5 ชั่วโมงที่แล้ว • ข่าวรอบโลก

บทเรียน Sadbor86

ช่างเย็บผ้ายากจนสู่ TikToker ดังของอินโดฯ ผู้ปลุกความหวังชาวบ้านด้วยการลุกขึ้นมาเต้น ก่อนโดนคดีพัวพันโฆษณาพนันออนไลน์ สะท้อนภาพอินฟลูฯ "ดังเร็ว-ดับไว" ถ้ารู้ไม่เท่าทัน
จากช่างเย็บผ้าตังค์ไม่พอกินข้าว…สู่ “หัวหน้าแก๊งเต้นทั้งหมู่บ้าน” บน TikTok ดราม่าชีวิตจริงของ Sadbor86 ที่ยกทั้งชุมชนขึ้นแพลตฟอร์ม
จากช่างเย็บผ้าตังค์ไม่พอกินข้าว…สู่ “หัวหน้าแก๊งเต้นทั้งหมู่บ้าน” บน TikTok ดราม่าชีวิตจริงของ Sadbor86 ที่ยกทั้งชุมชนขึ้นแพลตฟอร์ม
เย็นวันหนึ่งในหมู่บ้านเล็ก ๆ ชื่อบาบากัน บารู (Babakan Baru) ตำบลโบจงเกอมบาร์ อำเภอซิเกมบาร์ เมืองซูกาบูมิ ชวาตะวันตก อินโดนีเซีย กล้องโทรศัพท์เครื่องเดียวตั้งอยู่กลางลานบ้าน ด้านหลังเป็นผนังไม้เก่า ๆ ต้นกล้วย มอเตอร์ไซค์จอดเอียง ๆ
หน้าเลนส์ กลุ่มชาวบ้านทั้งเด็ก วัยรุ่น คนทำไร่ ไปจนถึงลุงวัยเกือบ 70 ปี ยืนเรียงแถวยาว พอเสียงเพลงจังหวะ “เจดักเจดัก” ดังขึ้น ทุกคนก็เริ่ม “โยกตัว–ทำหน้าตาระทด ๆ” แบบตลกจนคนดูอมยิ้ม
ทุกการขยับตัวของพวกเขา มีราคาจริง ๆ อยู่เบื้องหลัง
และหัวใจของโชว์นี้ คือชายคนหนึ่งชื่อ **กุนาวัน** หรือที่ทั้งอินโดนีเซียรู้จักในชื่อบน TikTok ว่า **Sadbor86**
อาชีพที่เริ่มต้นจาก “ข้าวหมดบ้าน”
ก่อนจะมีคำว่า “หมู่บ้าน TikTok” หรือ “หมู่บ้านโจเก็ต Sadbor” กุนาวันเป็นเพียง “แรงงานตัวเล็ก ๆ” ในเมืองใหญ่ เขาเคยเป็นทั้งคนขับรถส่วนตัวที่แทงเกอรัง และช่างเย็บเสื้อผ้าเร่ในจาการ์ตาตะวันออก รายได้ไม่มากพอจะทำให้ครอบครัวลืมตาอ้าปากได้สบาย ๆ
ช่วงโควิด-19 ระบาด เขาลองหยิบโทรศัพท์ขึ้นมา “ไลฟ์เล่น ๆ” ใน TikTok ระหว่างรับจ้างเย็บผ้า มีคนส่งดอกไม้ เสียงเหรียญดังติ๊ง ๆ บนหน้าจอ เขาเริ่มรู้ว่า **เวลา + ความฮา + ความกล้าออกกล้อง = เงินสดได้จริง**
แต่เส้นทางไม่ได้สวยหรูแบบในฝัน เขาเล่าว่าเคยโดนแบนบัญชีหลายครั้ง ต้องสร้างใหม่เรื่อย ๆ ไลฟ์ก็โดนด่า โดนบูลลี่ บอกว่า “เต้นบ้าอะไร” “ขายหน้า” ทว่าขณะเดียวกัน คนใกล้ตัวในหมู่บ้านกลับมองต่างออกไป – พวกเขาเห็นว่า นี่อาจเป็น “โอกาส” มากกว่าความบ้า
ประโยคที่ถูกแชร์ในอินโดจนกลายเป็นมีมประมาณว่า
> “ข้าวสารหมดเหรอ? งั้นก็ขึ้นไลฟ์สิ”
มันไม่ใช่มุกอย่างเดียว แต่มันคือความจริงของบ้านหลังหนึ่งในหมู่บ้านนี้
จากครีเอเตอร์เดี่ยว…สู่ “หัวหน้าโปรดักชันหมู่บ้าน”
ความต่างของกุนาวัน กับครีเอเตอร์อีกนับล้านคนบน TikTok คือ เขาไม่ได้หยุดแค่ “ดังคนเดียว”
