3 ชั่วโมงที่แล้ว • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

‘ปริศนาแฟร์มี’ คำถามที่ว่า… ถ้าเอเลี่ยนมีจริง ทำไมเราถึงยังหาไม่เจอ

รู้หรือไม่… หนึ่งในคำถามที่มนุษย์ตั้งไว้นานที่สุดเกี่ยวกับจักรวาล ไม่ใช่เรื่องดวงดาว ไม่ใช่เรื่องการเดินทางข้ามกาแล็กซี แต่คือคำถามง่าย ๆ คือ “ถ้าเอเลี่ยนมีจริง… ทำไมเราถึงยังไม่เจอซักที?”
คำถามนี้กลายเป็นที่รู้จักในชื่อ “ปริศนาแฟร์มี” (Fermi Paradox) ตั้งชื่อตามนักฟิสิกส์คนสำคัญ เอนรีโก แฟร์มี ผู้ตั้งข้อสังเกตเมื่อช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ว่า หากเอกภพเต็มไปด้วยดาวนับล้านล้านดวง และมีดาวจำนวนมากที่คล้ายโลก ทั้งมีน้ำ มีอุณหภูมิที่เหมาะกับชีวิต และมีเวลายาวนานพอสำหรับการวิวัฒนาการ
เหตุใดเราจึงไม่เจอแม้แต่ร่องรอยเดียวของสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญา?
นักวิทยาศาสตร์คำนวณว่า ในกาแล็กซีทางช้างเผือกของเรา มีดาวประมาณ 100,000 ล้านดวง และในนั้นมีดาวจำนวนหนึ่งที่มีดาวเคราะห์ล้อมรอบคล้ายระบบสุริยะของเรา
จากสมการของแฟรงก์ เดรก (Drake Equation) มีความเป็นไปได้สูงว่า ในกาแล็กซีเดียวของเรา อาจมีอารยธรรมขั้นสูงหลายสิบแห่ง หรืออาจมากถึงหลายร้อยแห่งด้วยซ้ำ
ถ้ามันเป็นเช่นนั้นจริง
ทำไมเรายังไม่พบสัญญาณคลื่นวิทยุ?
ทำไมเรายังไม่เห็นยานลึกลับ?
หรือแม้แต่สิ่งบ่งชี้ที่ห่างไกลที่สุดว่าพวกเขา “เคยผ่านมา”?
นี่คือจุดเริ่มต้นของปริศนาแฟร์มีที่ทำให้นักดาราศาสตร์ทั่วโลกต่างตั้งทฤษฎีความเป็นไปได้ต่าง ๆ ขึ้น
ทฤษฎีที่ 1: เราอาจ “อยู่เร็วเกินไป” หรือ “มาช้าเกินไป”
จักรวาลมีอายุราว 13,800 ล้านปี แต่มนุษย์เพิ่งถือกำเนิดมาเมื่อไม่กี่แสนปีเท่านั้น
เมื่อเทียบกับอายุจักรวาล เราเหมือนเด็กทารกที่เพิ่งเปิดตาดูโลก บางทีอารยธรรมอื่นอาจยังไม่เกิด หรือบางทีพวกเขาอาจล้มหายไปก่อนเราจะเกิดนานแล้ว
เราจึงเหมือนคนเดินเข้ามาในโรงละครว่างเปล่า เพราะเหตุการณ์สำคัญได้จบลงไปแล้ว
ทฤษฎีที่ 2: อารยธรรมขั้นสูงอาจ “เงียบโดยตั้งใจ”
นี่คือทฤษฎีที่ทำให้คนอ่านรู้สึกเย็นสันหลังที่สุด ถ้าเปรียบจักรวาลอันกว้างใหญ่เป็นผืนป่าอันมืดมิด
