1.โลกเปลี่ยนไปแล้ว แต่ความคิดคนยังไม่เปลี่ยนตาม ถึงเวลาต้องสร้าง Sandbox ให้คนรุ่นใหม่ได้ลอง!!!
2. วันนี้หลายองค์กรกำลังเจอปัญหาเดิมๆ ซ้ำซาก
“ทำไมคนรุ่นใหม่ไม่กล้าเสนอไอเดีย?”
“ทำไมไม่มีนวัตกรรมใหม่ๆ จากทีมงานในองค์กร?”
“ทำไมองค์กรเหมือนอยู่ที่เดิม ทั้งที่โลกหมุนเร็วขึ้นทุกวัน?”
3. ความจริงแล้วปัญหาไม่ได้เริ่มที่คน
แต่เริ่มที่ “ยุคสมัยที่แต่ละคนเติบโตมาไม่เหมือนกัน”
4. เพื่อให้เข้าใจง่าย ลองแบ่งคนออกเป็น 2 ยุคแบบนี้
5. Experimental Era คนยุคก่อนจัดตั้งระบบ คือ คนที่เติบโตมาในยุคที่หลายอย่างยังไม่มีระบบ ไม่มีดิจิทัล กฎน้อย ช่องให้ลองผิดลองถูกเยอะ ทำอะไรก็ง่ายกว่า
6. Mature-System Era คนเกิดหลังจัดตั้งระบบ คือ คนที่เกิดมาในยุคที่ทุกอย่างมีระบบ มีดิจิทัล ตรวจสอบได้หมด ทำอะไรต้องถูกต้องตั้งแต่วันแรก กฎระเบียบแน่นมาก
7.สองยุคนี้ไม่ได้ต่างกันแค่โลกที่เห็น
แต่ต่างกันตั้งแต่ “วิธีคิดเรื่องความเสี่ยง”
และนี่คือสาเหตุว่าทำไมองค์กรยุคนี้ต้องมี Sandbox
8.ทำไมคนยุค Experimental Era กล้าเสี่ยง?
เพราะยุคก่อน “โลกมันเปิดช่องให้ลอง”
ยุคที่เศรษฐกิจเติบโตแรง กฎยังไม่เยอะ การแข่งขันยังไม่สูง
ใครกล้าลุยก่อน มักได้ผลตอบแทนสูงมาก
- เปิดร้านง่าย
- เริ่มธุรกิจง่าย
- เงินกู้เข้าถึงไม่ยาก
- trick เล็กๆ น้อยๆ ในงานขายก็ยังใช้ได้
- ไม่มีกฎหมายรายละเอียด ไม่มี PDPA ไม่มีระบบ Audit แบบดิจิทัล
พูดง่ายๆ คือ “พื้นที่สีขาวสีเทามีเยอะ” เลยมีช่องให้สร้างโอกาสใหม่ๆ มาก
9. แล้วทำไมคนยุค Mature-system Era ถึงดูไม่กล้า?
เพราะคนรุ่นนี้เกิดมาในโลกที่ช่องเทาๆ ไม่มีให้แล้ว
- กฎหมายชัดเจน
- ระบบตรวจสอบเข้ม
- งานหลายอย่างต้องทำตาม step
- ผิดพลาดครั้งเดียวทิ้งร่องรอยดิจิทัลไปตลอด
- คู่แข่งคือ Big Corporate ที่มีทรัพยากรเหนือกว่า
เพราะ “โลกมันล็อคไว้หมดแล้ว” คนรุ่นใหม่จึงรู้สึกว่าทุกก้าวมีความเสี่ยง ขยับอะไรได้ยาก คนรุ่น mature-system จึงเรียกร้องการออกแบบระบบที่ดีขึ้น ที่เหมาะสม
9. คนยุค Mature-system
เขาไม่ได้ไม่เก่ง
เขาไม่ได้ขี้เกียจ
เขาไม่ได้ไม่กล้าคิด
แต่แค่เขาไม่มีที่ให้ลอง
ไม่มีพื้นที่ให้ผิด ไม่มีพื้นที่ให้ทดลอง
เขาไม่มีสิทธิ์ได้เติบโตแบบคนยุค Experimental Era เลย
10. แก้ยังไง?
