Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
THE STATES TIMES
•
ติดตาม
4 ชั่วโมงที่แล้ว • ข่าวรอบโลก
จากคุกสู่ทำเนียบ!!
ทำไมนักการเมืองบางคน ติดคุกคดีทุจริต หรือใช้อำนาจมิชอบ แต่ออกมาแล้วยิ่งใหญ่กว่าเดิม ได้รับความชอบธรรมจากประชาชน
(18 พ.ย. 68) เวลาพูดถึง “นักการเมืองติดคุก” ภาพในหัวมักคือคดีโกง คดีทุจริต หรือใช้อำนาจมิชอบ แต่ในหลายประเทศทั่วโลก เรากลับเห็นอีกแบบหนึ่ง คือ “คนเคยติดคุก” กลายเป็นผู้นำประเทศที่ทรงอิทธิพล และได้รับความชอบธรรมจากประชาชนอย่างล้นหลาม
คำถามคือ ทำไม “ตราคุก” ที่ควรเป็นตราบาป ถึงกลับกลายเป็น “เหรียญเกียรติยศทางการเมือง” ได้? บทความนี้ชวนดู 7 เคสต่างประเทศ แล้วสรุปให้เห็น pattern ร่วม ว่าอะไรทำให้นักการเมืองบางคน “ถูกขังในคุก แต่หัวใจอยู่ในทำเนียบ”
1. ลูลา ดา ซิลวา – บราซิล
จากจำเลยคดีคอร์รัปชัน สู่ประธานาธิบดี 3 สมัย
ลูลา อดีตผู้นำสหภาพแรงงานและประธานาธิบดีฝ่ายซ้ายของบราซิล ถูกตัดสินจำคุกจากคดีคอร์รัปชันและฟอกเงินในปฏิบัติการ “Car Wash” และถูกจำคุกไปราว 580 วัน ก่อนที่ศาลสูงบราซิลจะกลับคำพิพากษา โดยชี้ว่าผู้พิพากษาคดีนี้มีอคติและไม่มีอำนาจพิจารณาคดี ทำให้คำตัดสินเดิมเป็นโมฆะ ลูลาได้สิทธิ์ทางการเมืองคืน และกลับมาลงเลือกตั้งอีกครั้ง
ปี 2022 ลูลาชนะการเลือกตั้ง กลายเป็นประธานาธิบดีบราซิลสมัยที่ 3 และถูกมองว่าเป็น “การคืนชีพทางการเมือง” ของคนที่เคยถูกพยายามฝังทั้งเป็นด้วยคดีคอร์รัปชัน
ทำไมเคสนี้คัมแบ็กได้?
- คนจำนวนมากเชื่อว่าคดีเป็น “การกลั่นแกล้งทางการเมือง”
- ช่วงที่ลูลาเคยบริหารเศรษฐกิจ บราซิลเติบโต คนจนจำนวนมากได้ไต่ขึ้นเป็นชนชั้นกลาง จึงเกิด “ความคิดถึงยุคลูลา”
- ฝ่ายตรงข้าม (โบลโซนาโร) บริหารประเทศแบบสร้างความแตกแยก ทำให้คนอยากกลับไปเลือกตัวเลือกที่เคยทำให้ชีวิตดีขึ้น
2. อันวาร์ อิบราฮิม – มาเลเซีย
สิบปีในคุก กลายเป็นทุนทางศีลธรรม
อันวาร์ อิบราฮิม จากอดีตรองนายกฯ และทายาททางการเมืองของมหาเธร์ กลายเป็นผู้นำฝ่ายค้านและสัญลักษณ์ของขบวนการปฏิรูป (Reformasi) เขาถูกปลดจากตำแหน่ง แล้วถูกตั้งข้อหาคอร์รัปชันและคดีทางเพศหลายรอบ ซึ่งเขายืนยันมาตลอดว่าเป็นคดีการเมืองเพื่อทำลายชื่อเสียง นักวิเคราะห์จำนวนมากก็เห็นตรงกันว่าคดีเหล่านี้มีมิติทางการเมืองสูง ไม่ใช่ความยุติธรรมปกติ
อันวาร์เข้าออกคุกหลายครั้ง รวมๆ แล้วราว 10 ปี ก่อนที่คำพิพากษาบางส่วนจะถูกกลับ และในที่สุดเขากลายเป็นนายกรัฐมนตรีมาเลเซียในปี 2022 หลังจากต่อสู้อย่างยาวนานเกือบ 25 ปีในฐานะฝ่ายค้านหลักของประเทศ
อะไรที่ทำให้เขากลับมาดังยิ่งกว่าเดิม?
