13 พ.ย. เวลา 08:26 • สิ่งแวดล้อม
เขื่อนภูมิพล

🌧️ “ความเสี่ยงคู่ขนาน” ของการบริหารน้ำในช่วงปลายฤดูฝน

เมื่อวานนี้พี่ป้อมมีโอกาสแลกเปลี่ยนกับ นายฮ้อย คงลำดวน, องอาจ จันทร์จรัสสิน และ Jeab Pranuda ในประเด็นที่คนลุ่มน้ำกำลังสงสัย เหมือนกันทั้งประเทศ—เรื่องน้ำในอ่างเก็บน้ำหลัก และคำถามว่า “ฝนก้อนใหญ่จากทะเลต้องใช้เวลาเดินทางกี่วันกว่าจะถึงไทย เราควรมีเวลาพอจะเตรียมรับมือก่อนหรือไม่?”
คุณนายฮ้อย ชวนคิดในมุมระบบอุตุนิยมวิทยา ว่าฝนจะไม่ตกทันทีที่พายุแตะฝั่ง แต่ต้องใช้เวลาเดินทางจากทะเลจีนใต้เข้ามาถึงเวียดนาม–ลาว–ไทย ทำให้ เรามีช่วงเวลาสำหรับเตรียมบริหารน้ำในอ่าง ซึ่งคุณองอาจเห็นว่าเราควรมีเวลาบริหารเก็บน้ำได้
ส่วนคุณเจี๊ยบก็ถามในจุดที่สะเทือนใจชาวบ้านมากที่สุดว่า
“ถ้ารู้ว่าฝนกำลังจะมา ทำไมไม่รีบปล่อยน้ำออกก่อน?”
คำถามนี้สำคัญมาก เพราะชี้ให้เห็นภาวะ “ต้องเลือกเสี่ยง” ของผู้บริหารน้ำ ซึ่งไม่ได้มีทางง่ายหรือทางถูกเพียงด้านเดียว และนี่เองที่นำเข้าสู่ประเด็นใหญ่ที่สุดของการจัดการน้ำปลายฤดูฝน—ประเด็นที่หลายคนเพิ่งเริ่มเข้าใจ แต่เป็นโจทย์หนักของวิศวกรและนักบริหารน้ำทั่วโลก นั่นคือ…
🌧️ “ความเสี่ยงคู่ขนาน” ของการบริหารน้ำในช่วงปลายฤดูฝน
🌧️ 1) ความเสี่ยงสองด้าน (Two-Sided Risk) ของการระบายน้ำปลายฤดูฝน
ช่วงปลายฤดูฝน (ต.ค.–พ.ย.) คือช่วงที่ผู้บริหารอ่างเก็บน้ำต้อง “ตัดสินใจยากที่สุด” เพราะต้องเผชิญ ความเสี่ยงตรงข้ามสองด้าน พร้อมกัน
🟥 (A) ถ้าปล่อยน้ำออกมากเกินไป → เสี่ยง “แล้งต้นปีหน้า”
ความเสี่ยงคือ:
• ปริมาณน้ำต้นฤดูแล้ง (ธ.ค.–เม.ย.) อาจไม่พอ
• ใช้น้ำเพื่อ:
• อุปโภค–บริโภค
• รักษาระบบนิเวศ
• เกษตรฤดูแล้ง (นาปรัง)
• ดันน้ำเค็มในเจ้าพระยา–แม่กลอง
• ความเสียหายจะยืดเยื้อนาน 3–6 เดือน
ตัวอย่างเหตุการณ์จริง:
หลายปี เช่น 2557, 2562, 2563 มีกรณี “ปล่อยน้ำมากไปในปลายฤดูฝนปีก่อน” ทำให้แล้งปีถัดไป หนักขึ้นอย่างชัดเจน ชาวบ้านจึงถามบ่อยว่า:
“ทำไมไม่เก็บน้ำไว้ให้มากกว่านี้? คนท้ายน้ำจะได้ไม่เดือดร้อนหน้าแล้ง”
และนี่เป็นเหตุผลที่เขื่อนใหญ่ “ไม่กล้าระบายแรง” ถ้าฝนเริ่มลด–ระบบพยากรณ์บอกว่าฝนจะหมดเร็ว
🟦 (B) แต่ถ้าไม่ปล่อยน้ำเลย → เสี่ยง “อ่างล้น” เมื่อฝนกลับมา
นี่คือความเสี่ยงอีกด้าน
ถ้าไม่เผื่อพื้นที่และปริมาตรในเขื่อนไว้เลย แล้วมีฝนระลอกใหม่ (แบบช่วงต้น พ.ย.ปีนี้)
ผลคือ
• ระดับน้ำอาจแตะ “เหนือเกณฑ์เก็บกักสูงสุด” (MWS)
• ต้องเปิด Spillway (น้ำล้น) ที่ควบคุมได้น้อยกว่า
• ปริมาณน้ำไหลลงท้ายน้ำสูง “รวดเดียว” ซึ่งกระทบหนักกว่าการระบายแบบค่อยเป็นค่อยไปมาก
• ผู้บริหารจะถูกกดดันว่าทำไม “ไม่ระบายไว้ก่อน”
นี่คือสิ่งที่ทุกหน่วยงานกลัวมากที่สุด เพราะจะสร้างผลกระทบแบบ “ทันที + รุนแรง”
🎯 2) หลักการตัดสินใจของผู้บริหารน้ำ (Dam Operation Strategy)
ผู้บริหารน้ำไม่ได้ดูแค่ระดับน้ำในเขื่อน
แต่พวกเขาต้องพิจารณา 5 ปัจจัย พร้อมกัน
(1) Rule Curve – เส้นกราฟเกณฑ์การเก็บน้ำรายเดือน
เป็นเหมือน “กฎหมายประจำอ่าง”
กำหนดว่าเดือนนี้ควรมีน้ำ ขั้นต่ำ–เกณฑ์–สูงสุด เท่าไร
ปลายฤดูฝนจะมีกฎว่า
• ต้อง “สร้างที่ว่าง” บางส่วนเพื่อรองรับฝนปลายฤดู
• แต่ต้องไม่ปล่อยจนต่ำกว่าระดับรองรับหน้าแล้ง
(2) ปริมาณน้ำไหลเข้า (Inflow Forecast)
เครื่องมือพยากรณ์ inflow จะประเมิน
• ฝนตกบนพื้นที่ลุ่มน้ำ
• ระดับความอิ่มตัวของดิน
• เวลาหน่วงน้ำตามลำน้ำ
ถ้าคาดว่าฝนจะยังมาอีก → ต้องเผื่อที่ว่าง
ถ้าคาดว่าฝนกำลังลด → เก็บน้ำมากขึ้นได้
(3) ความสามารถในการระบายของท้ายน้ำ (Downstream Capacity)
แม้เขื่อนจะสามารถระบายได้ แต่
ถ้าท้ายน้ำ เช่น แสวงหา อ่างทอง สิงห์บุรี อยุธยา
“ยังท่วม” หรือ “คลองยังเต็ม” ก็ระบายไม่ได้มาก
เพราะจะยิ่งทำให้บ้านเรือนเสียหายเพิ่ม
นี่คือเหตุผลที่ปีนี้เขื่อนไม่ระบายแรงในช่วงที่ปลายน้ำยังมีน้ำค้างทุ่งอยู่เยอะ
(4) สถานการณ์ทะเลหนุน–น้ำเค็ม
ถ้าทะเลหนุนสูง (พ.ย.–ก.พ.)
ต้อง “เก็บน้ำไว้ดันน้ำเค็ม”
มิฉะนั้นน้ำประปากรุงเทพฯ จะเสี่ยงด้วย
(5) ข้อจำกัดของระบบระบายปลายน้ำ
แม่น้ำเจ้าพระยา แม่น้ำท่าจีน แม่น้ำแม่กลอง
ไม่ได้ออกทะเลโดยธรรมชาติ
แต่ต้องผ่าน
• ประตูน้ำ
• คลอง
• ระบบสูบน้ำ
ทำให้ระบายได้ไม่ทันใจเหมือนในอุดมคติ
จึงต้อง “กระจายน้ำ” แบบประคับประคอง
💡 3) แล้วผู้บริหารใช้อะไรช่วยตัดสินใจ? (เทคโนโลยีจริงที่ใช้ คืออะไร)
📡 (1) Radar ฝน (TMD Radar / Hydro-Informatics Radar)
เห็นฝนล่วงหน้าแบบ real-time 1–6 ชั่วโมง
สำคัญมากสำหรับการปรับระบายรายวัน
🛰️ (2) ข้อมูลดาวเทียม (GPM, Himawari)
ใช้วิเคราะห์ฝนก้อนใหญ่ ลักษณะเมฆ
ช่วยประเมินฝนใน 1–3 วัน
🤖 (3) แบบจำลองน้ำท่า (Hydrological Models)
เช่น HEC-HMS, SWAT
คำนวณว่า “ฝน = กี่ % กลายเป็นน้ำท่า”
🌊 (4) แบบจำลองอุทกวิทยา–ไฮดรอลิก (Hydraulic Models)
เช่น HEC-RAS
จำลองว่าถ้าระบายจากเขื่อน X ลงมา จะไปถึงจุด Y เมื่อไร และสูงแค่ไหน
💻 (5) ระบบ DSS ของ สทนช.
Decision Support System
รวมข้อมูลจากหลายหน่วยงานเพื่อเสนอ “ตัวเลือกการระบาย” ให้ผู้บริหารมีข้อมูลรอบด้าน
🌧️ 4) เรื่อง “ฝนเดินทางกี่วัน ก่อนถึงไทย?”
คำถามนี้ดีมากครับ
เพราะหลายคนคิดว่าฝนมาจากทะเลจีนใต้ “ลอยเข้ามาเลย”
แต่จริง ๆ ไม่ใช่ครับ
✔️ ถ้าเป็น “ก้อนเมฆฝน” → ใช้เวลา ไม่กี่ชั่วโมง
เมฆฝนก่อตัว–สลายตัวเองได้ในประเทศไทย
ไม่ต้องเดินทางจากทะเล
✔️ ถ้าเป็น “ระบบพายุ” → ใช้เวลา 2–5 วัน
เช่น
• หย่อมความกดอากาศต่ำ
• Depressions
• พายุโซนร้อน
เดินทางจากทะเลจีนใต้ → เวียดนาม → ลาว → ไทย
เฉลี่ย 2–5 วัน
แต่เส้นฝนที่จะตกจริง ๆ เกิดจาก
• ปฏิสัมพันธ์กับร่องมรสุม
• ความชื้นในพื้นที่
• ความอิ่มตัวของดิน
• ปัจจัยเสริมหลายอย่าง
ดังนั้นฝนปลายฤดูฝนไทยเกิดจาก “ระบบก่อตัวใหม่ในประเทศไทย” ได้บ่อยมาก ไม่จำเป็นต้องเป็นฝนที่เดินทางจากทะเลเสมอไปครับ
โฆษณา