Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
หนูนิ
•
ติดตาม
11 พ.ย. เวลา 13:14 • นิยาย เรื่องสั้น
ปริศนาลับราชวงศ์ถัง(Strange Tales of Tang Dynasty) ตอน ท่าเรือเชียนฉงตู้ 1
.
ตัวละครสำคัญ
.
1. เซี่ยเนี่ยนจู่แห่งเฉินจวิ้น ข้าหลวงตรวจการลาดตระเวณตะวันตก
.
2. หลูหลิงเฟิง หัวหน้ามือปราบแห่งอวิ๋นติ่ง
.
3. อวี้ตี้ ชายหนุ่มที่บ้าเข้าขั้นคิดว่าตัวเองเป็นเง็กเซียนฮ่องเต้ และ ต้องการกลับสวรรค์อีกครั้งหลังจากที่ตกสวรรค์เมื่อ500ปีที่แล้ว
.
4. ซูอู๋หมิง ในตอนนี้ไม่มีหน้าที่ตำแหน่งใดๆ เป็นบัณฑิตทรงภูมิมีความรู้มากมาย รู้ทุกเรื่องยกเว้นการต่อสู้
.
5. เฟ่ยจี หมอหลวง-หมอเทวดาของทีม และ เป็นเจ้าของมุกสร่างเมาที่แฮฟมาจากตอนโรงเตี้ยมสกุลหมัว
.
6. สี่จวิน คนรักของหลูหลิงเฟิง เก่งทางวาดภาพและใช้ความสามารถวิเคราะห์สาเหตุของน้ำวน เธอก็เหมือนซูอู๋หมิงที่ไม่มีวิทยายุทธ
.
7. อิงเถา ผู้ติดตามซูอู๋หมิงมาตั้งแต่ตอนจระเข้ยักษ์ถัวเซิน นางฝึกยุทธมาตั้งแต่เด็กมีฝีมือสูง
.
8. คนเฝ้าท่าเรือ ตั้งแต่ต้นจนจบชื่ออะไรก็ไม่รู้ รู้แต่ประกายตาที่คมเหมือนเหยี่ยว
.
9. ลูกชายคนเฝ้าท่าเรือ ทำตัวเป็นเสี่ยวเอ้อร้านเหล้า ชื่ออะไรก็ไม่รู้อีกเหมือนกัน
รู้แต่ACT ARTท่าให้รู้ว่า กรูผู้ร้ายนะเฟ้ยยย
.
ฤดูใบไม้ร่วงในปีนั้นคณะของ 5 สหายซึ่งประกอบด้วยซูอู๋หมิง หลูหลิงเฟิง เฟ่ยจี
อิงเถา และ สี่จวิน เดินทางไปอำเภออวิ๋นติ่งซึ่งอยู่ทางตะวันตก หลูหลิงเฟิงไปรับตำแหน่งหัวหน้ามือปราบ
.
ส่วนซูอู๋หมิงไม่มีตำแหน่งหน้าที่ใดเพราะโดนปลดตอนนี้จึงว่างงาน เมื่อสี่จวินน้องบุญธรรมติดตามหลูหลิงเฟิง เขาก็ค้องตามมาด้วยเพราะห่วงน้องสาว
.
อิงเถาซึ่งติดตามซูอู๋หมิงก็ต้องมาด้วย อาจารย์เฟ่ยจีฉายาหมอเทวดาเข้ากลุ่มตั้งแต่ชาดำฉางอัน มีหรือจะพลาดเรื่องหนุก ๆ เพราะรู้อยู่แล้วว่าซูอู๋หมิงและหลู
หลิงเฟิงไปไหนที่นั่นต้องมีเรื่องสิน่า
.
คณะของพวกเขาต่างหยุดม้า เมื่อเห็นชายหนุ่มผมยาวรุงรังกำลังทำพฤติกรรมแปลก ๆ อิงเถาเห็นดังนั้นจึงกล่าวว่า "คงไม่ได้มีคนแบบนี้จริงๆหรอกนะ
.