คำตอบที่ทำได้จริง คือ
องค์กรต้องสร้าง Sandbox ให้เขา
Sandbox หรือ กระบะทรายเด็กเล่น ได้เล่น ได้ลอง ถึงล้มก็ไม่เจ็บ
Sandbox คือพื้นที่เล็กๆ ที่ให้ทีมงาน
ลองได้ ผิดได้ ล้มได้ โดยไม่ถูกตำหนิ
และไม่กระทบงานหลักขององค์กร
มันคือ “โลกจำลอง” ให้คนยุค mature-system Era ได้สัมผัสประสบการณ์แบบ experimental era แต่ปลอดภัยกว่า
องค์กรทุกขนาดทำได้ ไม่ต้องใช้งบเยอะ ไม่ต้องตั้งทีมใหม่ใหญ่โต
11. แล้ว Sandbox ดีต่อองค์กรยังไง?
ผลประโยชน์คือ
- เกิดไอเดียใหม่
- ทดลองอะไรที่องค์กรไม่เคยกล้าทำ
- ทีมงานเก่งขึ้นเร็ว เพราะได้ลองของจริง
- ลดแรงเสียดทาน ลดการต่อต้านจากความคิดที่แตกต่างกันตามยุคสมัย เพราะคนได้มีส่วนร่วม
- คัดกรองไอเดียที่มีโอกาสโต ก่อนนำไปต่อยอดจริง
12. ลองคิดภาพดูว่า ถ้าทุกเดือนองค์กรคุณมีโปรเจกต์ทดลองเล็กๆ เกิดขึ้น 5 โปรเจกต์
ปีหนึ่งก็ 60 โปรเจกต์แล้ว
ต่อให้เวิร์กแค่ 3 โปรเจกต์ต่อปี ก็ถือว่าคุ้มที่สุดแล้ว
13. Sandbox ทำยังไงแบบง่ายที่สุด?
1) ตั้งงบทดลองเล็กๆ
ทำงบ Research & development
ไม่ต้องเยอะ เดือนละ 3,000–25,000 บาท ก็เริ่มได้ หรือจะลดขยายตามสัดส่วนความมั่งคั่งขององค์กร
2) อนุญาตให้ทำผิดพลาดได้
ผิดได้ แต่ต้องสรุปบทเรียน เพื่อไม่พลาดซ้ำ
3) ตั้งโจทย์ที่ชัด
เช่น ทำอย่างไรจะเพิ่มลูกค้าใหม่ , ลดต้นทุน 10%, เพิ่มประสิทธิภาพแผนก , ทำสินค้าใหม่
4) ให้เวลา 2–4 สัปดาห์ หรือตามเหมาะสม
เร็ว กระชับ ไม่รบกวนงานหลัก
5) นำเสนอไอเดียแบบสั้นๆ
Pitch ไม่เกิน 5 นาที ดูได้เลยว่าทำต่อหรือหยุด
องค์กรเล็กทำได้
องค์กรกลางยิ่งควรทำ
องค์กรใหญ่ต้องทำให้เป็นระบบ
14. ถ้าไม่มี Sandbox อะไรจะเกิดขึ้น?
- นวัตกรรมจะไม่เกิด
- คนรุ่นใหม่จะท้อ เพราะขาดการมีส่วนร่วม
- องค์กรจะติดหล่มวิธีคิดยุคเก่า
- คนเก่งจะย้ายออก
- ธุรกิจจะเสียโอกาสในโลกที่หมุนเร็วขึ้นทุกปี
เพราะคนยุค Mature-system Era ไม่เหลือพื้นที่ให้ลองเหมือนยุคก่อนแล้ว
ถ้าองค์กรไม่สร้าง sandbox ให้คนของตัวเอง ก็ไม่มีใครที่จะสร้างให้
และถ้าไม่สร้าง sandbox องค์กรอาจสูญเสียทรัพยากรบุคคลที่มีแท้จริงแล้วอาจสร้างมูลค่าหลายๆ ล้านไปก็ได้...ใครจะรู้
Key take away
ยุคก่อนโลกเปิดช่องให้เสี่ยง แต่ยุคนี้โลกปิดเสี่ยงไว้หมด
ดังนั้นความคิดแบบเดิมจึงใช้ไม่ได้อีกต่อไป
ทางออกเดียวขององค์กรในยุคนี้คือ
สร้าง Sandbox ให้คนรุ่นใหม่ได้ลองสร้างสิ่งใหม่อีกครั้ง
เพราะถ้าไม่มีพื้นที่ให้ล้ม ก็จะไม่มีวันที่ลุกด้วยตัวเอง
และถ้าองค์กรไม่เปิดพื้นที่ให้ลอง นวัตกรรมก็ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง
Sandbox คือคำตอบที่องค์กรทุกขนาดสามารถเริ่มได้ตั้งแต่วันนี้.
- 1
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