- ภาพจำของคนจำนวนมากคือ “เหยื่อของระบอบเก่า”
- ขบวนการ Reformasi สร้างฐานมวลชนที่เชื่อใน “การปฏิรูปและต้านคอร์รัปชัน” มากกว่าจะยึดติดตัวบุคคลเดียว
- การยืนหยัดนานนับสิบปี ไม่เปลี่ยนอุดมการณ์ ทำให้เขามีความน่าเชื่อถือเชิงศีลธรรมสูง
3. เนลสัน แมนเดลา – แอฟริกาใต้
27 ปีในคุก กลายเป็นตำนานเสรีภาพ
แมนเดลาถูกจับในข้อหากบฏและก่อการร้ายจากการต่อสู้กับระบบเหยียดผิว Apartheid และถูกคุมขังนานถึง 27 ปี ระหว่างอยู่ในคุก เขากลายเป็นสัญลักษณ์ระดับโลกของการต่อสู้เพื่อสิทธิมนุษยชน หลังการเจรจาทางการเมือง เขาได้รับอิสรภาพ และในปี 1994 กลายเป็นประธานาธิบดีผิวดำคนแรกของแอฟริกาใต้ภายหลังการเลือกตั้งเสรีครั้งแรกของประเทศ
ในกรณีนี้ “คุก” ไม่ได้ถูกมองว่าเป็นผลของความผิดส่วนตัว แต่เป็นหลักฐานของการเสียสละเพื่อประชาชนทั้งประเทศ
4. โฮเซ่ “เปเป้” มูฮิกา – อุรุกวัย
จากกองโจรหัวรุนแรง สู่ประธานาธิบดีสุดสมถะ
มูฮิกาเคยเป็นสมาชิกกลุ่มกองโจรซ้ายจัด “ทูปามาโรส” (Tupamaros) ในยุคเผด็จการทหารอุรุกวัย เขาถูกยิงบาดเจ็บ ถูกจับ และถูกคุมขังรวมเกือบ 14 ปี ถูกขังเดี่ยว ถูกทรมานในหลายช่วงเวลา
หลังประเทศกลับสู่ประชาธิปไตย เขาได้รับนิรโทษกรรม เข้าสู่การเมืองกระแสหลัก ผ่านตำแหน่ง ส.ส. รัฐมนตรี และในที่สุดเป็นประธานาธิบดีปี 2010–2015 โดยโด่งดังทั่วโลกในฐานะ “ประธานาธิบดีที่จนที่สุด” เพราะใช้ชีวิตสมถะ ขับรถโฟล์คเต่า อยู่บ้านไร่ เลี้ยงดอกไม้ และบริจาคเงินเดือนส่วนใหญ่
จุดพลิกคือนิยามใหม่ของตัวเอง จากอดีตกองโจรหัวรุนแรง → นักการเมืองสายสมถะที่ใช้ประสบการณ์ในคุกมาเตือนสังคมว่า “การใช้อำนาจรัฐรุนแรงไม่ใช่คำตอบ”
5. บาสซีรู ดิโอมาย ฟาย – เซเนกัล
นักโทษการเมืองที่กลายเป็นประธานาธิบดีในเวลาไม่กี่สัปดาห์
ฟายเป็นอดีตข้าราชการภาษีและคนรุ่นใหม่ในพรรคฝ่ายค้าน PASTEF เขาถูกจับปี 2023 จากข้อหา “ดูหมิ่นศาล ปลุกปั่นให้ก่อความไม่สงบ” ท่ามกลางบรรยากาศที่รัฐบาลเก่าถูกกล่าวหาว่าใช้กฎหมายจัดการคู่แข่งทางการเมืองและพยายามยืดอำนาจของประธานาธิบดีเดิม
ต้นปี 2024 สภาออกกฎนิรโทษกรรมให้นักโทษการเมืองหลายคน รวมถึงฟาย เขาถูกปล่อยตัวเพียงไม่กี่วันก่อนการเลือกตั้ง และลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแทนผู้นำพรรคที่ถูกตัดสิทธิ์ สุดท้ายเขาชนะเลือกตั้งด้วยคะแนนกว่า 54% ขึ้นเป็นประธานาธิบดีที่อายุน้อยที่สุดของเซเนกัล และเป็นสัญลักษณ์ของความเปลี่ยนแปลงในยุคที่แอฟริกาตะวันตกเต็มไปด้วยรัฐประหาร