เมื่อยอดผู้ชม และของขวัญ (gift) ในไลฟ์เริ่มพุ่ง เขาไม่เก็บทุกอย่างไว้คนเดียว แต่เริ่มชวนคนในหมู่บ้านมาร่วมเต้นด้วย พ่อค้า–แม่ค้า, ชาวไร่, คนงานก่อสร้าง, คนสานขนมท้องถิ่นอย่างคิชมปริง – ทุกคนทยอยกลายเป็น “นักเต้นข้างกล้อง” ในรายการของเขา ไม่นาน จาก “ครีเอเตอร์หนึ่งคน” จึงกลายเป็น
> **หมู่บ้านคนทำไร่–คนหาเช้ากินค่ำ ที่ผันตัวมาเป็น TikTok Live Streamer ราว 300 คน**
ข้อมูลจากงานวิจัยของมหาวิทยาลัย IPB ในอินโดนีเซียบอกว่า ชาวบ้านส่วนใหญ่ยังทำไร่เหมือนเดิม แต่หลังลงนา พวกเขาก็มาเข้า “กะเต้น” กับทีมของกุนาวัน รายได้จากการไลฟ์อยู่ราวเดือนละ 2.5–3 ล้านรูเปียห์ สูงกว่ารายได้ทำไร่ปกติที่เฉลี่ยราว 1.5 ล้านรูเปียห์ต่อเดือนอย่างชัดเจน
ในหมู่บ้านมีหลายแอคเคานต์ หลายกลุ่มย่อย ไลฟ์พร้อมกันตามมุมต่าง ๆ ของหมู่บ้าน – ใครเดินผ่านก็จะเห็น ขาตั้งกล้อง ไฟริงไลท์ และกลุ่มชาวบ้านเต้นท่าคล้ายกันพร้อมเสียงเพลงเดียวกันวนไป
นี่คือภาพที่ทำให้สื่ออินโดเรียกที่นี่ว่า **“หมู่บ้านโจเก็ต Sadbor”** หรือ “หมู่บ้าน TikTok” ไปเรียบร้อยแล้ว
การเต้นไม่ได้มีแค่ความสนุก แต่มันคือเงินเดือนทั้งหมู่บ้าน
รูปแบบก็เหมือนโชว์ง่าย ๆ
- เพลงรีมิกซ์จังหวะหนัก ๆ ดังขึ้น
- ชาวบ้าน 7–10 คน ยืนเรียงแถว เต้นท่าประจำที่คล้าย “ไก่จิก” ผสมท่าโยกกวน ๆ
- ใครส่ง gift เข้ามา ชื่อของคนส่งจะถูกตะโกนบนไลฟ์ พร้อมท่าเต้นพิเศษให้
**ทุกเหรียญคือเงินสด** – รายงานจากสื่อท้องถิ่นระบุว่า กุนาวันเคยทำรายได้จากไลฟ์ได้วันละ 400,000–700,000 รูเปียห์ (ประมาณเกือบพัน–ราวพันกว่าบาทต่อวัน) ในช่วงที่พีกที่สุด ส่วนหนึ่งของเงินนี้ถูกแบ่งให้คนเต้นในทีมอย่างเป็นระบบ มีการเล่าว่าเขาเก็บไว้ราว 20% ส่วนอีก 80% แบ่งให้สมาชิกที่ร่วมขึ้นไลฟ์ – สำหรับหลายคน นี่คือเงินที่ช่วย
- ซ่อมบ้านที่ผุพังทีละส่วน
- ซื้อข้าวของใช้จำเป็น
- ซื้อรถมอเตอร์ไซค์คันแรกในชีวิตจาก “เงินเต้น TikTok”
ภรรยาของกุนาวันเล่าว่า เงินจาก TikTok ช่วยให้เขาค่อย ๆ ต่อเติมบ้านทีละนิด และยังลงเงินไปช่วยสร้างทางเดินคอนกรีตในหมู่บ้าน ใช้งบกว่า 14 ล้านรูเปียห์ – สิ่งที่มนุษย์เงินเดือนในกรุงหลายคนอาจยังทำไม่ได้ แต่ชาวบ้านที่ “เต้นหน้ากล้องมือถือ” ทำได้
เด็ก–คนแก่เต้นได้หมด: ดราม่าความหวังและศักดิ์ศรี
ภาพที่คนเห็นแล้วสะดุด คือ
> ทำไมทั้งเด็กเล็ก ทั้งลุงป้า ทั้งคนแก่ ถึงมาเต้นกลางแดดแบบไม่อายใคร?
