Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
PPTV Wealth
•
ติดตาม
15 พ.ย. เวลา 09:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
S&P Global Ratings จัดอันดับความน่าเชื่อถือของไทย “มีเสถียรภาพ”
S&P Global Ratings คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ที่ BBB+ คงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ระดับมีเสถียรภาพ คาดจีดีพีโต 2.3% ให้ความสำคัญกับเสถียรภาพทางการเมือง เพราะมีผลต่อการวางนโยบายเศรษฐกิจ
บริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือ S&P Global Ratings (S&P) ได้คงอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (Sovereign Credit Rating) ที่ BBB+ และคงมุมมองความน่าเชื่อถือของประเทศไทย (มุมมอง (Outlook)) ที่ระดับมีเสถียรภาพ (Stable มุมมอง (Outlook) โดย S&P คาดว่า ปี 2568 และ 2569 เศรษฐกิจไทยจะเติบโตอยู่ที่ 2.3% และ 2.0% ตามลำดับ
จากนโยบายการคลังของรัฐบาลมีส่วนช่วยสนับสนุนการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ท่ามกลางความไม่แน่นอนจากทั้งปัจจัยความเสี่ยงภายนอก (ความเสี่ยงภายนอก (External Risks)) และเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศ
S&P Global Ratings จัดอันดับความน่าเชื่อถือของไทย “มีเสถียรภาพ”
และคาดว่าอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่แท้จริง (Real GDP Growth) ในปี 2568 - 2571 จะเติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 2.3% ขณะที่รายได้ต่อหัว (Income per capita) ในปี 2568 จะเพิ่มขึ้นจากประมาณ 8,000 เหรียญสหรัฐฯ เป็นประมาณ 9,000 เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น
นอกจากนี้ S&P มองว่า รัฐบาลไทยยังคงให้ความสำคัญกับการลงทุนตามแผนยุทธศาสตร์ชาติ โดยเฉพาะโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)) และโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่ง ซึ่งสะท้อนถึงการลงทุนภาครัฐ (Public Investment) ที่เติบโตตั้งแต่ช่วงครึ่งหลังของปี 2567
โดยคาดว่าการลงทุนของรัฐวิสาหกิจและความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน (ความร่วมมือรัฐและเอกชน (PPP)) จะมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ และช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนบางส่วนของรัฐบาล อีกทั้งการลงทุนในโครงการเหล่านี้อย่างต่อเนื่องจะช่วยยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศในระยะต่อไป
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกันยายน 2568 จำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เดินทางเข้าประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 24.1 ล้านคน ลดลงประมาณ 7.6% เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
แต่ S&P มองว่า ภาคการท่องเที่ยวยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจในปี 2569 ประกอบกับรัฐบาลได้เร่งดำเนินมาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างต่อเนื่อง เช่น โครงการยกระดับความปลอดภัยและสิทธิประโยชน์สำหรับนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เพื่อช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักท่องเที่ยวและเร่งการฟื้นตัวของภาคการท่องเที่ยว
ด้านหนี้ภาครัฐบาลสุทธิต่ออัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ (หนี้ภาครัฐบาลสุทธิต่อ GDP) คาดว่า ในปี 2568 และ 2569 จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยอยู่ที่ 3% อันเป็นผลมาจากการดำเนินนโยบายการคลังแบบขาดดุลเพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ประกอบกับรัฐบาลมีการออกมาตรการบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นกับผู้ส่งออกและภาคธุรกิจจากความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจโลก รวมถึงโครงการคนละครึ่งพลัส ที่จะช่วยกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศ
นอกจากนี้ S&P มองว่า ประเทศไทยยังคงมีภาคการเงินต่างประเทศ (External Finance) ที่แข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง อันเป็นผลจากการเกินดุลบัญชีเดินสะพัด โดยคาดว่า ตั้งแต่ปี 2568 - 2571 ดุลบัญชีเดินสะพัดจะยังคงเกินดุลเฉลี่ยร้อยละ 2.5 ของ GDP และมีฐานะการลงทุนระหว่างประเทศสุทธิด้านสินทรัพย์ (Net Asset Position) อยู่ที่ประมาณร้อยละ 27 ของภาระการชำระค่าใช้จ่ายตามดุลบัญชีเดินสะพัด อีกทั้งประเทศไทยยังคงมีฐานะการเงินต่างประเทศที่แข็งแกร่งและมีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง
S&P จับตาเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศ
ปัจจัยสำคัญที่ S&P จะติดตามสำหรับการพิจารณาการจัดอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทย ได้แก่ การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศเมื่อเปรียบเทียบกับประเทศที่มีรายได้ระดับเดียวกัน (Peers) รายได้ต่อหัว (Income per capita) และแนวโน้มของการเข้าสู่สมดุลทางการคลัง (Fiscal Consolidation)
นอกจากนี้ S&P ยังให้ความสำคัญกับเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความต่อเนื่องในการกำหนดนโยบายด้านเศรษฐกิจ
"เอกนิติ" วางกรอบแผนการคลังระยะปานกลาง
ด้าน นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากผลการประเมินอันดับความน่าเชื่อถือของประเทศไทยข้างต้น สะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นต่อทิศทางการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลที่มุ่งเน้นการดำเนินงานบนพื้นฐานของความรับผิดชอบ ความโปร่งใส และรักษาวินัยทางการคลังอย่างเคร่งครัด ผ่านการขับเคลื่อนนโยบาย “Quick Big Win”
พร้อมกล่าวเพิ่มเติมว่า ประเทศไทยยังคงมีเสถียรภาพด้านการเงินต่างประเทศที่แข็งแกร่ง มีเงินทุนสำรองระหว่างประเทศในระดับสูง หนี้ต่างประเทศอยู่ในระดับต่ำ และระบบธนาคารพาณิชย์มีฐานะมั่นคง รวมถึงรัฐบาลได้มีการวางกรอบแผนการคลังระยะปานกลาง (Medium - Term Fiscal Framework: MTFF) ผ่าน 3 แนวทางหลัก คือ
1.
การกำหนดแนวทางการจัดการด้านการคลังทั้งด้านรายได้ รายจ่าย และหนี้สินให้ชัดเจนและเป็นรูปธรรม
2.
การปรับปรุงและเพิ่มกฎเกณฑ์การคลัง รวมถึงการยกระดับความโปร่งใสเกี่ยวกับต้นทุนการคลังต่างๆ และรายได้สูญเสียจากสิทธิประโยชน์ภาษีต่าง ๆ เพื่อทำให้สามารถบังคับวินัยการคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3.
การวางแนวทางกำกับการดำเนินมาตรการกึ่งการคลังตามมาตรา 28 แห่ง พระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลัง เพื่อเพิ่มความชัดเจนของการจัดการภาระการคลัง
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ :
https://www.pptvhd36.com/wealth/economic/261461
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์
https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
Facebook PPTVHD36 :
https://www.facebook.com/PPTVHD36
YouTube :
www.youtube.com/@PPTVHD36
เศรษฐกิจ
คนละครึ่ง
ลงทุน
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย