2 ชั่วโมงที่แล้ว • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี

OpenAI ยูนิคอร์นที่ไม่อยาก IPO : เทรนด์ใหญ่ของวงการ AI สัญญาณที่บอกว่า “ความฝันกำลังแพงขึ้นเรื่อยๆ”

เมื่อไม่นานมานี้เราอาจจะเห็นข่าวจากหลายๆ แห่งว่า OpenAI บริษัทเจ้าของ ChatGPT กำลังเตรียมเข้าตลาดหุ้น แต่เรื่องนั้นอาจจะไม่เกิดขึ้น เพราะโอกาสที่พวกเขาจะทำ IPO (Initial Public Offering หรือการเสนอขายหุ้นครั้งแรกต่อสาธารณะ) ดูจะเหลือน้อยลงทุกที
แต่นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของบริษัทยูนิคอร์นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนใจ มันคือสัญญาณเตือนที่นักลงทุนทุกคนควรจับตา เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นกับ OpenAI กำลังเป็นสัญญาณบ่งบอกว่า “ความฝันกำลังแพงขึ้นเรื่อยๆ”
ปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา Reuters ออกข่าวว่า OpenAI กำลังเตรียมพร้อมสำหรับการ IPO ในครึ่งหลังของปี 2026 โดยประเมินมูลค่าบริษัทไว้ที่ 1 ล้านล้านดอลลาร์ (1 trillion dollars) ซึ่งถ้าเป็นจริง นี่จะเป็นการ IPO ที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว และทำให้ ​แซม อัลต์แมน (Sam Altman) CEO ของบริษัทที่เป็นเศรษฐีระดับ Billionaire อยู่แล้ว มั่งคั่งขึ้นไปอีก
แต่ OpenAI กลับออกมาปฏิเสธเรื่องนี้ว่า "การ IPO ไม่ใช่สิ่งที่เราโฟกัสอยู่ตอนนี้" และพฤติกรรมของ Sam Altman CEO ของบริษัท ยิ่งทำให้เห็นชัดว่าเขาไม่ได้อยากให้เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงๆ
💰 [ ทำไม Sam Altman ถึงไม่อยาก IPO? ]
คำตอบที่เรียบง่ายมักอธิบายเรื่องที่ดูซับซ้อนได้มากที่สุด นั่นก็คือการเป็นบริษัทมหาชนมันยุ่งยาก และถูกจับตามองแบบจริงจัง
เมื่อคุณเป็นบริษัทเอกชน คุณสามารถหาเงินจากนักลงทุนรายใหญ่โดยไม่ต้องเปิดเผยรายละเอียดทางการเงินทุกไตรมาส ไม่ต้องตอบคำถามจากนักวิเคราะห์และสื่อมวลชนที่จะจับผิดทุกอย่างที่คุณทำ และที่สำคัญความยืดหยุ่นในการตัดสินใจและข้อจำกัดด้านกฎระเบียบที่น้อยกว่า โดยไม่ถูกกดดันจากเป้าหมายผลประกอบการระยะสั้นจากนักลงทุน และสามารถมุ่งเน้นไปที่การเติบโตระยะยาวได้มากกว่า
2
และที่ผ่านมา OpenAI ยังไม่สามารถทำกำไรเลยแม้แต่ปีเดียว (แน่นอนว่าอนาคตยังเป็นไปได้) แต่ที่น่าสนใจกว่านั้น OpenAI ได้ทำดีลมหาศาลกับบริษัทเทคโยักษ์อย่าง Amazon, Microsoft, Nvidia และ Oracle รวมมูลค่ามากกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงหลายปีข้างหน้า
1
นี่หมายความว่ายังไง? หมายความว่า OpenAI ต้องขยายธุรกิจให้ยักษ์ขึ้นอย่างมหาศาลเพื่อตอบสนองข้อตกลงเหล่านี้ หลายอย่างต้องไม่ติดขัด “เข้าที่เป๊ะ” มากๆ ถึงจะทำให้เรื่องนั้นเกิดขึ้นได้ เพราะ ตามการคำนวณของ Tomasz Tunguz จาก Theory Ventures บริษัท OpenAI จะต้องเพิ่มรายได้ให้ถึง 577,000 ล้านดอลลาร์ภายในปี 2029 จากรายได้ปัจจุบันตอนนี้ (2024) อยู่ที่ 20,000 ล้านดอลลาร์ ซึ่งหมายถึงการเติบโต 2,785% ภายในเวลาเพียง 4 ปี
ให้นึกภาพว่า ถ้าวันนี้คุณมีเงินอยู่ 100 บาท ในอีก 4 ปีคุณต้องมีเงิน 2,785 บาท แค่นี้ก็ไม่ง่ายนะ แต่ถ้าเป็นเงินหลายหมื่นล้านดอลลาร์ล่ะ? เป็นไปได้จริงๆ เหรอ?
สิ่งที่น่าสนใจอีกเรื่องคือ เมื่อมีคนถามอัลต์แมน เรื่องแผนการเติบโตของ OpenAI ในพอดแคสต์ BG2 เขากลับตอบอย่างหงุดหงิด
"ถ้าคุณอยากขายหุ้น ผมจะหาผู้ซื้อให้คุณเอง... พอแล้ว มีคนเยอะแยะที่อยากซื้อหุ้น OpenAI" อัลต์แมนตอบกลับผู้สัมภาษณ์ที่ถามเรื่องนี้
แน่นอนว่าเขาอาจจะไม่พอใจอะไรบางอย่าง แต่ถ้าเขาอยากจะเอาบริษัทเข้าตลาดหุ้นอาจจะไม่ทำแบบนี้ เพราะถ้าเป็นบริษัทมหาชน คุณต้องตอบคำถามแบบนี้ทุกไตรมาส จากนักวิเคราะห์ที่จะไม่ใจดีแบบเพื่อนในวงการอย่างแน่นอน
ที่สำคัญกว่านั้น นี่คือโอกาสทองที่จะอธิบายวิสัยทัศน์ของบริษัทให้นักลงทุนเข้าใจ แต่อัลต์แมนกลับเลือกที่จะป้องกันตัวแทน
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้ส่งผลกระทบแค่ OpenAI เท่านั้น บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ ทั้งหมดที่ผูกพันกับ OpenAI ก็กำลังเผชิญความไม่แน่นอนเช่นกัน
⚠️ ไมค์ โอ'โรค์ (Mike O'Rourke) นักกลยุทธ์จาก JonesTrading ออกมาเตือนว่า "บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ เกือบทุกแห่งในตลาดหุ้นสหรัฐฯ กำลังพัวพันกับบริษัทที่ไม่มีทรัพยากรเพียงพอที่จะปฏิบัติตามภาระผูกพันของตัวเอง สิ่งนี้ทำให้การคาดการณ์ทางการเงินของพวกเขามีความไม่แน่นอนมากขึ้น"
และยิ่งไปกว่านั้น OpenAI ยังขอความช่วยเหลือจากรัฐบาล ไม่ว่าจะเป็นการขอให้รัฐบาลค้ำประกันเงินทุน (ซึ่งหมายความว่าถ้า OpenAI ล้ม เงินภาษีของประชาชนอาจต้องไปช่วยเหลือ) หรือการขอสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อลดต้นทุนในการสร้างศูนย์ข้อมูล
จนเป็นคำถามว่าบริษัทที่มูลค่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ แต่กลับต้องขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลอาจจะเป็นสัญญาณเตือนบางอย่าง
🎯 ทำไมนักลงทุนต้องสนใจเรื่องนี้?
- ถ้า OpenAI ซึ่งเป็นผู้นำในวงการยังเติบโตได้ไม่ถึงเป้า บริษัทอื่นๆ ที่เล็กกว่าจะเป็นยังไง?
- บริษัทเทคฯ ยักษ์ใหญ่มีความเสี่ยง Microsoft, Amazon, Nvidia ที่ลงทุนหนักใน AI อาจได้ผลตอบแทนที่ไม่คุ้มค่าถ้า OpenAI ไม่สามารถส่งมอบสิ่งที่สัญญาไว้
- นักลงทุนที่เข้าใจสถานการณ์อาจเริ่มลดน้ำหนักหุ้นในกลุ่มที่พึ่งพา AI มากเกินไป
- ในขณะที่ทุกคนจับจ้องแต่ AI อาจมีโอกาสในธุรกิจอื่นที่ถูกมองข้ามไป
- ตลาดกำลังเริ่มเปลี่ยนจากการให้ความสำคัญกับศักยภาพ มาเป็นผลกำไรที่จับต้องได้
1
OpenAI ที่ไม่อยาก IPO ไม่ใช่แค่เรื่องของการเลือกกลยุทธ์ทางธุรกิจ แต่มันสะท้อนถึงความท้าทายขนาดใหญ่ที่อุตสาหกรรม AI กำลังเผชิญ
สำหรับนักลงทุนนี่คือเวลาที่ต้องถามคำถามที่ยากๆ กับทุกบริษัทที่บอกว่าตัวเองเป็น "AI Company" ว่าพวกเขาจะทำกำไรได้จริงหรือเปล่า และเมื่อไหร่? เพราะในตลาดการเงิน ไม่มีอะไรที่ฟรีหรอกครับ แม้แต่ความฝันเรื่อง AI ที่จะเปลี่ยนโลก
⚠️ ปล. ไม่ใช่คำแนะนำการลงทุน
#aomMONEY #MakeRIchGeneration #การลงทุน
โฆษณา