ภาพ “คนที่เพิ่งเดินออกจากเรือนจำแล้วขึ้นเวทีหาเสียง” กลายเป็นสัญลักษณ์แรงมากของการท้าทายระบอบเดิม
6. วาทสลาฟ ฮาเวล – เช็กโกสโลวาเกีย / สาธารณรัฐเช็ก
นักเขียน–นักโทษการเมือง ผู้กลายเป็นประธานาธิบดีหลังล้มคอมมิวนิสต์
ฮาเวลเริ่มต้นจากการเป็นนักเขียนและนักละครที่วิจารณ์ระบบคอมมิวนิสต์ในเช็กโกสโลวาเกีย เขามีบทบาทนำในการรณรงค์ด้านสิทธิมนุษยชน เช่น “ชาร์เตอร์ 77” (Charter 77) ต่อต้านการละเมิดสิทธิของรัฐ ทำให้ถูกจับตาโดยตำรวจลับและถูกจำคุกหลายครั้ง ช่วงที่ถูกขังยาวที่สุดคือเกือบ 4 ปี ระหว่างปี 1979–1983 ในฐานะนักโทษการเมือง
เมื่อกระแสปฏิรูปและการล้มคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออกมาถึงปี 1989 ฮาเวลกลายเป็นผู้นำสำคัญของ “การปฏิวัติแบบกำมะหยี่” (Velvet Revolution) และหลังระบอบคอมมิวนิสต์ล้ม เขาได้เป็นประธานาธิบดีคนสุดท้ายของเช็กโกสโลวาเกีย (1989–1992) และประธานาธิบดีคนแรกของสาธารณรัฐเช็ก (1993–2003)
ในสายตาคนเช็กจำนวนมาก คุกคือ “เครื่องยืนยัน” ว่าเขายืนอยู่ข้างประชาชน ไม่ใช่ข้างรัฐเผด็จการ
7. เชค มูจิบูร์ เราะห์มาน – บังกลาเทศ
ผู้นำที่อยู่ในคุกขณะชาติประกาศเอกราช
เชค มูจิบูร์ เราะห์มาน หรือ “บงกบันธุ” (บิดาแห่งชาติ) ของบังกลาเทศ ถูกจับกุมและคุมขังหลายครั้งทั้งในยุคอินเดียอังกฤษและในยุคปากีสถาน เขารวมแล้วใช้ชีวิตในคุกถึงราว 13 ปีจากการต่อสู้เพื่อสิทธิของชาวเบงกาลี และเรียกร้องความเป็นธรรมให้ฝั่งตะวันออกของปากีสถาน (East Pakistan)
ปี 1970 พรรคของเขาชนะเลือกตั้งทั่วปากีสถาน แต่กองทัพและผู้นำการเมืองฝั่งตะวันตกไม่ยอมส่งมอบอำนาจ มูจิบจึงประกาศแนวทางอิสระภาพให้เบงกอลตะวันออก ในคืนวันที่ 25–26 มีนาคม 1971 เขาถูกกองทัพปากีสถานจับตัวในข้อหากบฏ และถูกพาไปคุมขังในปากีสถานตะวันตก ขณะเดียวกัน การประกาศเอกราชของบังกลาเทศถูกส่งออกมาจากฝั่งของเขาและผู้ร่วมอุดมการณ์ จุดชนวนสงครามประกาศเอกราชของบังกลาเทศ
แม้เขาจะอยู่ในคุก แต่รัฐบาลเฉพาะกาลของบังกลาเทศก็ประกาศให้เขาเป็น “ประธานาธิบดี” ในทางสัญลักษณ์ หลังสงครามจบลงและบังกลาเทศได้รับเอกราช เขาถูกปล่อยตัวและกลับมาเป็นผู้นำประเทศในฐานะประธานาธิบดีและต่อมาเป็นนายกรัฐมนตรี
กรณีนี้ “คุก” แทบจะเท่ากับ “คาแร็กเตอร์ของวีรบุรุษปลดปล่อยชาติ” อย่างเต็มรูปแบบ
สรุปภาพรวม: คุกจาก “ตราบาป” กลายเป็น “ทุนทางการเมือง” ได้อย่างไร
จากทั้ง 7 เคส จะเห็น pattern ร่วมชัดๆ หลายข้อ:
1. ประชาชนมองว่าคดีเป็น “การเมือง” ไม่ใช่ “ความยุติธรรมปกติ”
เมื่อคนเชื่อว่าผู้นำเหล่านี้ถูกจับเพื่อกำจัดทางการเมือง ไม่ใช่เพราะคดีอาชญากรรมธรรมดา ภาพของเขาจะเปลี่ยนจาก “ผู้ร้าย” เป็น “เหยื่อของระบอบ” ทันที
2. พวกเขามีผลงาน / อุดมการณ์ชัดเจน ก่อนจะติดคุก
คนไม่ได้เลือกเพราะสงสารอย่างเดียว แต่จำได้ว่าตอนเขามีอำนาจ (หรือตอนเขาต่อสู้) เขาพยายามทำอะไรให้สังคมบ้าง
3. ระหว่างอยู่ในคุก “ขบวนการทางการเมือง” ยังเดินต่อ
คนเหล่านี้ไม่ใช่นักการเมืองโดดเดี่ยว แต่มีพรรค มีมวลชน มีขบวนการ ที่คอยเล่าเรื่องแทนเขาระหว่างที่เจ้าตัวอยู่ในคุก
4. สังคมเบื่อหน่ายชนชั้นนำเดิม พร้อมโหวต “เหยื่อของระบบ”
เมื่อรัฐบาลเดิมสะสมปัญหา – คอร์รัปชัน เศรษฐกิจไม่ดี ใช้อำนาจเกินขอบเขต – คนจะเริ่มรู้สึกว่า “คนที่ถูกระบบนี้เล่นงาน อาจเป็นคนที่กล้าเปลี่ยนระบบได้จริงๆ”
5. เรื่องเล่าแบบ “วีรบุรุษทนทุกข์” ขายดีในการเมืองยุคสื่อ
ภาพนักการเมืองที่เคยถูกทรมาน ถูกขังเดี่ยว อยู่คุกเป็นสิบปี แล้วออกมาพูดเรื่องสมานฉันท์/ปฏิรูป จะเป็น content ที่ทรงพลังมากในยุคทีวีและโซเชียล
ข้อคิดต่อการเมือง (รวมถึงไทย)
กรณีต่างประเทศเหล่านี้เตือนเราว่า
- การใช้ “คุก” เป็นเครื่องมือกำจัดคู่แข่งทางการเมือง อาจชนะได้ในระยะสั้น แต่ระยะยาวอาจกลายเป็นการ “ปั้นตำนานให้ศัตรูตัวเอง” โดยไม่ตั้งใจ
- ประชาชนไม่ได้ดูแค่คำพิพากษา แต่ดูทั้งบริบท ใครได้ประโยชน์จากการที่เขาถูกจับ ความโปร่งใสของกระบวนการยุติธรรม และผลงาน/อุดมการณ์ก่อนหน้านั้น
- นักการเมืองที่กลับมาได้ ไม่ได้กลับมาด้วย “ความน่าสงสาร” แต่กลับมาพร้อมเรื่องเล่าและความหวังเชิงนโยบาย ว่า ถ้าเขามีโอกาสบริหารอีกครั้ง จะเปลี่ยนอะไรได้จริง
สุดท้าย “คุก” จึงเป็นเหมือนดาบสองคมของการเมืองสมัยใหม่ ถ้ารัฐใช้เพื่อจัดการคู่แข่งแบบไม่โปร่งใส วันหนึ่งอาจต้องเจอ “จากคุกสู่ทำเนียบ” เวอร์ชันใหม่ในประเทศตัวเองได้เหมือนกัน
บันทึก
1
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย