🚀นโยบายการคลัง: เครื่องมือรัฐขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
คุณเคยสงสัยไหมว่าเงินภาษีที่คุณจ่ายไปทุกปีถูกนำไปทำอะไร?
ในวันที่เศรษฐกิจชะลอตัว ธุรกิจปิดตัว และประชาชนเริ่มตั้งคำถามถึงบทบาทของรัฐ — ใครกันแน่ที่จะเข้ามาพยุงเศรษฐกิจไม่ให้พังทลาย?
คำตอบอยู่ที่นี่: นโยบายการคลัง เครื่องมือทรงพลังที่รัฐบาลใช้พลิกฟื้นเศรษฐกิจให้กลับมาเติบโตอย่างมั่นคง
✨ นโยบายการคลังคืออะไร?
เมื่อเศรษฐกิจโลกสั่นคลอนจากวิกฤตการเงิน การว่างงานพุ่ง หรือเงินเฟ้อพุ่งทะยาน รัฐบาลไม่อาจนิ่งเฉยได้อีกต่อไป
นี่คือจุดที่ “นโยบายการคลัง” ก้าวเข้ามาเป็นพระเอก — เครื่องมือที่รัฐใช้บริหารรายรับและรายจ่าย เพื่อรักษาเสถียรภาพและกระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ
🌍 จากเศรษฐกิจพังทลาย สู่วันที่รัฐต้องลุกขึ้นมาเป็นพระเอก
ครั้งหนึ่งโลกเคยเชื่อมั่นในกลไกตลาดแบบเสรี (Laissez-faire)ว่าตลาดจะปรับตัวได้เอง
แต่เมื่อเกิด The Great Depression ทุกอย่างพังทลาย เศรษฐกิจทรุด การว่างงานทะยาน และความสิ้นหวังครอบคลุมทั่วโลก
นี่คือจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้รัฐต้องลุกขึ้นมา “อัดฉีด” เศรษฐกิจ
นักเศรษฐศาสตร์ชื่อดัง John Maynard Keynes เสนอแนวคิดใหม่ว่า
รัฐต้อง “เพิ่มการใช้จ่ายและลดภาษี” เพื่อกระตุ้นอุปสงค์รวม (Aggregate Demand)
และวาทะของเขากลายเป็นตำนาน
“In the long run, we are all dead.”
Keynes ต้องการเตือนว่า หากเรารอให้ตลาดฟื้นเองในระยะยาว อาจไม่ทันต่อความทุกข์ที่เกิดขึ้นในวันนี้
🌟 ความสำคัญและเป้าหมายของนโยบายการคลัง
นโยบายการคลังจึงไม่ใช่แค่เครื่องมือทางบัญชี แต่คือ “โล่ป้องกัน” และ “คันเร่ง” ของเศรษฐกิจ
🎯 เป้าหมายหลัก ได้แก่
• รักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ ควบคุมเงินเฟ้อและการว่างงาน
• กระตุ้นการเติบโตผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
• ลดความเหลื่อมล้ำด้วยภาษีก้าวหน้าและสวัสดิการสังคม
🛠 อาวุธของรัฐ
อาวุธของรัฐเปรียบเหมือน “เบรกกับคันเร่ง” ของรถยนต์เศรษฐกิจ
1️⃣ รายจ่ายภาครัฐ (Government Spending)
สร้างงาน สร้างโครงการ และสร้างความหวัง
• ลงทุนในถนน รถไฟ โรงพยาบาล
• ให้เงินช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย
• เพิ่มการจ้างงานในภาครัฐ
2️⃣ รายได้จากภาษี (Taxation)
ภาษีไม่ใช่แค่รายได้ของรัฐ แต่เป็นเครื่องมือควบคุมพฤติกรรมเศรษฐกิจ!
