2 ชั่วโมงที่แล้ว • การเมือง

กองทัพอากาศโคลอมเบียกับเครื่องบินขับไล่ยุคใหม่ Gripen E/F

สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน บทความนี้ก็ไปนำมาจากสื่อต่างประเทศ เห็นมีบางท่านกล่าวถึงในโลกโซเชียลว่ากองทัพอากาศโคลอมเบีย จัดซื้อ Gripen E หลังจากที่กองทัพอากาศไทยไปจัดซื้อเครื่องบินรบแบบนี้ประกอบกับพึ่งมีผลงานในการรบครั้งแรกในโลกกับกัมพูชาเมื่อเดือนกรกฎาคมปีค.ศ.2025 อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ไม่ได้เป็นข้อเท็จจริง เนื่องจากกองทัพอากาศโคลอมเบียมีแผนการจัดหามาก่อนที่ไทยจะใช้ Gripen ออกรบเป็นชาติแรกแล้ว เรื่องราวของว่าที่เครื่องบินขับไล่ใหม่แห่งกองทัพอากาศโคลอมเบียนี้จะน่าสนใจเพียงใด ไปติดตามกันได้ครับ
ทางด้านเว็บไซต์ ARMY RECOGNITION รายงานว่าบริษัท Saab ของสวีเดนได้ลงนามสัญญามูลค่า 3.1 พันล้านยูโรกับโคลอมเบียเพื่อจัดซื้อเครื่องบินขับไล่หลากบทบาท Gripen E/F จำนวน 17 เครื่อง พร้อมด้วยการฝึกอบรม อาวุธ และการสนับสนุนระยะยาว โดยมีกำหนดส่งมอบตั้งแต่ปีค.ศ. 2026 ถึงปีค.ศ. 2032
การจัดซื้อเครื่องบินขับไล่สมรรถนะสูงแบบนี้จะเข้ามาแทนที่เครื่องบินขับไล่ Kfir ที่เริ่มล้าสมัย อีกทั้งยังเสริมความแข็งแกร่งให้กับการสนับสนุนด้านอุตสาหกรรมและสังคม รวมทั้งยังทำให้ Colombia มีเครื่องบินขับไล่ที่ทันสมัยและเชื่อมต่อเครือข่ายโดยไม่ต้องผูกติดกับระบบของสหรัฐฯ
เป็นเวลากว่าทศวรรษแล้วที่ Colombia กำลังมองหาเครื่องบินขับไล่ที่จะมาสืบทอดการปกป้องอธิปไตยเหนือน่านฟ้าต่อจาก IAI Kfir โดยมีการสรรหาเครื่องบินขับไล่จากหลายชาติ อาทิเช่น Rafale ของบริษัท Dassault ฝรั่งเศส และ F-16 ของบริษัท Lockheed Martin สหรัฐฯ อย่างต่อเนื่องก่อนที่จะมาได้แบบที่ลงตัวกันในต้นปีค.ศ.2025
Gripen E ที่กองทัพอากาศโคลอมเบียจัดซื้อล่าสุด
ตามข้อเสนอของสวีเดนการพุ่งเป้าไปที่ฝูงบินขับไล่ใหม่เป็นเครื่องบินขับไล่กริพเพนจำนวน 16 ถึง 24 เครื่องถือเป็นการตัดสินใจที่วางแผนไว้สำหรับแผนการป้องกันภัยทางอากาศระยะยาว ดังนั้นเพื่อการมีกำลังทางอากาศที่มีศักยภาพสูงและเสริมสร้างอำนาจของกองทัพอากาศโคลอมเบียให้แข็งแกร่งขึ้น
จึงต้องมีการการจัดหาเครื่องบินขับไล่ที่จะมาทดแทน Kfir ในทศวรรษนี้ ในช่วงที่ความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอลเสื่อมถอยลงมาตั้งแต่ปีค.ศ.2024 ทำให้การบำรุงรักษาเครื่องบินขับไล่แบบดังกล่าวมีความซับซ้อนมากขึ้น และการให้ความสำคัญกับการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์จากชาติสมาชิกเนโต้ (NATO)
ทำให้การลงนามในสัญญาอย่างเป็นทางการจากการจัดหาเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 4.5 ที่ผลิตโดยสวีเดน ทำให้กองทัพ อากาศโคลอมเบีย (Colombian Aerospace Force : Fuerza Aeroespacial Colombiana/FAC) สามารถก้าวข้ามจากอากาศยานแบบเก่าสู่อากาศยานแบบใหม่อย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งเครื่องบินขับไล่รุ่นเก่าสัญชาติอสราเอลจะยังคงประจำการอยู่ต่อไปจนกว่าจะมีกริพเพนเข้าสู่การประจำการในทัพฟ้าโคลอมเบียอีกไม่กี่ปีนับจากนี้
การลงนามสัญญาการจัดหาโดยรวมเป็นไปตามแบบเดียวกับบราซิลเคยลงนามกับ Saab อยู่แล้ว สัญญาดังกล่าวลงนามเมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน ประกอบด้วยเครื่องบินขับไล่ Gripen 17 เครื่อง อาวุธทุกชนิด อุปกรณ์ที่เกี่ยวข้อง การฝึกอบรม และแพ็คเกจสนับสนุนที่กระจายอยู่ตลอดระยะเวลาการส่งมอบ สำหรับบริษัทสวีเดนแห่งนี้ นี่เป็นหนึ่งในสัญญาส่งออกด้านการป้องกันประเทศที่ใหญ่ที่สุดของบริษัท
Gripen E กองทัพอากาศสวีเดน
ขณะเดียวกัน Saab และรัฐบาลโคลอมเบียได้สรุปข้อตกลงชดเชยสองฉบับ ซึ่งเป็นกรอบความร่วมมือด้านอุตสาหกรรมและเทคโนโลยี วัตถุประสงค์คือการให้อุตสาหกรรมป้องกันประเทศของโคลอมเบียมีบทบาทที่ยั่งยืนในการปฏิบัติการ การบำรุงรักษา และการพัฒนาขีดความสามารถฝูงบินกริพเพน สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นนับตั้งแต่หลังจากการรับเครื่องบินเสร็จสมบูรณ์แล้วเป็นต้นไป
รายละเอียดของข้อเสนอ (offsets) เหล่านี้ครอบคลุมนอกเหนือจากด้านการทหาร อีกทั้งยังสอดคล้องกับการพัฒนาที่ทันสมัยด้านความมั่นคงและการพัฒนาประเทศ กรอบการทำงานดังกล่าวประกอบด้วยด้านอุตสาหกรรมการบิน การรับมือสงครามไซเบอร์ การพัฒนาสุขภาพ การสร้างพลังงานยั่งยืน และเทคโนโลยีบำบัดน้ำ
ขณะที่ประธานาธิบดีโคลอมเบียได้เน้นย้ำถึงศักยภาพในการผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ การเข้าถึงน้ำดื่มสะอาด และการปรับปรุงโรงพยาบาลให้ทันสมัย สำหรับการการจัดตั้งฐานอุตสาหกรรมและเทคโนโลยีป้องกันประเทศของโคลอมเบีย (Colombian defence industrial and technological base : BITD) แนวโน้มคือการเปลี่ยนจากสถานะผู้นำเข้าอาวุธยุทโธปกรณ์ไปสู่สถานะการเป็นชาติที่ให้ความสำคัญกับการบำรุงรักษาเชิงลึก การปรับปรุงซอฟต์แวร์ และการผลิตชิ้นส่วนอื่นๆในอนาคตสำหรับ Gripen E/F แม้ว่าจะยังไม่ได้ระบุสัดส่วนงานในท้องถิ่นที่ชัดเจน