อิงเถา "อาจารย์เคยบอกข้าว่าบนโลกนี้มีวิชาชนิดหนึ่งเข้าถึงเทวะ เดินเหินได้อย่างรวดเร็วเหมือนเหาะ และต้องใช้วิธีการบางอย่าง ด้วยการเจาะเส้นเลือดและเลือดลมในร่างกาย
เพียงเท่านี้ก็จะตัวเบาเหมือนนกทำให้เดินทางรวดเร็ว และ หากถอดกระดูกหัวเข่าชั่วคราวจะเดินได้800ลี้ต่อวัน"
.
ซูอู๋หมิง "ถอดกระดูกหัวเข่า แล้วจะเดินได้หรือ"
.
สี่จวิน "นั่นซิ คนๆหนึ่งฝึกให้ว่องไวแล้ววิ่งเร็วก็ยังเป็นไปได้ แต่หากถอดกระดูกหัวเข่าเพื่อให้เดินเร็ว ข้าไม่เชื่อ"
.
หลูหลิงเฟิง "อิงเถา แม้อาจารย์จะสอนยุทธให้เจ้า แต่เรื่องพวกนี้มันเหลวไหลนะ เจ้าว่าอย่างไรเหล่าเฟ่ย"
.
เฟ่ยจี "เออ ที่แน่ๆข้าว่ามันเจ็บนะ"
.
"แล้วใครว่าไม่เจ็บล่ะ ถ้ามีวิธีอื่นข้าจะทำแบบนี้ทำไม" เป็นเสียงของชายหนุ่มผู้นั้น
.
เฟ่ยจีจึงลงจากหลังลาไปหาแล้วถาม "เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือไง เออข้าหมายถึงข้ารักษาให้เจ้าได้นะ"
.
ชายหนุ่มผู้แปลกประหลาด "ไม่ต้อง อาการของอวี้ตี้หมอทั่วไปรักษาไม่ได้หรอก"
.
เฟ่ยจี "เจ้าชื่อเง็กเซียนฮ่องเต้หรือ เจ้าบังอาจไปแล้ว ไม่กลัวฟ้าผ่าหรือ"
.
ชายหนุ่มผูแปลกประหลาด "ชื่อของข้าคืออวี้ที่แปลว่ากลุ้มใจ ตี้ที่แปลว่าน้องชาย ออกเสียงเหมือนกันแต่ตัวหนังสือไม่เหมือน"
.
เฟ่ยจี "เข้าใจแล้ว ว่าแต่เจ้าเป็นโรคอะไร"
.
อิงเถา "บอกมาเถอะ อาเฟ่ยไม่ใช่หมอธรรมดา เขามีฉายาหมอเทวดา"
.
ชายหนุ่มผู้แปลกประหลาด "ข้าไม่รบกวนท่านผู้เฒ่าดีกว่า อ้า...ท่านหมอเทวดา ขอบคุณมาก"
.
เฟ่ยจี "เจ้านี่ขี้เกรงใจมากเลย ม้าก็ไม่มีไม่อย่างนั้น"
.
ชายหนุ่มผู้แปลกประหลาด "ไม่ต้อง ๆ เราคงไปคนละทางมากกว่า"
.
ซูอู๋หมิง "เอาละไม่รบกวนเขาแล้ว รีบเดินทางเถอะ"
.
ขบวนของซูอู๋หมิงเดินทางต่อไปจนไปถึงแม่น้ำฮวงโห คนทั้ง5ต่างหยุดม้าและลามองดูความยิ่งใหญ่ของสายน้ำแห่งนี้
(แม่น้ำฮวงโห หรือแม่น้ำเหลือง คือแม่น้ำที่ยาวเป็นอันดับ2ของจีน และเป็นแม่น้ำที่ยาวเป็นอันดับ 6 ของโลก
.
เป็น "แม่ของแม่น้ำ" ของอารยธรรมจีนและมีบทบาทสำคัญในการกำเนิดอารยธรรมจีนโบราณ สาเหตุที่ชื่อ "แม่น้ำเหลือง" มาจากตะกอนดินทรายที่ทำให้น้ำมีสีเหลือง
แต่ในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดปัญหาน้ำท่วมบ่อยครั้งได้รับความเสียหายใหญ่หลวง ประชาชนล้มตายจนได้รับฉายาว่า "แม่น้ำวิปโยค" และ "แม่น้ำจีนร้องไห้")
.
สี่จวิน "แม่น้ำฮวงโหที่ไหลเชี่ยวกราก ดูเหมือนจะใหญ่กว่าที่ตำราบันทึกไว้หลายเท่า ฟ้ายังไม่มืดทำไมจึงไม่มีเรือข้ามฟากเล่า"
.
หลูหลิงเฟิง "เราเลียบไปตามลำน้ำก็จะพบเรือข้ามฟาก"
.
ซูอู๋หมิง "เจ้าพูดถูก ปกติตลอดสายน้ำจะมีเรือของทางการรับส่งเป็นระยะ ท่าเรือใหญ่และมีนายท่า"
.
เฟ่ยจี "ในเมื่อเป็นท่าเรือของทางการ ก็น่าจะมีเหล้าให้ดื่มนะ"
.
ซูอู๋หมิง "เจ้าก็จะเอาแต่ดื่ม นี่ข้ามิต้องให้นายท่าตุ๋นไก่ให้เจ้า2ตัว รึ"
.
เฟ่ยจี "ได้ก็ดีไม่น้อยในเมื่อเป็นของคู่กัน"
.
ที่ท่าเรือเชียนฉงตู้ คนเฝ้าท่าเรือนั่งเอกเขนกบนเก้าอี้โยกอย่างสบายใจ สายตาของเขามองไปที่ลำน้ำฮวงโหที่อยู่เบื้องหน้า ตอบคำถามของหลูหลิงเฟิงว่า
"เรือของทางการจะกลับจากฝั่งโน้นในอีก 1 ชั่วยาม ตอนนี้ฟ้าใกล้มืดแล้ว หากไม่อยากนั่งเรือตอนกลางคืนก็พักก่อนพรุ่งนี้เช้าค่อยไปถ้ารีบก็ช่วยไม่ได้ เรือของชาวบ้านข้ามแม่น้ำไม่ได้"
.
หลูหลิงเฟิง "เพราะเหตุใด"
.
คนเฝ้าท่าเรือ "สมัยก่อนแม่น้ำเหลืองยามเกิดน้ำท่วมจะรุนแรง แต่ตอนนั้นความกว้างใหญ่ของแม่น้ำยังไม่เท่านี้ ความลึกยิ่งไม่อาจคาดเดา
แล้วยังน้ำวนใจกลางแม่น้ำอีก เรือประมงในแถบใกล้ๆหรือเรือที่แอบทำการค้าข้ามฟากส่วนตัวถูกฝังในน้ำนี้มากมาย ถ้าอยากตายก็ไปหาเรือชาวบ้าน"
.
ซูอู๋หมิง "น้ำวนใจกลางแม่น้ำคืออะไร"
.
คนเฝ้าท่าเรือ "น้ำวนใจกลางแม่น้ำเกิดจากน้ำเชี่ยวและลมแรง มีคนบอกว่าข้างใต้ของน้ำมีสัตว์ร้ายคอยก่อกวนโดยเฉพาะเวลากลางคืน ซึ่งเป็นเวลาที่มันออกจากที่ซ่อน"
.
ซูอู๋หมิง "แล้วทำไมเรือของทางการจึงปลอดภัยกว่าเรือชาวบ้าน"
.
คนเฝ้าท่าเรือ "เรื่องนี้ข้าก็ไม่รู้"
.
หลูหลิงเฟิง "สัตว์ร้ายที่พูดถึงเคยมีใครเห็นบ้าง"
.
คนเฝ้าท่าเรือ "ข้าก็ไม่เคยเห็น เอาเป็นว่าข้าพูดเหลวไหล แต่ถ้าไม่เชื่อก็ไปที่ท่าเรือข้างหน้าก็ได้ห่างออกไป 100 ลี้มีให้สัตว์ข้าม แต่ถ้ารอเรือของทางการขอแนะนำให้ขายม้าก่อน"
.
อิงเถา "เพราะเหตุใด"
.
คนเฝ้าท่าเรือ "เรือของทางการให้คนข้ามไม่ใช่ม้า ส่วนสัตว์อื่นๆ" นายท่ามองไปที่ลาของเฟ่ยจี "ยิ่งไม่ได้ใหญ่"
.
ซูอู๋หมิง "ตามที่ท่านพูดหมายความว่าสัตว์ร้ายในน้ำนี้ชอบกินสัตว์ และเคยกินม้า
มาแล้ว เอ...เคยกินคนด้วยไหม"
.
คนเฝ้าท่าเรือ "ชาวบ้านแถวนี้มีบ้านใดบ้างไม่สูญเสีย เดือนก่อนข้าหลวงตรวจการลาดตระเวณรีบร้อนไม่รอเรือของทางการ จึงไปกับเรือชาวบ้านกลางคืน สุดท้ายทั้งเขาทั้งคนเรือต่างถูกสัตว์ร้ายกิน"
.
ในที่สุดคณะของซูอู๋หมิงก็จำต้องทำตามคำแนะนำของคนเฝ้าท่าเรือเพราะเกรงว่าหากเรือออกจะไม่รอพวกเขา ราคาที่ขายก็ไม่เลวนัก
จึงคิดว่าทันที่ที่ขึ้นอีกฝั่งค่อยหาซื้อม้าตัวใหม่ ซึ่งคนเฝ้าท่าเรือบอกว่ามีขายตลอดลำน้ำฝั่งตรงข้าม
.
เฟ่ยจีที่ลาของเขาถูกฆ่าไว้กินเนื้อเสียใจเป็นอย่างยิ่งเพราะลาตัวนี้เป็นของขวัญที่เขาได้รับ จึงแก้เสียใจด้วยการหาสุราดื่ม
ที่จริงต่อให้ไม่เสียใจก็หาสุราดื่มอยู่ดี ปีศาจสุราอย่างเขายอมตายเสียดีกว่าที่จะอยู่โดยไม่มีสุราดื่ม
.
เสี่ยวเอ้อร้านเหล้า "ไม่มีสุรา บะหมี่ปั๋วทัวชามละ 3 อีแปะ เพิ่มน้ำแกงอีก 1 อีแปะ"(บะหมี่ปั๋วทัว เป็นอาหารขึ้นชื่อของเมืองซีอาน มณฑลส่านซี ประเทศจีน
เมนูนี้ไม่ใช่บะหมี่ แต่เป็นขนมปังที่ฉีกเป็นชิ้นๆกินกับน้ำซุปเนื้อแกะรสเข้มข้น-หนูนิเคยทานเนื้อแกะและไม่ชอบเพราะมีกลิ่นสาบ)
.
เฟ่ยจี "ไม่มีสุราแล้วแขวนป้ายว่าขายสุราทำไม"
.
เสี่ยวเอ้อร้านเหล้า "บะหมี่ปั๋วทัวจะเอาไหม ไม่เอาจะปิดเตาแล้ว"
.
หลูหลิงเฟิง "เสี่ยวเอ้อ ทำไมหอสุราเจ้าถึงไม่มีสุรา"
.
เสี่ยวเอ้อร้านเหล้า "ขายหมดแล้วนะซี เถ้าแก่ไปซื้อของเข้าร้าน พรุ่งนี้จึงกลับ"
.
หลูหลิงเฟิง "ทนเอาหน่อยนะเหล่าเฟ่ยในเมื่อไม่มีสุราให้เจ้าดื่ม เสี่ยวเอ้อบะหมี่
ปั๋วทัว 5 ชาม"
.
สี่จวินกำลังให้ความสนใจกับภาพวาดโบราณที่ผนังด้านหนึ่ง โดยมีอิงเถาดูด้วย
"แม่น้ำเมื่อก่อนไม่กว้างใหญ่เหมือนเดี๋ยวนี้ สาเหตุเพราะกระแสน้ำแรงกัดเซาะตลิ่งทั้งสองฝั่งและพัดพาตะกอนไป
.
นอกจากนี้การสะสมตัวของตะกอนที่ปากแม่น้ำเกิดเป็น สามเหลี่ยมปากแม่น้ำ ก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้น้ำไหลออกสู่ทะเลช้าลง การกัดเซาะตลิ่งทั้งสองฝั่งก็แรงขึ้น
ทำให้พื้นที่แม่น้ำกว้างขึ้นอีก ส่วนหินประหลาดพวกนี้ ตอนนี้น่าจะจมลงใต้น้ำแล้วเพราะระดับน้ำที่เพิ่มสูงขึ้น"
.
อิงเถา "หากเป็นเช่นนี้ ท่าเรือเชียนฉงตู้นี่คงอยู่ในจุดที่ไม่ปลอดภัย ทำไมจึงไม่ปิดท่าเรือนี้น่าแปลกจริงๆ"
.
ซูอู๋หมิงกลับสนใจชายที่นั่งเงียบๆผู้หนึ่ง "ทำไมข้าคุ้นตากับเขาจัง เหล่าเฟยไปดูที"
.
เฟ่ยจี "เจ้าจริงๆด้วยอวี้ตี้ เอ...ต่อให้พวกเราเสียเวลากับคนขายม้า เจ้าก็ไม่น่ามาถึงก่อนพวกเรา 20กว่าลี้เลยนะ อาศัยแค่ขา2ข้าง หรือเจ้าเดินได้วันละ 800 ลี้จริงๆ"
.
อวี้ตี้ "ข้าเพียงแค่เดินทางลัด" แล้วเขาเหลือบมองคณะของซูอู๋หมิงพลางถาม "นี่ทุกคนจะข้ามแม่น้ำเหลืองกันด้วยหรือ"
.
เฟ่ยจี "ใช่"
.
การสนทนาถูกขัดจังหวะโดยหญิง 2 คนที่นำสือโถวปิ่งจำนวนมากมาส่งให้อวี้ตี้(สือโถวปิ่ง เป็นขนมโบราณของมณฑลซานซี ประเทศจีน มีลักษณะคล้ายโรตีหรือแป้งแผ่นกรอบ โดยมีชื่อว่า "แป้งหิน"
เพราะวิธีการทำที่ใช้การนำแป้งไปแปะด้านในของโอ่งเพื่ออบ ขนมนี้มีไส้คาวและไส้หวาน สามารถเก็บไว้ได้นานหลายสิบวัน)
.
เฟ่ยจี "ของสิ่งนี้มันอร่อยหรือ"
.
แทนคำตอบอวี้ตี้หยิบขนมซึ่งเป็นแผ่นใหญ่ส่งให้ เฟ่ยจีจึงหักแบ่งให้คณะชิมซึ่งทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าอร่อย โดยเฉพาะซูอู๋หมิงที่ชื่นชอบกลิ่นหอมของขนม
.
"เสี่ยวเอ้อ เอาเหล้ามา" เป็นเสียงสั่งของชายวัยกลางคนชุดเขียว หน้าตาบวมปูดแต่ยังมีลักษณะภูมิฐานของขุนนาง
.
เสี่ยวเอ้อ "ไม่มี"
.
ชายชุดเขียว "ข้าคือข้าหลวงตรวจการ ซื้อสุราของเจ้าดื่ม เจ้ากล้าบอกว่าไม่มีได้ไง"
.
เสี่ยวเอ้อ "ไม่มีก็คือไม่มี บะหมี่ปั๋วทัวชามละ 3 อีแปะ เพิ่มน้ำแกงอีก 1 อีแปะ ถ้าไม่เอาจะปิดเตาแล้ว"
.
ชายชุดเขียวกวาดสายตาไปรอบๆแล้วสั่ง "บะหมี่ปั๋วทัว 1 ชาม"
.
เฟ่ยจี "ข้าหลวงตรวจการรึ คงไม่ใช่ตัวปลอมอีกนะ"(ในตอนโรงเตี้ยมสกุลหมัว พวกเขาไปพบเข้ากับหัวหน้ามือปราบปลอม)
.
ชายชุดเขียวผุดลุกขึ้นอย่างเดือดดาล "เจ้าว่าใคร"
.
เฟ่ยจี "จะหาเรื่องข้าหรือ ข้าเห็นเจ้าหน้าตาบวมปูด ผู้ติดตามก็ไม่มีไม่เห็นเหมือนผู้ตรวจการสักนิด"
.
ชายชุดเขียว "ก่อนหน้านี้ผ่านพายุหิมะมา หิมะหนาถนนลื่นผู้ติดตามไม่ระวัง จึงตกเหวตายไปแล้ว ข้าเองก็บาดเจ็บเรื่องก็มีเท่านี้"
.
ซูอู๋หมิง "ท่านก็ไปโรงเตี้ยมสกุลหมัวมาด้วยหรือ"
.
ชายชุดเขียว "ถูกต้อง โรงเตี้ยมในที่รกร้างน่าสงสัยยิ่งนัก ข้ารีบเดินทางจึงไม่ตรวจสอบเส้นทางให้ละเอียด"
.
จู่ๆซูอู๋หมิงก็สำลักและขนมที่กินอยู่ติดคอ สี่จวินจึงร้องสั่งให้เสี่ยวเอ้อเอาน้ำมาให้ ชายชุดเขียวก็สั่งให้เสี่ยวเอ้อเอาน้ำมาให้เช่นกัน ทันทีที่เขายกถ้วยน้ำขึ้นดื่มก็พ่นพรวด "นี่น้ำอะไรทั้งขมทั้งฝาด"
.
เสี่ยวเอ้อ "น้ำจากแม่น้ำคือรสชาตินี้แหละ ถ้าไม่ชอบก็ไม่ต้องดื่ม"
.
ชายชุดเขียวผุดลุกขึ้นอีกครั้งอย่างเดือดดาล "มีอย่างที่ไหนบริการอย่างนี้"
.
เสี่ยวเอ้อยังคงตอบกวนโอ๊ย(Teen)ต่อไปว่า "โมโหไปก็ไม่มีประโชน์ ที่นี่มีแต่น้ำ
ชนิดนี้ แต่รสชาติของน้ำแกงบะหมี่ปั๋วทัวดีขึ้นหน่อย ดังนั้นเพิ่มน้ำแกงจึงต้อง
เพิ่มเงิน"
.
หลูหลิงเฟิง "น้ำนี้ไม่ได้เรื่องจริงๆ"
.
ซูอู๋หมิง "ข้าว่าพอได้นา"
.
แล้วสายตาของซูอู๋หมิงก็ไปจับจ้องที่อวี้ตี้ซึ่งนั่งสงบ คนอื่นๆต่างก็จัดการกับบะหมี่ปั๋วทัวที่เสี่ยวเอ้อนามาให้ แต่เฟ่ยจีกลับสนใจพฤติกรรมของเสี่ยวเอ้อ หลังจากที่เสริฟบะหมี่แล้ว
.
เสี่ยวเอ้อผู้นี้ในสายตาของเฟ่ยจีหาธรรมดาไม่ เห็นได้จากการกล้าต่อปากต่อคำลูกค้า ซ้ำในที่ห่างไกลเช่นนี้ยังไม่ง้อลูกค้า ราคาของบะหมี่ปั๋วทัวเพิ่มน้ำแกงก็ยังไม่แพงเมื่อเทียบกับรสชาติ
.
เฟ่ยจีจะอย่างไรก็เป็นปีศาจสุรา เขาได้กลิ่นหอมหวานของมันตั้งแต่เสี่ยวเอ้อเปิดไหแล้ว
แม้เสี่ยวเอ้อจะไม่ยอมขายสุราให้เฟ่ยจีด้วยเหตุผลว่าเป็นสุราเก่าแก่ของเถ้าแก่จึงต้องแอบกิน แต่กลับยอมขายให้อิงเถาเพราะคำว่า ท่านพี่เพียงคำเดียว
.
"เอาไปทั้งไหเลยน้อง shipหายไม่ว่าขอแค่น้องพอใจ"
.
แถมยังช่วยเก็บกวาดทำความสะอาดโต๊ะให้อีก ชายชุดเขียวก็ได้กลิ่นหอมของสุราเช่นกันจึงเอะอะกับเสี่ยวเอ้อ ที่นั่งยันนอนยันว่าเหลือเพียงไหเดียวจริงๆ และถูกซื้อไปแล้ว "ต้องให้พวกเขาเชิญท่านจึงได้ดื่ม"
.
ชายชุดเขียวจึงเสนอแส้ม้าในมือซึ่งเป็นของล้ำค่าของฝูเจี้ยน แลกกับสุรา 1 ชาม"(ฝูเจี้ยน คือ มณฑลชายฝั่งทะเลทางตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศจีน ตรงข้าม
กับเกาะไต้หวัน เป็นที่รู้จักในชื่อ "มณฑลฮกเกี้ยน")
.
ชายชุดเขียว "บรรพบุรุษของข้านำกำลังไปปราบฝูเจี้ยนและยึดมาจากเจ้านคร"
.
หลูหลิงเฟิง "ท่านคือทายาทของแม่ทัพเซี่ยเสวียนหรือ"
.
ชายชุดเขียว "ถูกต้อง ข้าคือเซี่ยเนี่ยนจู่แห่งเฉินจวิ้น ข้าหลวงตรวจการลาดตระเวณตะวันตก"
.
ซูอู๋หมิงขอดูแส้ม้าแล้วยอมรับว่าเป็นของจริง แต่เฟ่ยจีก็ยังก่อกวนจนชายผู้นั้นแทบสะกดอารมณ์ไม่ได้ ทุกสิ่งอยู่ในสายตาของสี่จวินที่รู้สึกเห็นใจ และเชื่อว่าเขาคือข้าหลวงตรวจการ
.
นอกจากเฟ่ยจีแล้ว หลูหลิงเฟิง และ ซูอู๋หมิง ก็แกล้งเขาไม่ให้ดื่มสุราด้วยการพูดยกย่องบรรพบุรุษของข้าหลวงเซี่ยแล้วยกชามสุราขึ้นดื่มเอง พอถึงคิวสี่จวินมิคาดนางเคยพบกับฮูหยิน(ภรรยา)ของข้าหลวงตรวจการเซี่ยท่านนี้
.
จึงกล่าวชื่นชมฮูหยินและชื่นชมท่านข้าหลวง ที่ประสบเภทภัยในระหว่างเดินทางก็
ยังไม่ย่อท้อ แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของต้าถังที่มีขุนนางดีมีความตั้งใจเพื่อประชาชน แล้วขอให้ช่วยดื่มสุราชามนี้แทนฮูหยินของเขา
.
งานนี้จึงเรียกว่าสุราเปลี่ยนชีวิต ท่านข้าหลวงเปลี่ยนท่าทีจากฉุนเฉียวเป็นยิ้มแย้มแจ่มใส มิใช่เพราะความหอมหวานของสุรา แต่หากเพราะพบสหายรู้ใจในยามยาก
.
คนทั้ง6ต่างมีมิตรไมตรีที่ดีและออกเดินทางด้วยกันในคืนนั้น คนเฝ้าท่าเรือชราบอกให้ลงชื่อ-แซ่ ตำแหน่งขุนนางและหน้าที่ในสมุดบันทึกเพราะเป็นกฏระเบียบเพื่อทำประวัติ
.
ใน่วลาเดียวกันซูอู๋หมิงก็สังเกตเห็นลูกเรือหลายคนช่วยกันยกเข่งขนาดใหญ่ทาสีดำมีน้ำหนักมาก2เข่งขึ้นเรือมาด้วย และนำไปวางที่ท้องเรือตามคำสั่งของผู้ดูแลเรือ
.
จบตอน1 ภาพปกจากเพจ “ซ้อใหญ่ขยี้ข่าว”
.
เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 2568 เกิดปรากฏการณ์ไม่คาดคิดขึ้นที่ ยอดเขาแหลม ตำบลท่าขนุน อำเภอทองผาภูมิ จังหวัดกาญจนบุรี เมื่อยอดเขาดังกล่าวเปลี่ยนเป็นสีทองสว่างไสวราวกับมีแสงไฟจากภายใน
ผู้เห็นเหตุการณ์เล่าว่า แสงสีทองนั้นสามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าอย่างชัดเจน
ต่อเนื่องราว 5 นาที ก่อนจะค่อยๆ จางหายไปและกลับสู่สภาพปกติ
.
เรื่องดังกล่าวได้รับคำอธิบายจาก รศ. เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์อธิบายว่า
ปรากฏการณ์นี้เกิดจาก แสงอาทิตย์ยามเย็น สะท้อนกระทบยอดเขาในมุมที่เหมาะพอดี จึงเห็นเป็นสีทองสวยงาม ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ
.
แสงอาทิตย์ช่วงใกล้พระอาทิตย์ตกจะมีเฉดสีอมส้ม–ทอง เมื่อสาดกระทบกับผิวภูเขาที่มีสีเข้มและผิวสะท้อนแสงบางจุด จึงก่อให้เกิดภาพสวยประหนึ่งยอดเขา
เรืองแสง
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย