14 พ.ย. เวลา 18:40 • หุ้น & เศรษฐกิจ
เนื่องจากวันนี้ผมหันคอแทบไม่ได้เลย หันทีมันจะเจ็บปวดมาก ผมเลยต้องหากิจกรรมที่ทำให้ผมเคลื่อนไหวคอน้อยที่สุด จริงนะครับ หันขวาหันซ้าย ตอนนี้มันเจ็บมาก
ผมก็เลยเปิด Netflix ดู เห็นเรื่องนี้เพิ่งเข้า
ผมบอกเลยนะว่า มันเป็นหนังที่ดีมากครับ ตอนแรกผมกะว่าจะดูขำ ๆ แก้เบื่อ แต่ดูไปดูมา ก็จบเรื่องแล้ว พร้อมกับน้ำตาที่ซึมในตอนจบ
ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า Netflix เป็นบริษัทที่ยังมีอนาคตอีกไกลครับ ผมได้เห็นพัฒนาการของบริษัทนี้ ตั้งแต่ยังมีซีรี่ย์สร้างชื่อไม่กี่เรื่อง และภาพยนต์ที่สร้างโดย Netflix สมัยก่อนก็ไม่ค่อยสนุกเท่าไรด้วย มันดูงบน้อย เนื้อเรื่องก็ไม่ค่อยดี
ที่ผมพูดมาเนี่ย มันคือเหตุการณ์เมื่อประมาณ 8 ปีก่อนเองนะครับ
แต่ในตอนนี้ ผมกล้าพูดได้เต็มปากว่า ภาพยนต์ที่สร้างและฉายโดย Netflix และรวมถึง Prime Video เองก็ด้วย ดีกว่าหลายเรื่องที่ฉายในโรงภาพยนต์เสียอีก
ผมจ่ายเงินรายเดือนให้ทั้ง 2 เจ้านี้ รวมกันเดือนละประมาณ 300 บาทเองมั้ง และรู้สึกว่า คุ้มค่าเป็นอย่างมากครับ
เมื่อก่อนถ้ายังจำกันได้ เคยมีคนสงสัยว่า ธุรกิจอย่างโรงหนัง เช่นหุ้น MAJOR ที่คนมองว่าเป็นธุรกิจที่ดี น่าลงทุนเป็นอย่างมาก
จะโดนการมาของ Streaming ดิสรัป จนตัวเองตกต่ำหรือไม่
แน่นอนอยู่แล้วครับว่า ผู้บริหารก็คงจะบอกว่าไม่ได้น่ากังวล รวมถึงนักลงทุนหลายคนที่เชื่อเช่นนั้นเหมือนกัน
รวมถึงผมเองด้วย เพราะเคยมองว่า หนังที่ Netflix สร้างเอง ผมดูแล้วไม่สนุกเลย คุณภาพแบบนี้คงไม่สามารถดิสรัปภาพยนต์ที่ออกฉายในโรงได้หรอก เลยคิดว่าทั้ง 2 แบบนี้ ก็จะอยู่ด้วยกันได้ เป็นสถานการณ์แบบ Win-win ทั้งคู่
แต่กลายเป็นว่า ในช่วงหลัง Covid มา 2-3 ปีหลังนี้ ผมเองเข้าโรงหนังน้อยลง และดูภาพยนต์จาก Studio ของ Netflix มากขึ้นแทน อย่างล่าสุด ผมก็ดูของ Prime Video มากขึ้นด้วยเหมือนกัน
สิ่งที่ผมผิดพลาดก็คือ ผมลืมมองเรื่องนี้ในเชิง Dynamics ไปครับว่า คุณภาพที่เราเห็นว่ามันห่วยอ่ะ หนังมันดูไม่สนุกเลยเนี่ย มันสามารถพัฒนาขึ้นได้ครับ
ผมลืมคิดในเรื่องของ Unit Economics ของ Netflix ไปว่า ยิ่ง Netflix มี Subscribers มากขึ้น ต้นทุนในการผลิต Content ต่อเรื่องของบริษัท ก็ควรจะลดลง
บริษัทมีความสามารถในการทำกำไรดีขึ้น กระแสเงินสดมากขึ้น ก็สามารถนำไปใช้ลงทุนพัฒนา Content ที่มีคุณภาพสูงขึ้นได้อีก ผ่านการใช้ทีมเขียนบทเก่ง อาจจะปั้นขึ้นมาเอง หรือดึงคนเก่ง ๆ เข้ามา และรวมถึงดึงผู้กำกับยอดฝีมือ ให้มาสร้าง Content ดี ๆ ให้ Netflix
กลายเป็นว่า ด้วยกระบวนการเหล่านี้ ยิ่งทำให้บริษัทสร้างวงจรแห่งความรุ่งเรืองของตัวเองขึ้นมาได้ และจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น ๆ
Content หนี่งอาจจะประสบความสำเร็จมาก ก็เกิดเป็นการขยายจักรวาล เพื่อต่อยอดไปเรื่องอื่น ๆ ที่อยู่ในจักรวาลเดียวกัน
กลุ่มฐานเดิม ก็จะยังติดตาม เพราะชื่นชอบอยู่แล้ว และพอเป็นกระแส ก็จะยิ่งดึงดูดให้คนที่ไม่เคยดู อยากเข้ามาดูบ้าง วงจรนี้ก็จะดำเนินต่อไปครับ
อย่างล่าสุด K-POP Demon Hunter ถือว่าเป็น Content ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดตลอดกาลของ Netflix บริษัทเองก็รู้ดี และมีแผนจะขยายจักรวาลนี้เพิ่มอีก