Gripen E/F ที่กองทัพอากาศโคลอมเบียจัดหานี้เป็นเครื่องบินขับไล่ยุคที่ 4.5 ที่พัฒนาโดยบริษัท SAAB ประเทศสวีเดน เครื่องบินขับไล่สุดไฮเทคแบบนี้ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบแฟน General Electric F414-GE-39E แรงขับประมาณ 98 กิโลนิวตัน ที่พัฒนามาจากเครื่องยนต์ตระกูลเอฟ414
กริพเพนกองทัพอากาศไทย
ซึ่งให้แรงขับมากกว่าเครื่องยนต์เอฟ404 รุ่นก่อนหน้าประมาณหนึ่งในสี่ และให้สมรรถนะที่ยอดเยี่ยมในการบินเหนือประเทศที่มีสภาพอากาศร้อนและบินสูงกว่าเทือกเขาแอนดีสได้
Gripen E/F มีโครงสร้างเครื่องบินที่ขยายใหญ่ขึ้นเล็กน้อย สามารถบรรจุเชื้อเพลิงภายในได้มากขึ้นและมีจุดติดอาวุธสำหรับรบทางอากาศและโจมตีภาคพื้นดินภายนอก 10 จุด เครื่องบินแบบนี้รับน้ำหนักบรรทุกได้ประมาณ 7,200 กิโลกรัม พร้อมด้วยปืนใหญ่ Mauser BK-27 ขนาด 27 มม. บรรจุกระสุน 120 นัดซึ่งจะมีเฉพาะรุ่นที่นั่งเดียว โครงสร้างที่ค่อนข้างกะทัดรัดนี้ทำให้ FAC สามารถใช้ขีดความสามารถของเครื่องบินขับไล่แบบใหม่ที่มีพิสัยการบินไกลกว่า มีความคล่องตัวสูง และมีน้ำหนักบรรทุกที่ดีกว่า
เพราะฉะนั้น Gripen E/F จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดสำหรับภารกิจการบินรบทางอากาศ การบินสกัดกั้น การลาดตระเวนทางทะเล และการโจมตีที่แม่นยำต่อเป้าหมายทางภาคพื้นดิน
ปัจจัยสำคัญในการเลือกยังขึ้นอยู่กับการออกแบบระบบเซ็นเซอร์สมัยใหม่อีกด้วย เครื่องบินขับไล่ Gripen E นั้นมีการติดตั้งเรดาร์ Raven ES-05 Active Electronically Scanned Array (AESA) ซึ่งพัฒนาร่วมกับ Leonardo ติดตั้งบนเสาอากาศแบบปรับตำแหน่งได้ ให้ระยะค้นหาประมาณ ±100 องศา และปรับปรุงความสามารถในการตรวจจับระหว่างการทำการบินรบตามยุทธวิธี
กริพเพนเครื่องแรกของกองทัพอากาศไทย
เรดาร์นี้มาพร้อมกับระบบค้นหาและติดตามเป้าหมายแบบอินฟราเรด Skyward-G (Infrared Search And Track : IRST) ซึ่งช่วยให้ตรวจจับเป้าหมายที่เป็นเครื่องบินและขีปนาวุธที่อยู่ไกลจาก Gripen E/F ได้โดยไม่ต้องใช้เรดาร์ตรวจจับและมีระบบสงครามอิเล็กทรอนิกส์ (electronic warfare systems) จำนวนมากที่แสดงผลบนจอแสดงผลสำหรับนักบินที่มีขนาดกว้างขึ้น
สำหรับเครื่องบินขับไล่ Gripen ของกองทัพอากาศโคลอมเบีย (Fuerza Aeroespacial Colombiana : FAC) ที่มีระบบสมัยใหม่แบบนี้อาจเป็นการสร้างความแข็งแกร่งให้กองทัพอากาศโคลอมเบียในการรับมือภัยคุกคามสมัยใหม่และเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการบินปฏิบัติการร่วมกับเหล่าทัพที่แข็งแกร่ง
กองทัพอากาศโคลอมเบียไม่ได้จัดหาเครื่องบินขับไล่ Gripen E เท่านั้น ยังมีอาวุธอีกมายทั้งที่ออกแบบมาเพื่อการรบทางอากาศและการรบต่อเป้าหมายภาคพื้นดินเช่น ขีปนาวุธอากาศสู่อากาศพิสัยไกล Meteor ที่มีท่อยิงขับเคลื่อนด้วยแรมเจ็ตและมีพิสัยการยิงเกือบ 200 กิโลเมตรที่ได้รับการยืนยันอย่างเป็นทางการ ทำให้มีโอกาสที่จะชนเป้าเครื่องบินข้าศึกอย่างแม่นยำในระยะไกลโดยไม่คลาดเคลื่อนเมื่อเทียบกับขีปนาวุธอากาศสู่อากาศพิสัยไกลรุ่นเดียวกัน
อีกทั้งยังติดตั้งขีปนาวุธอากาศสู่อากาศพิสัยใกล้อย่าง IRIS-T หรือ AIM-9 ที่ให้ความสามารถในการโจมตีเครื่องบินขับไล่ระหว่างการสู้รบทางอากาศระยะประชิดหรือ dog fight ในขณะเดียวกัน เครื่องบินรบแบบนี้ยังสามารถใช้ขีปนาวุธ AGM-65 Maverick ระเบิดนำวิถีด้วยเลเซอร์และขีปนาวุธต่อต้านเรือผิวน้ำ RBS-15 (อาร์บีเอสฟิฟทีน) สำหรับภารกิจทางอากาศสู่พื้นและทางทะเล
Gripen E จะเป็นเครื่องบินขับไล่ที่ดีที่สุดของกองทัพอากาศโคลอมเบียอีกไม่กี่ปีนับจากนี้
สำหรับ FAC แล้วการมีเครื่องบินขับไล่ Gripen E เพียงฝูงบินเดียวสามารถเปลี่ยนภารกิจได้หลากหลายในเวลาเดียวกันได้เช่น ภารกิจลาดตระเวนทางอากาศเหนือน่านฟ้าป่าแอมะซอนไปจนถึงภารกิจการบินลาดตระเวนทางทะเลตามแนวชายฝั่งแปซิฟิกได้ภายในวันเดียว โดยที่ไม่ต้องสลับเครื่องบินแบบอื่นมาทำหน้าที่
ในการปฏิบัติการทางอากาศและปฏิบัติการอื่นๆ แนวคิดของเครื่องบินกริพเพนได้รับการออกแบบโดยคำนึงถึงความยืดหยุ่นและความสามารถในการเอาตัวรอด เครื่องบินรบแบบดังกล่าวออกแบบมาเพื่อปฏิบัติการแบบกระจายกำลังรบจากรันเวย์ระยะสั้นหรือที่กองทัพอากาศเตรียมไว้เพียงบางส่วน
โดยเจ้าหน้าที่ภาคพื้นกองทัพอากาศขนาดเล็กสามารถทำการเตรียมความพร้อมเครื่องบิน Gripen ได้ภายในไม่กี่นาที แนวทางนี้สอดคล้องกับการยกระดับการใช้งานพื้นที่นอกสนามบินทหารในประเทศโคลอมเบีย และลดความเสี่ยงจากการโจมตีต่อฐานทัพอากาศขนาดใหญ่แบบกะทันหันในกรณีเกิดสงคราม โดยเฉพาะการใช้ถนนหลวงที่มีตัวอย่างจากการฝึกของกองทัพอากาศไทยเมื่อต้นปีที่ผ่านมา
สำหรับการฝึกขึ้นลงถนนหลวงของเครื่องบินขับไล่กริพเพน มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อทดสอบขีดความสามารถเครื่องบินขับไล่กริพเพนเรื่องความอ่อนตัวในการวางกำลังและการปฏิบัติภารกิจในทุกสนามบินและพื้นที่ที่มีความเหมาะสมทั่วประเทศ รวมทั้งเตรียมความพร้อมปฏิบัติภารกิจโดยไม่ใช้สนามบินหลัก กรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน หากสนามบินถูกโจมตีการมีถนนหลวงเป็นสนามบินสำรองจึงเป็นไปเพื่อความปลอดภัย และเพื่อเพิ่มขีดความสามารถเชิงยุทธศาสตร์ในการวางกำลังของเครื่องบินขับไล่ Gripen
กริพเพนกองทัพอากาศไทยขณะบินขึ้นจากฐานทัพอากาศอุดรธานี
สำหรับรูปแบบการทดสอบในส่วนกองทัพอากาศไทยประกอบด้วย 2 เที่ยวบิน โดยเที่ยวบินแรกลงถนนและเติมเชื้อเพลิง พร้อมติดตั้งอาวุธ และเที่ยวบินที่สองวิ่งขึ้นเพื่อปฏิบัติภารกิจ ใช้เวลาทดสอบทั้งหมด 1 ชั่วโมง ทั้งนี้ และทั้งนั้นเครื่องบินขับไล่กริพเพนเป็นเครื่องบินที่ใช้ระยะทางวิ่ง เพียง 700-800 เมตร จึงเหมาะสมการทดสอบดังกล่าว
จากบทเรียนของกองทัพอากาศไทยที่ผู้เขียนยกตัวอย่างมานี้ประกอบกับการมีประจำการเครื่องบินขับไล่กริพเพนในชาติที่ซื้อไปก่อนหน้าไม่ว่าจะเป็น แอฟริกาใต้ บราซิล ฮังการี สาธารณรัฐเช็ค อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าเมื่อเทียบกับเครื่องบินรบแบบยอดนิยมที่มาจากฝั่งสหรัฐอเมริกาเช่นเครื่องบินขับไล่ F-16 และ F-35 การตัดสินใจครั้งนี้ยังช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับตลาดการค้าอาวุธสงครามของสวีเดนในภูมิภาคละตินอเมริกา
ในขณะที่สต็อกโฮล์มกำลังกำหนดบทบาทใหม่ภายในเนโต สร้างความเชื่อมโยงเพิ่มเติมระหว่างอุตสาหกรรมป้องกันประเทศในกลุ่มนอร์ดิกและพันธมิตรในอเมริกาใต้ สำหรับโคลอมเบีย การมาถึงของกริพเพน อี/เอฟ หมายความว่ายุคเรืองอำนาจทางอากาศของกองทัพอากาศประเทศนี้กำลังจะเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
เมื่อมีเครื่องบินขับไล่ที่ทันสมัยพร้อมทั้งระบบ Data Link ซึ่งสามารถสนับสนุนการรบ 3 เหล่าทัพเป็นไปในทิศทางเดียวกันและทำให้โบโกตามีศักยภาพในการป้องกันตนเองจากภัยคุกคามที่มากขึ้นในศตวรรษที่ 21
กริพเพนกองทัพอากาศไทยพร้อมถังเชื้อเพบิงใต้ปีก 2 ถัง
กองทัพอากาศโคลอมเบียกับเครื่องบินขับไล่ Gripen ไม่ใช่แค่จินตนาการอีกต่อไป นี่คือความสำเร็จที่เกิดขึ้นควบคู่ไปกับการพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ อันจะก่อให้เกิดเศรษฐกิจที่เจริญเติบโตและความเป็นรัฐอันมั่งคั่งในภูมิภาค แม้จะมีจำนวนน้อยเพียงไม่กี่เครื่องสำหรับกองทัพอากาศโคลอมเบีย แต่กริพเพนคือความหวังเดียวในการปกป้องน่านฟ้าประเทศนี้ต่อจาก Kfir สำหรับวันนี้ผู้เขียนขอลาไปก่อน สวัสดีครับ
Credit บทความและภาพประกอบ
Army Recognition
SAAB
Royal Thai Air Force
The Standard
พูนศักดิ์ คำภูธร
Defense Express
ประสพโชค จิตไชยชาญ
เรียบเรียงโดย : แดง ภูมะเขือ
โฆษณา