่การหวงแหนแผ่นดิน
จากการสัมภาษณ์จะเห็นได้ว่า กลุ่มนี้จะให้คำนิยามความรักชาติผ่านการกระทำที่เป็นรูปธรรม รักในเชิงอนุรักษ์ มีกฎกติกา เคารพในระเบียบ ความร้องการที่ปกป้องพร้อมเสียสละและมีความจงรักภักดีต่อสถาบันหลัก
และในมุมมองอีกด้านของนักกิจกรรมที่ต้องการอยากให้เป็นในการวิพากย์วิจารณ์คือ
- ต้องการให้มีการวิจารณ์อย่างมีเหตุผล อย่างสร้างสรรค์ของการแสดงออกถึงความรักชาติด้วยการวิจารณ์ ความบกพร่องของรัฐบาลหรือระบบ เพื่อให้ประเทศดีขึ้นและเกิดความยุติธรรม
- ส่งเสริมประชาธิปไตย การเรียกร้องสิทธิ และการส่งเสริมความเท่าเทียมในประเทศ
- การช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติ ลดความเหลื่อมล้ำและพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนให้ดีขึ้น
สรุปได้ว่า บุคคลกลุ่มนี้จะให้ความสำคัญของการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ และการวางผลประโยชน์ของส่วนรวมไว้เหนือผลประโยชน์ส่วนตัว การให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันในฐานะคนไทยด้วยกัน การแสดงออกว่าความรักชาติคือการยอมรับและเคารพความแตกต่างทางความคิดของผู้คนในประเทศ
เมื่อเปรียบเทียบกับทฤษฎีความรักแล้ว จะเห็นได้ว่า Agape คือหัวใจหลักของนักกิจกรรมทางสังคม เป็นความรักที่บริสุทธิ์และมุ่งเน้นการให้โดยไม่หวังผลตอบแทน ไม่ได้รักเพียงแค่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง แต่รัก ศักยภาพ และ คุณค่าสูงสุด ที่ประเทศควรจะเป็น การทำงานนี้เกิดจากความปรารถนาดีโดยไม่มีข้อแลกเปลี่ยน มีความกล้าเผชิญหน้า เพื่อประโยชน์ของสังคม แสดงถึงความเสียสละ ซึ่งเป็นคุณลักษณะของ Agape ที่เป็นการให้ทานและความเมตตา
ในรูปแบบของ Philia ความรักที่อยู่บนพื้นฐานของ คุณค่าร่วม และ ความผูกพันทางปัญญาและความคิด บริบทของนักกิจกรรมทางสังคม มีความรักในหลักการ
- "ความรักในปัญญา" นักกิจกรรมจึงรักชาติผ่านการ ยึดมั่นในหลักการประชาธิปไตย หลักนิติรัฐ และความยุติธรรม
- ความผูกพันที่แข็งแกร่งในหมู่คณะ พร้อมจะร่วมทุกข์ร่วมสุขในการต่อสู้เพื่อสังคม
- การโต้แย้งที่มาจากความรัก ไม่ได้มาจากความเกลียดชัง แต่มาจาก Philia ในความรักเพื่อนร่วมชาติ และความผูกพันต่อประเทศที่ต้องการเห็นการปกครองที่ สมเหตุสมผล และ มีธรรมาภิบาล
ความรักชาติของนักกิจกรรมทางสังคมจึงเป็นทั้ง Agape-Philia Love ซึ่งเป็นความรักชาติที่ไม่สงบ กลุ่มนี้จะไม่แสดงความรักชาติด้วยการ ยอมรับทุกสิ่ง แต่แสดงออกด้วย การวิพากษ์วิจารณ์ และ การลงมือทำเพื่อแก้ไขบนพื้นฐานของความเมตตา (Agape) และความเชื่อในหลักการที่ถูกต้อง (Philia) เพื่อให้ "ชาติ" เป็นสถานที่ที่ดีขึ้นสำหรับพลเมืองทุกคนในอนาคต
หลังจากที่สรุปงานเรียบร้อยแล้ว สิ่งที่เราควรตระหนักจากการให้ความเห็นของผู้ที่รับฟังการนำเสนอผลงานที่ว่า
- ความรักชาติ ทุกคน ย่อมมีจิตสำนึก ซึ่งได้มาจากนานับประการ ซึ่งมันเป็นเหตุผลจริงๆ จากใจหรือใม่ หรือเกิดจากการปลูกฝังที่เราถูกฝังมาตั้งแต่เกิด จึงเป็นสิ่งที่เราต้องปฏิบัติด้วยตนเอง ด้วยใจ หรือรอบข้างทำให้เห็น จึงต้องทำโดยอัตโนมัติจนเกิดเป็นนิสัย
- คนไทยที่รักชาติมาโดยสายเลือดหรือการถูกบังคับให้รักชาติ ซึ่งเป็นฟางเส้นบางๆ ที่สามารถนำไปนึกคิด ซึ่งนำไปถึงการเขียนบทความในเรื่องต่อไป
" แล้วผู้อ่าน มีความรู้เห็นอย่างไร สามารถให้ความเห็นได้ "
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย