16 พ.ย. เวลา 05:45 • หุ้น & เศรษฐกิจ

วอนรัฐออกแผนลดขาดดุล หวั่นอันดับเครดิตถูกหั่นซ้ำ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ชี้ความเสี่ยงการคลังไทยต้องเร่งแก้ วอนรัฐบาลออกแผนลดขาดดุลชัดเจนใน 4–5 ปี หวังดันอันดับความน่าเชื่อถือหยุดถูกลดลง
นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด เปิดเผยถึงสถานการณ์การคลังของไทยในขณะนี้ว่า ประเด็นความเสี่ยงด้านวินัยการคลังกำลังถูกจับตาอย่างหนักหลังบริษัทจัดอันดับเครดิตปรับลดมุมมองความน่าเชื่อถือของไทยจากระดับ Stable เป็น Negative โดยเหตุผลหลักเชื่อมโยงกับสถานะการคลังและแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป ทำให้เกิดความกังวลว่าไทยอาจถูกทบทวนอันดับเครดิตอีกภายใน 1–2 ปีข้างหน้า
นางสาวณัฐพร ตรีรัตน์ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท ศูนย์วิจัยกสิกรไทย จำกัด
พร้อมกล่าวว่า รัฐบาลอยู่ระหว่างจัดทำ “แผนการคลังระยะปานกลาง” ซึ่งคาดว่าจะเข้าสู่การพิจารณาของ ครม.ภายในสัปดาห์หน้า โดยแผนดังกล่าวจะกำหนดทิศทางลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายของภาครัฐ เพื่อให้ระดับการขาดดุลงบประมาณลดลงมาอยู่ต่ำกว่า 3% ภายในช่วง 4–5 ปีข้างหน้า โดยเบื้องต้นมีเป้าหมายลดขาดดุลให้เหลือราว 3% ภายในปี 2572
อย่างไรก็ตาม นางสาวณัฐพร ระบุว่า ในระยะสั้น ประเด็นเพิ่มรายได้ภาครัฐที่ถูกหยิบยกมากที่สุดคือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) รวมถึงการทบทวนสิทธิหักลดหย่อนภาษีต่าง ๆ และการเก็บภาษีที่บังคับใช้แล้ว อาทิ Global Minimum Tax รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่ม/ภาษีนำเข้าสินค้าราคาต่ำกว่า 1,500 บาท ซึ่งทั้งหมดอาจช่วยเพิ่มรายได้รวมกันเกือบ 1% ของ GDP แต่ยังเป็นเพียงการประคองสถานการณ์ระยะสั้นเท่านั้น
หากต้องการลดการขาดดุลอย่างยั่งยืน นางสาวณัฐพร ชี้ว่า รัฐบาลจำเป็นต้องขยายฐานภาษีควบคู่กับการปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจ เนื่องจากรายได้ภาครัฐผูกกับการเติบโตทางเศรษฐกิจโดยตรง
นอกจากนี้ นางสาวณัฐพร เห็นว่า การกำหนดกรอบใช้จ่ายตามมาตรา 28 ให้ชัดเจนจะช่วยเสริมความเชื่อมั่นด้านวินัยการคลัง โดยในช่วงโควิด กรอบการใช้จ่ายกิจกรรมกึ่งการคลังเคยถูกขยายจาก 32% เป็น 35% ก่อนลดกลับมาใกล้ระดับ 30% ในปัจจุบัน หากมีหลักเกณฑ์ดำเนินการชัดเจนจะช่วยลดความกังวลของนักลงทุนได้
อย่างไรก็ดี ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ยังศึกษาแนวทางต่างประเทศ พบว่า อิตาลีสามารถรักษาอันดับเครดิตไว้ได้เพราะลดการขาดดุลการคลังลงเกือบครึ่งภายในไม่กี่ปี ผ่านแผนรายรับ–รายจ่ายที่จับต้องได้ ขณะที่ฝรั่งเศสไม่สามารถดำเนินการตามแผนได้จริง ทำให้ถูกลดทั้ง Outlook และเครดิตเรตติ้ง ดังนั้นความชัดเจนและการทำจริง คือหัวใจสำคัญ
ทั้งนี้ นางสาวณัฐพร กล่าวว่า IMF เพิ่งปรับประมาณเศรษฐกิจไทยดีขึ้นเล็กน้อย โดยกรอบการเติบโตสอดคล้องกับศูนย์วิจัยกสิกรไทยที่คาดราว 2–2% ปลาย ๆ พร้อมมองว่านโยบายการเงินไทยน่าจะผ่อนคลายต่อ แต่จังหวะการปรับลดดอกเบี้ยต้องอิงข้อมูลเศรษฐกิจเป็นหลัก
สำหรับกรอบหนี้สาธารณะปัจจุบันที่ 70% ของ GDP นั้น นางสาวณัฐพร ระบุว่าไม่ใช่ระดับวิกฤติ แต่หากแตะ 70% จริง รัฐบาลจะเผชิญต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น เช่น ดอกเบี้ยพันธบัตรแพงขึ้น อีกทั้ง IMF แนะนำว่าประเทศไทยควรไม่ขยายเพดานเกิน 70% และควรทยอยลดกลับสู่ระดับ 60% ในช่วง 5 ปีข้างหน้า ซึ่งถือเป็นระดับที่ปลอดภัยที่สุดของไทย
ขณะที่หนี้ครัวเรือนถือเป็นความเสี่ยงเชิงโครงสร้างไม่ต่างจากหนี้สาธารณะ หากต้องการลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนให้ต่ำกว่า 80% ของ GDP ต้องมีมาตรการต่อเนื่องและเข้มข้นมากกว่าเดิม แม้การจัดตั้ง AMC (บริษัทบริหารสินทรัพย์) จะช่วยแก้ปัญหาได้ในระดับหนึ่งก็ตาม
เมื่อผู้สื่อข่าวถามถึงเรื่องการเพิ่มรายได้ภาครัฐที่อาจไปสร้างภาระประชาชนหรือไม่ นางสาวณัฐพร ยอมรับว่า การปฏิรูประบบราชการ ลดความซ้ำซ้อน และเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่ายเป็นสิ่งจำเป็นและควรทำควบคู่กัน เพราะการเพิ่มภาษีอย่างเดียวไม่สามารถแก้ปัญหาโครงสร้างการคลังได้ยั่งยืน
อย่างไรก็ตาม แนวทางที่หยิบยกในปัจจุบันเป็นเพียงมาตรการเฉพาะหน้า รัฐบาลยังต้องวางโครงสร้างการปฏิรูปการคลังในภาพใหญ่ต่อไป
และจากกรณีการต่ออายุโครงการ “คนละครึ่ง พลัส เฟส 2” อาจสวนทางกับความพยายามลดขาดดุลหรือไม่ นางสาวณัฐพรให้ความเห็นว่า ต้องรอดูแผนการคลังระยะปานกลางฉบับใหม่ว่าจะวางกรอบรายจ่ายอย่างไร เพื่อประเมินผลกระทบจริงว่ามาตรการกระตุ้นดังกล่าวสอดคล้องหรือขัดแย้งกับเป้าลดขาดดุลในระยะยาวเพียงใด
อ่านเนื้อหาต้นฉบับได้ที่ :
ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมที่เว็บไซต์ https://www.pptvhd36.com
และช่องทาง Social Media
โฆษณา