บางทีอารยธรรมขั้นสูงอาจหลีกเลี่ยงการเปิดเผยตัวเอง เพราะรู้ดีว่าการส่งสัญญาณออกไปในจักรวาลก็เหมือน “บอกตำแหน่งให้ผู้ล่า”
และในป่ามืดแห่งเอกภพ ผู้ล่าอาจไม่ใช่อารยธรรมที่ใจดีเหมือนมนุษย์ เราจึงไม่ได้ยินเสียงอะไร เพราะทุกคนกำลัง “สงบปากสงบเสียง” เพื่อรอดชีวิต
ทฤษฎีที่ 3: เราอาจมองผิดทิศทางทั้งหมด
อาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาไม่ได้ใช้คลื่นวิทยุสื่อสารอีกแล้ว เพราะเทคโนโลยีแบบนั้นอาจ “ดึกดำบรรพ์” สำหรับพวกเขา
ลองจินตนาการว่าเราพยายามฟังสัญญาณจากอารยธรรมขั้นสูง แต่เราใช้วิทยุ…ในขณะที่พวกเขาใช้การสื่อสารเชิงควอนตัม หรือวิธีที่เราไม่อาจจินตนาการได้เลย
มันก็เหมือนมนุษย์พยายามค้นหาวิทยุ FM ด้วยการตั้งเสาไฟฟ้าโบราณ เรากำลังมองหา… แต่เรากำลังใช้เครื่องมือผิดยุคผิดสมัย
ทฤษฎีที่ 4: มนุษย์อาจ “พิเศษเกินไป”
นี่เป็นทฤษฎีที่ฟังดูน่าภูมิใจ… แต่ก็อาจเศร้ามากเช่นกัน
บางทีชีวิตแบบเราที่วิวัฒน์จนสร้างเทคโนโลยีอาจ “หายากมาก” ในระดับที่โลกอาจเป็นหนึ่งในไม่กี่แห่งในเอกภพที่ทำสำเร็จ
ถ้าเป็นจริง จักรวาลอาจเต็มไปด้วยชีวิตระดับจุลชีพ แต่ “ชีวิตอัจฉริยะ” อาจเป็นเพียงประกายเล็ก ๆ ในความมืดมิดของห้วงสมุทรแห่งดวงดาว
ทฤษฎีที่ 5: เราอาจถูก “เลี้ยงดู” หรือ “เฝ้าดู”
นักวิทยาศาสตร์บางคนตั้งข้อสันนิฐานว่า โลกอาจเป็นเหมือนเขตสงวนธรรมชาติ หรือห้องทดลองใหญ่ของอารยธรรมขั้นสูง พวกเขาอาจ “ดูเราอยู่” แต่เลือกที่จะไม่ติดต่อ
เหมือนมนุษย์มองสัตว์ในป่า แต่ไม่ได้เข้าไปคุยกับมันโดยตรง ไม่ใช่เพราะเราไม่สำคัญ แต่เพราะเรายังไม่พร้อม
ทฤษฎีที่ 6: เราเจอแล้ว…เพียงแต่ “ยังไม่รู้ตัว”
สัญญาณบางอย่าง เช่น สัญญาณ Wow! ที่ดังเพียงเสี้ยววินาที หรือการเคลื่อนตัวแปลก ๆ ของวัตถุบางชนิด
อาจเป็นสัญญาณแรกของบางอย่าง แต่เรายังไม่มีเทคโนโลยีพอจะยืนยัน
มนุษย์อาจกำลังยืนอยู่หน้าหลักฐานของอารยธรรมอื่น แต่ยังไม่เข้าใจว่านั่นคืออะไร
เหมือนเจอรอยเท้าทิ้งไว้ในหิมะ แต่ไม่รู้ว่าเป็นรอยเท้าของสิ่งมีชีวิตอะไร
ปริศนาแฟร์มี ไม่ใช่คำถามของนักวิทยาศาสตร์เท่านั้น แต่เป็นคำถามที่ทำให้เรามองย้อนกลับมาที่ตัวเองว่า
เราเล็กแค่ไหน
เราอายุสั้นแค่ไหน
และเราเพิ่งเริ่มเข้าใจจักรวาลได้เพียงเศษเสี้ยวของความจริงทั้งหมด
โฆษณา