ยังไม่จบแค่นั้น หากเรามองว่า Disney มี IP ระดับตำนานที่ทรงคุณค่าอยู่มากมาย ไว้ใช้ต่อยอดหาเงิน
Netflix เองก็มีศักยภาพที่จะทำได้คล้าย ๆ กันนะ แน่นอนว่าอาจจะไม่ถึงขั้น MCU, Star Wars, จักรวาล Alien
แต่ไอ้พวก Stranger Things, Black Mirror ก็เป็น IP ที่มีคุณค่า ที่ Netflix สร้างขึ้นมาเอง ซึ่งผมเชื่อว่า หากสร้างตำนานของตัวเองขึ้นมาได้แบบนี้ต่อไป จักรวาลของแต่ละเรื่อง ก็สามารถขยายใหญ่ไปได้ และมีดีพอจะเอาไปใช้หาเงินจากการทำธุรกิจแบบอื่นต่อไปได้ครับ
เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้ดู Karate Kid ซึ่งเป็นหนังที่เก่ามาก ตั้งแต่ปี 1983 ทาง Prime Video และได้เห็นว่า ทาง Netflix ได้ต่อยอดจักรวาลของ Karate Kid ผ่านซีรี่ย์ที่เพิ่งทำมาไม่กี่ปีนี้ ชื่อว่า Cobra Kai
ผมดูไป 2 ซีซั่น เริ่มเบื่อแล้วครับ ไม่ค่อยชอบเรื่องราวของวัยรุ่นเท่าไร เหมือนตอนดู 13 Reasons Why ผมก็ทนดูได้แค่ 3 ซีซั่นเองมั้ง อ่อ มี Sex Education ด้วย ที่ดูไม่จบ ซีซั่นหลัง ๆ ไม่ไหว มัน Woke เกิน
แต่เนี่ยแหละครับ ทำให้เห็นว่า Netflix มีสายตาที่เฉียบแหลมมาก เพราะ Karate Kid เป็นหนังที่เก่ามาก แต่คนมีอายุ พวก Gen X และ Baby Boomer ส่วนใหญ่ย่อมต้องรู้จัก เพราะเรื่องนี้ก็ระดับตำนานอ่ะครับ
แต่บริษัทก็เลือกเอาตำนานมาต่อยอด ทำให้ผู้ใหญ่ดูได้ และเด็กก็ดูดี คนที่อยากดูเรื่องนี้ให้เข้าใจ ก็ต้องเริ่มจากการไปดู Karate Kid ก่อน พอดูจบ มาดู Cobra Kai ต่อ ก็จะยิ่งอินมากขึ้น เพราะเราจะได้เห็นพัฒนาการของ Daniel ตั้งแต่ยังเป็นเด็กหนุ่ม โดนรังแก กลายมาเป็นวัยคุณพ่อ และต้องถ่ายทอดวิชาคาราเต้ ที่ตัวเองร่ำเรียนมาแล้ว
ซึ่งลูกเล่นนี้ มันสามารถทำซ้ำได้ แต่ต้องมองหาโอกาสดี ๆ
อย่างของฝั่ง Prime Video ก็มีเช่นกัน The Accountant ที่ Ben Afflect แสดง ภาคแรกมันก็เป็น 10 ปีแล้ว ไม่ได้สร้างโดย Prime แต่ภายหลังทาง Prime ก็ยังหยิบเอามาทำเป็นภาค 2 ต่อเลย
ขอแตะ Prime นิดหน่อยนะครับ ผมดูซีรี่ย์ The Terminalist ที่คริส แพตต์ แสดง ผมชอบนะมันหดหู่ดี
แต่ในเรื่อง มีตัวละครเพื่อนพระเอกที่น่าสนใจมาก ต่อมาก็ขยายจักรวาล เป็นภาค Dark Wolf โดยใช้ตัวละครนี้ เป็นตัวดำเนินเรื่องหลัก ปูที่มาที่ไปก่อนจะเกิดเป็นเนื้อเรื่องภาคแรก ทำให้เราได้เห็นความสำคัญของตัวละครครับ
เอาล่ะ กลับมาที่ Netflix
Frankenstein ที่ผมเพิ่งดูจบนี้ ตอนแรกผมไม่ได้หวังอะไรมาก แต่มันดีเกินกว่าที่คิดไปมาก และเพิ่งมาสังเกตุว่า ผู้กำกับก็คือ Guillermo Del Toro ซึ่งไม่ต้องสงสัยในฝีมือเลยครับ งาน Art แกเป็นเอกลักษณ์ชัดเจน
ผมเคยดูงานของแก มันจะมีกลิ่นอายของภาพ และสถาปัตยกรรมบางอย่าง ที่บอกเราว่า นี่คืองานของแกครับ
ถึงเรื่องนี้จะไม่ได้ถูกสร้างโดย Studio ของ Netflix เอง แต่บริษัทก็ซื้อสิทธิ์มาให้ฉายแค่ในแพลตฟอร์มของ Netflix เท่านั้นครับ
ซึ่งไม่ว่าอย่างไรก็ตาม จากวิธีสร้างเองแต่เป็นของดี หรือ Studio ภายนอกสร้าง แล้ว Netflix ไปซื้อสิทธิ์มา ผูกขาดให้ฉายแค่ในแพลตฟอร์ม
วิธีการแบบนี้ ก็ยังสร้างความได้เปรียบให้บริษัทแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ ครับ
โฆษณา