• ลดภาษี → กระตุ้นการใช้จ่าย
• เพิ่มภาษี → ควบคุมเงินเฟ้อ หรือพฤติกรรมที่ไม่พึงประสงค์ (เช่น ภาษีบุหรี่)
3️⃣ สิทธิประโยชน์ทางภาษี (Tax Incentives)
ส่งเสริมการลงทุน เช่น ยกเว้นภาษีให้ธุรกิจ Startups หรือ Green Business
💰 ที่มาของรายได้เพื่อดำเนินนโยบายการคลัง
ไม่ใช่แค่ภาษี แต่รวมถึง
• รายได้จากรัฐวิสาหกิจและเงินปันผล
• การลงทุนและกู้ยืมเมื่อจำเป็น
เพราะบางครั้ง “หนี้ภาครัฐ” ไม่ได้แปลว่าใช้เงินเกินตัว
แต่คือการลงทุนเพื่ออนาคตของประเทศ
📈 กลไกส่งต่อผลกระทบ: ตัวคูณทางการคลัง (Fiscal Multiplier)
เงินที่รัฐใช้จ่ายไม่ได้หยุดแค่รอบเดียว แต่มัน “หมุนเวียนต่อ”
เช่น รัฐลงทุนสร้างถนน 1 ล้านบาท → คนงานได้รับค่าจ้าง → นำไปจับจ่ายในตลาด → ร้านค้าสั่งของเพิ่ม → เกิดรายได้ต่อเนื่อง
นี่คือ “พลังตัวคูณ” ที่ขยายผลของการใช้จ่ายภาครัฐ
❗ แต่ไม่ใช่รายจ่ายทุกประเภทจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้
• รายจ่ายที่ก่อให้เกิดการบริโภคหรือการจ้างงาน →Multiplier สูง
• รายจ่ายชำระหนี้ →Multiplier = 0 เพราะเงินไม่หมุนต่อ
ดังนั้น “แจกเงินอย่างเดียว” อาจไม่พอ หากประชาชนเอาไปออมหรือใช้หนี้มากกว่าจับจ่าย
🌏ตัวอย่างจากทั่วโลก
🇺🇸สหรัฐฯ (2008) — Stimulus Package หลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์
🇯🇵ญี่ปุ่น (1990s) — กระตุ้นเศรษฐกิจหลังฟองสบู่แตก แต่หนี้พุ่ง
🇸🇬สิงคโปร์ (2024) — แจกคูปองช็อปปิ้งทุกครัวเรือน
🇹🇭ไทย (2020) — โครงการคนละครึ่งและการลดภาษี SME
⚠️ ข้อจำกัดของนโยบายการคลัง
แม้นโยบายการคลังจะทรงพลัง แต่ก็มีจุดอ่อน
• ใช้จ่ายเกินตัว → หนี้สาธารณะพุ่ง (ไทยปี 2567 = 63.8% ต่อ GDP)
• ลดภาษีมากเกินไป → รายได้รัฐหด
• เบิกงบล่าช้า → มาตรการไม่ทันต่อสถานการณ์
🤝 นโยบายการคลัง + การเงิน = ทีมเวิร์กแห่งเศรษฐกิจ
ถ้ารัฐอัดฉีดเศรษฐกิจ แต่ธนาคารกลางขึ้นดอกเบี้ย
ผลลัพธ์ก็หักล้างกันทันที
การประสานจังหวะระหว่าง “นโยบายการคลัง” และ “นโยบายการเงิน”
คือหัวใจของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
💡 คำถามที่รัฐต้องตอบ
เพราะนโยบายการคลังไม่ใช่เพียงตัวเลขในงบประมาณ
แต่มันคือภาพสะท้อนของความตั้งใจ ว่าจะใช้ “เงินของประชาชน” เพื่ออะไร
เพื่อเยียวยาปัจจุบัน หรือเพื่อวางรากฐานแห่งอนาคต
เรื่องและภาพ: กรรวี วงษ์ศิริเลิศ Economist, Bnomics
════════════════
Bnomics - Bangkok Bank Economist, Bnomics
'Be an Economist for Everyone'
วิเคราะห์ เจาะทุกประเด็นเศรษฐกิจ ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ
════════════════
#นโยบายการคลัง #รัฐบาล #ภาษี #เศรษฐกิจ #ธนาคารกรุงเทพ #Bnomics #BBL #BangkokBank
- 2
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