เบื้องหลังมันไม่ได้โรแมนติกอย่างเดียว แต่มันคือเรื่องของ “ศักดิ์ศรีบนท้องว่าง”
งานวิจัยของนักศึกษามหาวิทยาลัย IPB วิเคราะห์ว่า ชุมชนชนบทในพื้นที่นี้รายได้ต่ำและไม่มั่นคง การที่ “อาชีพสตรีมเมอร์” เข้ามาเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง ทำให้พวกเขามีช่องทางเติมรายได้โดยไม่ต้องทิ้งอาชีพเกษตรกรเดิมไปทั้งหมด แต่แน่นอน มันมาพร้อมคำถามเรื่องภาพลักษณ์และคุณค่าทางสังคมด้วย
มีลุงชาวสวนบางคนในข่าวอินโดเล่าว่า
- ตอนเช้ายังไปไร่ตามปกติ
- ตอนบ่าย–เย็นกลับมาเข้ากะเต้น TikTok ได้เพิ่มวันละ 50–200,000 รูเปียห์
สำหรับคนเมืองใหญ่ตัวเลขนี้อาจดูไม่มาก แต่สำหรับหมู่บ้านเล็ก ๆ มันคือเงินที่แปลเป็นข้าวสารและค่าเล่าเรียนลูกได้จริง ๆ
ในสายตาคนดูออนไลน์ มันคือ “ความฮา”
ในสายตาคนเต้น มันคือ “โอกาส”
ในสายตาคนในหมู่บ้าน มันคือ “การไม่ยอมแพ้เรื่องปากท้อง”
วันที่หมู่บ้าน TikTok ถูกลากเข้าดราม่าใหญ่
แต่ทุกความปังบนโลกออนไลน์ มีด้านมืดซ่อนอยู่เสมอ
เมื่อชื่อของ “Sadbor86” กระจายไปทั่วประเทศ เพจข่าว–ทีวี–โซเชียลทุกเจ้าแห่กันมาทำสกู๊ป “หมู่บ้าน TikTok ที่เต้นทั้งหมู่บ้านแล้วได้เงินเป็นล้าน”
ไม่นานนัก กุนาวันก็ถูกตำรวจเรียกตัวไปสอบสวน เรื่อง **พัวพันการโปรโมตเว็บพนันออนไลน์** ผ่านสปอนเซอร์ที่มาปรากฏในไลฟ์ของเขา – เคสนี้ร้อนแรงจนสื่อแข่งกันเสนอข่าวว่าครีเอเตอร์ที่เคยเป็น “แรงบันดาลใจด้านเศรษฐกิจ” กำลังกลายเป็น “เครื่องมือของการพนันออนไลน์” ไปเสียแล้ว
เขายืนยันว่าตัวเองไม่ได้ตั้งใจให้หมู่บ้านเป็นพื้นที่โปรโมตอะไรผิดกฎหมาย แต่การที่คนภายนอกเข้ามา “เปย์หนักผิดปกติ” แล้วโยงกับเว็บพนัน ทำให้รัฐมองว่าไลฟ์เหล่านี้อาจกลายเป็นช่องทางดึงคนมาสู่ระบบการพนันออนไลน์แบบเนียน ๆ
ภาพที่เคยเป็น “หมู่บ้านเต้นอย่างมีความสุข” จึงถูกซ้อนทับด้วยภาพใหม่ – หมู่บ้านที่เด็กและผู้ใหญ่ทุกวัย กลายเป็น actor ในระบบเศรษฐกิจออนไลน์ที่ซับซ้อนกว่าที่พวกเขาเข้าใจ หลังจากนั้น เขาได้ประกันตัวออกมาจากคดี แต่ชื่อของหมู่บ้านนี้ก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป
ครีเอเตอร์ที่ยกทั้งชุมชนเข้าแพลตฟอร์ม: แรงบันดาลใจหรือคำเตือน?
หากมองแบบ “ครีเอเตอร์สายธุรกิจ” สิ่งที่กุนาวันทำคือ masterclass ระดับชุมชน
1. เขาสร้าง **IP ท่าเต้น** และซาวด์เฉพาะตัว (คนจำได้ว่าคือ “โจเก็ต Sadbor”)
2. เขาเปลี่ยน “แฟนคลับ” ให้กลายเป็น “ลูกทีม” ในหมู่บ้าน
3. เขาไม่ดังคนเดียว แต่ **ปั้นทั้งหมู่บ้านให้ขึ้นมาเป็นครีเอเตอร์** – จนมีงานวิจัยระดับมหาวิทยาลัยตามไปเก็บข้อมูล
4. เขาใช้รายได้จากแพลตฟอร์ม ดึงไปสร้างของจริงที่สัมผัสได้ เช่น ซ่อมบ้าน ทำทางเดินหมู่บ้าน
มองอีกมุมหนึ่ง เขาคือ “คำเตือน” ชัด ๆ ว่า
- ถ้าชุมชนพึ่งรายได้จากแพลตฟอร์มเดียวมากเกินไป
- ถ้าไม่เข้าใจเรื่องกฎหมาย–ภาษี–โฆษณาผิดกฎหมาย
- ถ้าไม่รู้ว่าคนที่เข้ามาโปรโมตจริง ๆ แล้วเป็นใคร
วันหนึ่งหมู่บ้านทั้งหมู่บ้านอาจต้องรับผลกระทบจากการตัดสินใจของคนไม่กี่คน
บทเรียนสำหรับคนไทย: ระหว่างความฝันกับความเสี่ยง
เคส Sadbor86 ทำให้เราเห็นภาพชัดมากว่า
- **แพลตฟอร์มดิจิทัล** สามารถเปลี่ยนอาชีพเกษตรกรให้กลายเป็นครีเอเตอร์ได้จริง
- **ชุมชนทั้งชุมชน** สามารถถูกยกขึ้นมาอยู่บนแพลตฟอร์ม ไม่ใช่แค่ “อินฟลูเอนเซอร์เดี่ยว ๆ”
- แต่ **เส้นแบ่งระหว่างโอกาสกับการถูกใช้เป็นเครื่องมือ** บางมาก
สำหรับคนไทย ไม่ว่าจะเป็น
- เด็กที่ฝันอยากเป็น YouTuber / TikToker
- ชาวบ้าน–เกษตรกรที่อยากมีรายได้เสริม
- หรือ SME ที่อยากใช้ creator มาช่วยขายของ
เคสของหมู่บ้าน Sadbor บอกเราว่า
1. **การเต้นหน้ากล้องไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ อีกต่อไป** – มันคืออาชีพ มันคือเศรษฐกิจ มันคือการเมืองของแพลตฟอร์ม
2. **การยกทั้งชุมชนเข้าแพลตฟอร์ม** เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่ – แต่ทุกคนต้องเข้าใจเกมนี้ไปพร้อมกัน ไม่ใช่แค่ตามกระแส
3. **ทุก gift มีเงื่อนไข** – ตั้งแต่การแบ่งเงิน การจัดการภาษี ไปจนถึงการไม่ปล่อยให้เว็บผิดกฎหมายเข้ามาคุมเกมเบื้องหลัง
บางที เรื่องราวของกุนาวัน กับหมู่บ้านเล็ก ๆ ในซูกาบูมิ อาจเป็นทั้ง
- นิทานว่าด้วย “ความหวังในยุคดิจิทัล”
และพร้อมกันนั้น
- ก็เป็น “สัญญาณไฟสีเหลือง” เตือนว่าครีเอเตอร์–คอมมูนิตี้ไทย ต้องใช้แพลตฟอร์มอย่างมีสติและรู้เท่าทันมากกว่าเดิม
เพราะถ้าวันหนึ่งแพลตฟอร์มดับไฟ หรือกฎหมายส่องไฟมาที่เรา
สิ่งเดียวที่จะเหลืออยู่จริง ๆ ไม่ใช่ยอดวิว
แต่คือ – ชุมชนของเราจะยังยืนได้อยู่แค่ไหน หลังเสียงเพลงหยุดลงแล้ว 🟡
โฆษณา